ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 213 หวนคืน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 213 หวนคืน

เมื่อได้เห็นว่าคนในกองกำลังของตนที่เคยสิ้นศรัทธาไปแล้วกลับมาเชื่อในความบริสุทธิ์ของตนจนกระทั่งยอมคิดที่จะฆ่าเฉียวกังเพื่อช่วยเหลือเขาแล้วนั้น เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาหลังจากที่ไม่ได้ยิ้มมานานแสนนาน

แต่เป็นตอนนี้เองที่มีบางคนเห็นต่าง

“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก”

หนอนหนังสือหลู่จี้ได้นิ่งคิดอีกเล็กน้อยก่อนที่จะตรงมาหาเฉินเฉียง “กัปตัน ข้าคิดว่าการฆ่าเฉียวกังจะไม่ได้ช่วยอะไรอย่างแน่นอน”

“ตราบใดที่พวกเรานั้นเป็นปึกแผ่น ไม่เพียงกัปตันจะไม่สูญเสียชื่อเสียงและชีวิตไปแล้ว พวกเรายังกำจัดไอ้เวรตะไลนั่นได้ในคราวเดียวหากมันเอ่ยปากออกมา”

“ใช้วิธีไหนกัน ไอ้หนอนโง่ เลิกทำเป็นยึกยักแล้วรีบบอกพวกเรามาสักที” เสียงคนหนึ่งในกองกำลังพูดออกมาอย่างดังลั่นเพื่อให้เขารีบๆบอกออกมา

เฉินเฉียงได้มองไปที่หนอนหนังสือหลู่จี้ในทันทีเมื่อได้ยิน

หลังจากเดินไปรอบเฉินเฉียงสองรอบ หลู่จี้ก็ได้ยิ้มออกมาและพูดออกไป “ทุกคนอย่าพึ่งลืมไปสิว่ากัปตันของเรานั้นเข้ามาในมิติจักรพรรดิด้วยตัวเองน่ะ”

“ข้ายังคิดอยู่ว่าจนมาถึงตอนนี้แล้ว แม้แต่เหล่าราชาทั้งหลายแม้แต่พวกอาวุโสที่อยู่ด้านนอกเองนั้นยังคิดไปว่ากัปตันหนีไปแล้วด้วยซ้ำ”

“อีกอย่าง นอกจากเฉียวกังและกองกำลังของเราแล้วไม่มีใครเคยได้เห็นหัวหน้ายามที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดินี้อีกเลย”

“ตราบใดที่พวกเราไม่พูดถึงเรื่องนี้ ต่อให้เฉียวกังพบเห็นกัปตันที่นี่จริง ต่อให้มันเห็นกัปตันกางปีก จะมีคนเชื่อมันได้ยังไงกัน”

กัวเหลียงตั้งคำถามในทันที “เจ้าโง่ นี่เจ้าหมายความว่าจะให้รุ่นน้องของข้าซ่อนตัวไม่ให้มีคนเห็นตลอดสามปีได้ยังไงกัน”

“ไม่ไม่ไม่ ไม่มีทางเป็นแบบนั้น” หนอนหนังสือส่ายหน้าไปมาในทันที ก่อนที่จะชี้ไปที่หน้าของเฉินเฉียง “พี่กัว พี่อย่าได้ลืมไปว่ากัปตันนั้นสามารถแปลงโฉมได้ ตราบใดที่เขานั้นไม่เผยหน้าออกมา ไม่ใช้ดาบดั้นเมฆของเขา แล้วจะมีคนจดจำเขาได้ยังไง”

“ก็จริงนะ” เฉินเฉียงยิ้มและพูดออกมา “ความคิดของหลู่จี้นั้นข้าเห็นด้วยเลยทีเดียว ข้าเองก็พึ่งจะใช้ใบหน้านี้ในการพบเจอผู้คน”

“ต่อให้ออกไปนอกมิติจักรพรรดิแห่งนี้แล้วเฉียวกังยังต้องการจะหาเรื่องข้าอีก ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีใครจะเชื่อมันอีก”

“หลังจากคลายปมในใจของทุกคนได้แล้ว จางหยวนก็ได้นำธงพลของกองกำลังเทียนเว่ยออกมาและมอบให้กับเฉินเฉียงด้วยสองมืออีกครั้ง”

เฉินเฉียงก็ได้รับมันมา ก่อนที่จะพินิจพิจารณาธงสีดำผืนนี้อีกเล็กน้อยก่อนที่จะบังเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย

แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่ได้รับมันไป

“นี่คือธงพลของพ่อของข้า ตัวข้า เฉินเฉียงนั้นมีความฝันที่จะนำธงพลนี้กลับไปยังอาณานิคมเขาหมาง และนำไปโบกสะบัดต่อหน้าปู่ซุนของข้าและบอกเขาว่าข้านั้นได้มันมาแล้ว”

“แต่ว่านะ จางหยวน ตอนนี้ข้านั้นยังรับมันไว้ไม่ได้จริงๆ”

“ข้ารู้ดีว่าในตอนนี้นั้น เจ้าเองก็ยังมีคำถามค้างคาใจมากมายที่ข้าเองก็ยังไม่อาจจะตอบพวกเจ้าได้หมด ต่อให้ข้าได้มันไปในตอนนี้ก็ไม่อาจแสดงออกมายามประจันหน้ากับศัตรู”

“หากเป็นแบบนั้น ข้าสู้อยู่ของข้าคนเดียวยังจะดีซะกว่า”

“จางหยวน ข้าจะขอมอบให้เจ้าเก็บรักษาธงพลของเราไว้ที่เจ้า เจ้านั้นสามารถให้ข้าตอนที่เข้ากลับเข้ามาในกองกำลังอย่างเต็มตัวแล้วก็ยังได้”

“กัปตัน….ท่าน จะไม่ไปกับพวกเรา…เหรอ”

เฉินเฉียงยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา “ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ ข้าไม่อาจไปกับพวกเจ้าได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป”

“อย่างไรก็ตาม การทำงานของเรายังคงเหมือนเดิม ข้าจะคอยส่งข้อความบอกพวกเจ้า”

“เพียงแต่ข้าจะล่วงหน้าพวกเจ้าไปก่อนเท่านั้น”

หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้มองไปที่เจิ้งยี่

เจิ้งยี่ได้ก้มหัวของตนอย่างเศร้าเสียใจและพูดออกมา “ข้า….ขอโทษ”

“ไม่ เจิ้งยี่ เจ้าทำดีแล้ว เจ้าได้ฆ่าเสือหัวขาวด้วยตนเอง เจ้าได้ใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อพิสูจน์ตนเองให้กองกำลังเทียนเว่ยได้เห็น หากมีเจ้าอยู่ ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องกังวล”

เฉินเฉียงได้ตบบ่าเจิ้งยี่ไปหนึ่งทีและพูดออกมา “พี่ชายทั้งหลาย เก็บกวาดสินสงครามซะ แล้วเราจะเดินหน้ากันต่อ”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ใช้ย่างก้าวสวรรค์ทะยานขึ้นฟ้าและหายไปในชั่วพริบตา

ด้วยการนำทางของเฉินเฉียง ความเร็วของกองกำลังของเขานั้นกลับมาเป็นดังเดิมเหมือนก่อนหน้านี้

ในช่วงเวลาว่าง เฉินเฉียงยังคอยทำเม็ดยาบ่มเพาะมาให้กับเม่ยหลัวหลัน

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ทุกคนได้ดูดซับแผ่นแก่นพลังงานที่เฉินเฉียงที่ให้มาอย่างต่อเนื่อง และนี่ทำให้ระดับการบ่มเพาะของทุกคนเพิ่มสูงขึ้น

เม่ยหลัวหลัน ในที่สุดก็ไล่ตามระดับการบ่มเพาะของทุกคนทัน ตัวเธอนั้นก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงในช่วงนี้นั้นไม่ได้ดูดซับแผ่นแก่นพลังงานแต่อย่างใด เขามุ่งความสนใจไปที่การฝึกเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทร และนี่จะทำให้พลังจิตของเขาแข็งกล้าอย่างมาก เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเพราะเข้ามาที่นี่ได้แค่เพียงครึ่งปีด้วยซ้ำ

ค่าสถานะของเขาในหน้าต่างสถานะตอนนี้แสดงออกมาว่าเขานี้มีค่าพลังจิตอยู่ที่ 752 และนี่ทำให้กระแสจิตของเขาครอบคลุมเป็นระยะสองกิโลเมตรแล้ว

“กัปตัน ท่านยังมีแผ่นแก่นพลังงานอีกไหมอ่ะ”

หลังจากได้ลิ้มลองรสชาติความหวานหอมของแผ่นแก่นพลังงานไปแล้ว เม่ยหลัวหลันได้มาหาเฉินเฉียงด้วยตนเองพร้อมความคาดหวังที่ว่าจะยกระดับของตนไปอีกขั้น

เฉินเฉียงได้นำแผ่นแก่นพลังงานออกมาอีกสิบอันก่อนที่จะมอบให้เธอไป

“พี่หลัวหลัน พี่แค่สนใจแค่การบ่มเพาะก็พอแล้ว เรื่องการต่อสู้อะไรนั่นยังไม่ต้องไปใส่ใจ”

“ตอนนี้พี่นั้นเปิดจุดชีพจรลับขึ้นมาได้อีกสองจุด ท่านเองก็สมควรจะคุ้นเคยกับระดับพลังในระดับนี้บ้างแล้ว”

“ส่วนเรื่องแผ่นแก่นพลังงานนี้ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่พวกมนุษย์กลายพันธุ์ออกมา พวกเราจะได้รับมันอีกอย่างไม่ต้องสงสัย”

“เฉินเฉียงพูดถูกแล้ว” เจิ้งยี่ได้ยืนขึ้นก่อนที่จะพูดออกมา “ที่สำนักมังกรอาชูร่าของข้านั้น ผอ.ซุนได้พูดกับข้าอยู่มากมายหลายครั้งว่าทุกครั้งที่เปิดจุดชีพจรลับได้ พวกเรานั้นต้องขัดเกลาอย่างดี ด้วยวิธีนี้จะทำให้การทะลวงจุดในแต่ละครั้งจะมีประประโยชน์ในการทะลวงข้ามขั้นอย่างแท้จริง”

“หลังจากที่พวกเจ้าทะลวงจุด จะดีที่สุดหากว่ามันนั้นมีความสมดุลในการต่อสู้ มีเพียงวิธีนี้เท่านี้ที่จะมีโอกาสชนะสัตว์ประหลาดหรือพวกมนุษย์กลายพันธุ์”

กับเรื่องนี้เองนั้นกองกำลังเทียนเว่ยเองก็รับรู้ดีอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นขาดแคลนทรัพยากรในการบ่มเพาะ เพียงแค่จะเป็นจุดชีพจรลับได้สักจุด พวกเขาก็ใช้ทรัพยากรจนหมดเกือบจะไม่เหลือ

นี่ทำให้ทุกคนที่ได้ยินคำเตือนของทั้งเฉินเฉียงและเจิ้งยี่ต่างก็พยักหน้าอย่างแข็งขัน

หนึ่งคืนผ่านไป เฉินเฉียงยังคงเป็นคนลาดตระเวนให้กับกองกำลัง

เพียงแต่หลังจากผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที เฉินเฉียงให้ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว

“รองกัปตัน พวกเราควรจะไปดูหน่อยรึเปล่า” หลิวซวนเอ๋อได้เข้าไปถามข้างจางหยวนด้วยเสียงเบาๆ

จางหยวนส่ายหน้าและตอบกลับไป “ไม่ ในเมื่อพวกเราเลือกที่จะเชื่อในตัวเฉินเฉียงแล้วพวกเราจะต้องทำตามคำสั่งของเขาเพื่อเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ”

ในเมื่อทุกคนนั้นต่างก็ถือว่าเฉินเฉียงเป็นหัวหน้า จางหยวนจึงยึดมั่นในคำสั่งของเฉินเฉียงอย่างเต็มพิกัดไม่ขาดตก

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเฉินเฉียงถึงยังให้จางหยวนเป็นรองกัปตันต่อไป

ถึงแม้ทุกคนจะกังวลว่าเฉินเฉียงเป็นอะไรไปก็ตาม แต่ด้วยคำสั่งของจางหยวนเองก็ทำให้ทุกคนทำได้เพียงเงียบปากลงและเฝ้าคอยอย่างเงียบงั้น และเฝ้ารอคำสั่งต่อไปของเฉินเฉียง

ที่สองพันเมตรข้างหน้านี้ เฉินเฉียงที่พึ่งจะลงสู้พื้นหลังจากใช้ย่างก้าวจักรพรรดิและปล่อยกระแสจิตและพบกับกลุ่มคนกว่าสามสิบคนที่กำลังดื่มกินกันในถ้ำ

เขาไม่ต้องการให้จางหยวนและพวกต้องพบเจอกับกองกำลังอื่นไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ฝังคำพูดของคนกลุ่มนี้แล้ว เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะโกรธแค้น

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท