ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 234 จิตใจมนุษย์

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 234 จิตใจมนุษย์

กลายเป็นว่าเฉินเฉียงนั้นคิดจะทำให้เรื่องราวเลยเถิดไปมากกว่านี้เสียอย่างนั้น

ในตอนนี้ ในเมื่อทั้งหยานเสวี่ยและจางหยวนต่างก็สงสัยในตัวเฉินเฉียง นี่จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเหยียบเรือสองแคมอีกต่อไป

และหากเขานั้นจัดการเรื่องนี้ไม่ดีล่ะก็ ทั้งหยานเสวี่ยและจางหยวนจะต้องถึงขั้นแตกหักและตกตายกันไปข้างหนึ่ง

เมื่อคิดดูดีๆแล้ว เฉินเฉียงจึงไม่มีทางเลือก จึงได้คิดตัดสินใจทำแบบนี้และยอมรับผลทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วยตัวเอง

“ไม่จริง พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านไม่มีวันเป็นพวกมนุษย์กลายพันธุ์”

ในทันทีที่เฉินเฉียงได้พูดออกมา ฉิงเชินนั้นได้พุ่งออกมาข้างหน้ากองกำลังเทียนเว่ยแล้วตะโกนปฏิเสธคำพูดของเขาในทันที

“กัปตัน พวกเราก็ตรวจสอบท่านมาตั้งนานแล้ว ไม่มีทางเลยที่ท่านจะเป็นพวกมนุษย์กลายพันธุ์ไปได้ อย่างมากท่านก็แค่สามารถเรียนรู้วิชาของมนุษย์กลายพันธุ์ได้เพียงเท่านั้น”

“กัปตัน พวกเราเองก็ได้ตรวจสอบท่านมาทุกคนแล้ว ไม่มีใครเลยในพวกเราที่พบแผ่นแก่นพลังงานในหัวของท่าน แล้วท่านจะไปเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้ยังไง”

เม่ยหลัวหลันและหลานซานเอ๋อรีบออกมาปกป้องเฉินเฉียงในทันที “รองกัปตัน เจ้าก็ตรวจสอบกัปตันมากับมือแล้ว หากว่ากัปตันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเราย่อมรับรู้ในเรื่องนี้สิ หากเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงก็ต้องมีแผ่นแก่นพลังงานในหัวของกัปตัน แต่กัปตันนั้นไม่มี แล้วเจ้ายังคิดสงสัยในตัวเขาอีกเนี่ยนะ”

จางหยวนที่ได้ยินก็พูดออกมาอย่างอึกอัก “ข้า….พี่น้องทั้งหลาย ข้าเพียงไม่เข้าใจเฉินเฉียงเท่านั้น สิ่งที่เขาทำนั้นมันมากเกินไป”

“เราลืมเรื่องแผ่นแก่นพลังงานนั่นไปซะแล้วลองมองดูศพของนักรบของเผ่าพันธุ์เราที่อยู่ตรงหน้านี้ก็แล้วกัน หากไม่ใช่เพราะเฉินฉียงแล้วพวกเราจะพลั้งมือฆ่าพวกเขาไปได้ยังไง”

“หื้ม เฉินเฉียง พวกมันบอกว่าเจ้าไม่มีแผ่นแก่นพลังงานในหัวงั้นรึ นี่มันเรื่องอะไรกัน”

คำพูดนี้ของจางหยวนและพวกทำให้หยานเสวี่ยสงสัยในตัวเฉินเฉียงขึ้นมาอีกครั้ง

“เฉินเฉียง มาให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้านั้นไม่มีแผ่นแก่นพลังงานในหัวจริงๆรึเปล่า” เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยได้หมุนตัวเตะเฉินเฉียงจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ก่อนที่เธอจะยื่นมือตรงไปที่หัวของเฉินเฉียง

“กัปตัน”

“ปล่อยกัปตันของพวกเรานะ”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง”

เมื่อเห็นฉากนี้ ฉิงเชินและคนอื่นๆต่างก็อุทานออกมาในทันทีหลังจากได้เห็นการกระทำที่ไม่คาดคิดของหยานเสวี่ย หยานเสวี่ยนั้นได้ชี้กระบี่น้ำแข็งของตนไปที่ทุกคนแล้วพูดออกมา “พวกเจ้าหากไม่อยากมีชีวิตก็ก้าวเข้ามา”

“พวกเจ้า ถอยออกไปซะ”

เฉินเฉียงที่ในตอนนี้นั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับมือของหยานเสวี่ยที่วางบนหัวได้ตะคอกออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “กองกำลังเทียนเว่ย จงฟัง หากว่าพวกเจ้ายังเห็นข้าเป็นกัปตัน จงฟังคำสั่งข้าซะ”

“หากพวกเจ้าไม่เห็นว่าข้าเป็นคนในกองกำลัง ข้าจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าอีก”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ข้าไม่ใช้คนในกองกำลังของท่าน และข้าก็ไม่เชื่อว่าท่านเป็นมนุษย์กลายพันธ์ุ แล้วจะให้ข้าทนเห็นท่านตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ช่วยเหลือได้ยังไง”

เมื่อได้เห็นท่าทางของเว่ยฉิงเชินที่กำลังโศกเศร้านี้ เฉินเฉียงก็อดที่จะปวดใจไม่ได้ เขาฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดออกไป “ฉิงเชิน ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าต้องเชื่อมั่นในโชคชะตาของข้าแล้วล่ะนะ หากองครักษ์หยานจะทำอะไรกับข้านั้นก็ปล่อยให้นางทำไปอย่าได้เป็นกังวล”

หลังจากปลอบเว่ยฉิงเชินไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาอย่างเย็นชา “องครักษ์หยาน ข้าแนะนำว่าท่านไม่ควรจะสร้างความยุ่งยากให้กับคนในกองกำลังของข้า ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้ข้าต้องตายก็จะลากท่านไปด้วย”

หยานเสวี่ยไม่ได้แยแสต่อคำขู่นี้แล้วกล่าวตอบออกไปอย่างเย็นชายิ่งกว่า “เฉินเฉียง เจ้าควรจะห่วงตัวเองจะดีกว่านะ”

หลังพูดจบ หยานเสวี่ยได้ปล่อยคลื่นพลังดึงดูดจากมือของเธอ

“หื้มมม”

หยานเสวี่ยขมวดคิ้วแน่นและลองดูอีกครั้ง แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อาจตรวจพบแผ่นแก่นพลังงานไปได้

“จริงรึ”

หยานเสวี่ยได้ถอนมือของตนออกมาช้าๆพลางนิ่งคิด

ถึงแม้ว่าหยานเสวี่ยที่เป็นผู้บ่มเพาะของพวกมนุษย์กลายพันธุ์นั้นได้รับรู้ว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์แต่อย่างใดแล้ว นี่ทำให้เว่ยเฉินเชินและคนอื่นๆต่างก็มีความสุขขึ้นมา

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ต้องไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์” เว่ยฉิงเชินได้ดึงเฉินเฉียงเข้ามาหาเธอพร้อมน้ำตานองหน้า

แต่โดยไม่คาดคิด หยานเสวี่ยได้ดึงบ่าของเฉินเฉียงกลับไปด้วยมือของเธอ

“เฉินเฉียง เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้านับจากนี้ ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังเกาะเทียนเล่ย การคงอยู่ของเจ้านั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของราชาสวรรค์เพียงเท่านั้น”

“ไม่ พี่ใหญ่เฉินเฉียงจะไม่ไปกับเจ้า หากว่าราชาสวรรค์ของเจ้ารู้ว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ล่ะก็ แล้วเขาจะมีชีวิตรอดออกมาได้ยังไง”

“ถูกต้อง ปล่อยกัปตันของพวกเราเดี๋ยวนี้ กองกำลังของเราจะไม่ยอมในเรื่องนี้ จะตามราวีเจ้าจนกว่าจะตกตายกันไปข้างหนึ่ง”

“ปล่อยกัปตันของพวกเราซะ”

“ออกไปห่างๆศิษย์น้องเล็กของข้าเดี๋ยวนี้”

ในตอนนี้ทั้งกองกำลังเทียนเว่ยรวมถึงหลู่ฟางต่างก็ชักอาวุธออกมา เตรียมที่จะสู้เป็นตายกับหยานเสวี่ยในตอนนี้

เมื่อเห็นเหล่าบรรดาพี่ๆของตนห่วงใยในชีวิตเขาขนาดนี้ เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวเหมือนกัน

แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้นั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขานั้นไม่อาจต่อกรกับหยานเสวี่ยได้อย่างแน่นอน

“จางหยวน พาคนของเจ้าจากไปซะ”

“อย่างที่ข้าพูด หากว่าเจ้ายังถือข้าว่าเป็นกัปตัน จงฟังคำสั่งข้า แต่หากว่าไม่ ข้าจะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทำให้ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยต้องตกอยู่ในความเงียบงั้นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หลู่จี้ที่เป็นมันสมองของกองกำลังได้ก้าวเท้าออกมา ก่อนที่จะขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมา “องครักษ์หยาน ท่านทำอย่างนี้ก็ไม่ถูกนา คนมากมายที่นี่ต้องตกตาย แถมทุกคนต่างก็ตกตายเพราะเฉินเฉียง ในเมื่อพวกเขาล้วนแล้วเป็นนักรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วจะให้พวกเราปล่อยตัวการออกไปง่ายๆได้ยังไง”

“โง่เง่า เหตุผลไร้สาระอะไรของเจ้าเนี่ย ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากชิงตัวกัปตันขึ้นมาจากหลุมแล้วผลักลงหลุมที่พวกเราขุดขึ้นมาเลยนะเว้ย”

“ใช่แล้วไอ้หนอนหนังสือ พวกเราต้องคิดช่วยเหลือกัปตันไม่ใช่รึไง แต่เจ้ากลับยิ่งทำให้กัปตันไม่มีทางออกนอกจากความตายเลยนะเว้ย นี่คิดบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย”

หลังจากถูกคนในกองกำลังดุด่าพอเป็นพิธี หลู่จี้ก็ได้ยิ้มแหยๆแล้วพูดออกมาต่อ “เอ้า นี่ข้าพูดอะไรผิดไปกันล่ะ กัปตันของเรานั้นยอมรับความผิดในการก่ออาชญากรมาแล้วนะ แล้วพวกเราจะปล่อยเขาไปง่ายๆได้ยังไงกัน”

“หรือเจ้าจะบอกว่าแม้จะพากัปตันกลับมาได้แล้วพวกเจ้าจะยอมรับความผิดในตัวของกัปตันในครั้งนี้”

หลังจากได้ฟังหลู่จี้พูดออกมาแล้ว กัวเหลียงได้พูดออกมาในทันที “ถูกต้อง พวกเราไม่อาจปล่อยให้องครักษ์หยานพาตัวศิษย์น้องไปได้ง่ายๆ พวกเราต้องพาเขากลับไปรับโทษ”

“ใช่ ปล่อยกัปตันของพวกเรามาซะ”

ถึงแม้ว่าหยานเสวี่ยที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมานั้นก็ยังต้องขุ่นเคืองกับตรรกวิบัติของหลู่จี้นี้

“ฮึ่ม พวกเจ้าคิดจะหาเหตุผลมาใช้กับข้าเนี่ยนะ ดี ลองดูดีๆสิว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ตกตายในมือพวกเจ้า แล้วนี้ยังกล้ามาโทษเฉินเฉียงกับข้าอีกงั้นรึ”

จางหยวนที่ได้ยินก็ถึงกับของขึ้นแล้วพูดออกไป “ไร้สาระ นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าให้พวกเรายืนดีเฉยๆแล้วปล่อยให้คนอื่นฆ่าเฉินเฉียงตายรึไงกัน”

“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเรานั้นไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ลงมือถึงขั้นฆ่าพวกมันทิ้งหรอก”

“โอ้ งั้นเจ้าจะหมายความว่า หากเจ้าพูดอย่างนี้ก็หมายความว่าหากเจ้ารู้ว่าพวกนี้คือนักรบของเผ่าพันธุ์เจ้า เจ้าก็จะยินดียืนดูพวกมันฆ่าเฉินเฉียงงั้นสินะ”

“เจ้า…..เจ้า…..ความคิดของเจ้าช่างโหดร้ายนัก”

“โห่ โหดร้ายเหรอ ฮี่ฮี่ฮี่ เจ้าพูดตลกอะไรกัน หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าเฉินเฉียงล่ะก็ พวกเจ้าทั้งหมดน่ะตกตายในดาบของข้าไปตั้งนานแล้ว”

“แล้วพวกเจ้าไม่คิดบ้างรึไงว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงอยากฆ่าเฉินเฉียงนัก”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลู่ฟางและพวกต่างก็มีท่าทีนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน

“เฉินเฉียง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเจ้าถึงได้ไปขัดแย้งกับพวกเดียวกัน นี่คือโอกาสอันดีที่เจ้าจะอธิบายแล้วไม่ใช่รึไง”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เฉินเฉียงได้เอามือของตัวเองจับมือของหยานเสวี่ยที่เกาะบนไหล่ออกไป แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “องครักษ์หยานไม่ต้องกังวล ข้าไม่หนีไปไหนหรอก”

หยานเสวี่ยสบถออกมาเล็กน้อย “ฮึ ได้ เข้าเชื่อว่าเจ้าไม่กล้าหนีไปไหน”

เฉินเฉียงได้เดินไปศพของนักรบศพหนึ่งที่ตกตายไปแล้ว ก่อนที่จะยืนมือขวาไปแตะเพื่อดูดซับพลังงานจากศพเหล่านี้

ด้วยการที่การเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่ได้ดูผิดแผลก จึงไม่มีใครสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับศพเหล่านี้

ในขณะที่เขาเดินไปมาอย่างช้าๆ เฉินเฉียงก็ได้พูดไปด้วย “จางหยวน พี่ใหญ่ ข้าเองนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ไปบ้าง”

“กับข้านั้นราวกับว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝันร้ายเพียงเท่านั้น”

“ในตอนนั้นองครักษ์หยานและข้าพบว่าคนเหล่านี้ได้รุมล้อมที่นี่เอาไว้ ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าคนพวกนี้คือเผ่าพันธุ์เดียวกัน เพียงพบว่าพวกเขาคิดล้างบางสัตว์ประหลาดที่อยู่ที่นี่เพียงเท่านั้น”

“แต่ด้วยการที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกวันในเขตแดนจักรพรรดิ ทำให้ตัวข้าไม่ได้ใส่ใจเสียเท่าไหร่”

“แต่มาภายหลัง ข้าพบว่าที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ที่มารวมตัวกันที่นี่เป็นเพราะว่าต้องการที่จะให้หนึ่งในพวกมันคลอดลูกออกมา”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ยื่นมือของตนไปลูบหัวเจ้าลิงน้อยที่ยังคงหลับตานอนอยู่

“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าหนูนี่”

“ในตอนนั้น หัวหน้ากองกำลังนี้ได้พูดออกมาว่าหลังจากที่ฆ่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้จนหมด พวกเขาจะนำเจ้าตัวน้อยนี้มากิน”

“และด้วยเหตุนี้ทำให้องครักษ์หยานคิดจะช่วยเจ้าวานรยักษ์สี่แขนที่ตั้งท้อง”

“และด้วยเหตุนั้น องครักษ์จึงถูกกัปตันลี่แทงอย่างโหดร้าย”

“เจ้าก็คงจะรู้ถึงฝีมือของนางดี คนอย่างนางมีหรือที่จะบาดเจ็บกับคนเพียงระดับนี้ได้”

“หลังจากที่ข้าช่วยองครักษ์หยาน นางบอกให้ข้าไปช่วยวานรยักษ์สี่แขนตัวนั้น อย่างน้อยๆก็ให้มันได้คลอดออกมาให้ได้”

“เพื่อไม่ให้นางต้องกังวล ข้าทำได้เพียงรับคำเท่านั้น”

“หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่ากัปตันลี่เตรียมที่จะลงมือฆ่าวานรยักษ์สี่แขนตัวนั้น หากข้าไม่เร่งลงมือ วานรยักษ์สี่แขนตัวนั้นต้องตกตาย”

“นี่ทำให้ข้านั้นพลั้งมือข้ากัปตันลี่คนนั้นไป”

“และนี่ทำให้นักรบในเผ่าพันธุ์เห็นข้าเป็นศัตรู และคิดจะสังหารพวกข้าแก้แค้นให้กัปตันลี่”

“ด้วยการที่ข้าได้พลั้งมือฆ่ากัปตันลี่ไปแล้วจึงไม่คิดจะฆ่าใครอีก ข้าจึงทำเพียงป้องกันตัว และใช้เพียงการโจมตีทางจิตวิญญาณเพียงเท่านั้น จนกระทั่งวานรยักษ์สี่แขนตัวนั้นคลอดลูกออกมา หรือก็คือเจ้าหนูน้อยนี่”

“ใครจะไปคิดว่าในตอนนั้น นักรบที่ยังคงคิดแค้นอาศัยจังหวะที่ข้าไม่ระวังลอบโจมตีข้า วานรยักษ์สี่แขนตนนั้นเห็นสถานการณ์ในตอนนั้นก็ใช้ร่างของมันบังข้าจนตกตาย”

“เพียงแค่คลอดลูกน้อยได้ไม่นาน เจ้าลิงน้อยตัวนี้ที่ยังไม่ได้รับไออุ่นจากอ้อมอกแม่ของมันก็ต้องตกตายเพียงเพราะข้าประมาท”

“ส่วนที่เหลือนั้น เจ้าเองก็คงได้รู้เรื่องแล้ว คงไม่ต้องให้ข้านั้นต้องเล่าอะไรอีกกระมัง”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ยื่นมือไปลูบขนลิงน้อยเล่น และหันไปมองวานรยักษ์สี่แขนที่ช่วยเหลือเขาไว้

หลังจากที่นิ่งฟังอยู่นาน จางหยวนก็ได้เดินไปที่หน้าเฉินเฉียงก่อนที่จะชี้ไปที่เจ้าลิงน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเฉินเฉียงแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา “เฉินเฉียง….เจ้าจะบอกว่า ที่พวกเราต้องเสียนักรบหาญกล้าไปสามสิบคนเพียงเพราะไอ้ลูกลิงเนี่ยนะ”

“พวกเราและสัตว์ประหลาดต่างก็เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาตินะเว้ย นี่เจ้าไม่ละอายรึไงที่ยอมก่อปัญหาเพียงเพื่อสัตว์ประหลาดน่ะ ห้ะ”

“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด” เฉินเฉียงตอบกลับออกมาโดยไม่ลังเล

“เจ้ายังไม่รู้ตัวว่าเจ้าทำสิ่งใดผิดอีกรึ เฉินเฉียง นับวันเจ้านั้นยิ่งไม่รู้จักอะไรแล้วว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ยอมทำผิดเพียงเพื่อไอ้ตัวน่ารังเกียจนี่นะ”

จางหยวนกัดฟันแน่นหลังจากที่พูดจบ ก่อนที่จะใช้กระบี่ยาวในมือฟันลงไปบนลิงน้อยที่อยู่ในแขนของเฉินเฉียง

“หยุดนะ”

หยานเสวี่ยที่เห็นฉากนี้ก็ได้ร้องลั่น ก่อนที่จะแทงดาบในมือพุ่งเข้าใส่คอหอยของจางหยวน

“องครักษ์หยาน หยุดก่อน”

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงรีบพุ่งตัวมาขวางไว้ตรงหน้าจางหยวน ปิดทางการโจมตีของหยานเสวี่ย

“องครักษ์หยาน ข้าขอยืนกลานว่าไม่ให้ท่านทำอันตรายคนของข้า”

เมื่อหยานเสวี่ยเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลู่ฟางและพวกต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน และในตอนนี้ทุกคนได้รุมล้อมหยานเสวี่ยเอาไว้

ถึงแม้ว่าหยานเสวี่ยในตอนนี้จะยังบาดเจ็บหนัก แต่ทุกคนต่างก็ได้เห็นแล้วว่าหากเมื่อครู่เฉินเฉียงไม่ออกมาขวางไว้ จางหยวนนั้นก็คงได้ตกตายไปแล้ว

หลังจากนั้น เฉินเฉียงได้หันกลับไปมองจางหยวนและถามออกมาอย่างสงบ “จางหยวน เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นผิดงั้นรึ”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าที เจ้าลิงน้อยนี่มีความผิดอะไร มันถึงสมควรจะต้องตกตายในมือเจ้า”

“ก็มันเป็นสัตว์ประหลาด”

“เพียงแค่สัตว์ประหลาดเนี่ยนะ”

“ก็ใช่ ตราบใดที่มันเป็นสัตว์ประหลาด มันก็คงเป็นศัตรูของมนุษย์โดยธรรมชาติของมัน หากคิดแบบนี้แล้วมันก็สมควรจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการฆ่ามัน ถ้างั้นข้าคงไม่ต้องอธิบายอะไร”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้อุ้มลิงน้อยส่งให้เม่ยหลัวหลันและวางไว้ที่แขนเธอแล้วพูดออกมา “พี่สาวหลัวหลัน ท่านฆ่ามันซะ”

“ห้ะ ข้าเหรอ….”

เมื่อได้รับลิงน้อยมาไว้ในมือแล้ว เม่ยหลัวหลันก็มีท่าทีลังเลก่อนที่จะส่งต่อให้ผู้สาวคนอื่น “เจ้า ฆ่ามันแทนข้าที”

“ห้ะ ยังไง…ข้าจะไปฆ่าเจ้าตัวน่ารักแบบนี้ได้ยังไงกัน” หลังจากนั้นเธอก็ส่งไปให้คนอื่นต่อ ถึงแม้ว่าพวกเธอนั้นจะปากร้ายไปบ้าง แต่ในความจริงแล้วพวกเธอก็ไม่อาจจะฆ่าเจ้าตัวน้อยนี้ไปได้

“หลางซานเอ๋อ เจ้า เจ้าลงมือสิ”

“ไอ้ฉิบ อยู่ๆโยนมาให้ข้าเนี่ยนะ…. คุณหนูฉิงเชิน ข้าว่าเจ้าเป็นคนลงมือจะดีกว่านะ”

ฉิงเชินเมื่อได้รับเจ้าลิงน้อยมาแล้วนั้นก็ได้จ้องมองนิ่งๆ ก่อนที่จะจุ๊บเข้าไปที่หน้าผากมันหนึ่งที ไม่ว่าเธอมองยังไงก็ไม่เห็นว่าเจ้าตัวนี้จะดุร้ายไปได้แม้แต่น้อย

“ข้าเอง”

เจิ้งยี่ที่อยู่ไม่ไกลได้ฉกเจ้าลิงน้อยออกมาไว้ในมือจนเผลอยกมันขึ้นสูง

“พี่เจิ้งยี่ ท่านจะรุนแรงไปไหมเนี่ย”

“อย่างที่คิดจริงๆ พี่เจิ้งยี่นั้นโปรดปรานการฆ่าฟัน หากเป็นข้าคงไม่อาจทำเรื่องแบบนี้ได้”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว แม้แต่เจิ้งยี่ที่มีท่าทีดุร้ายก็อดที่จะชะงักมือไว้กลางอากาศเสียไม่ได้ จนกระทั่งร่นมือของตนลงมาในระดับปกติ

เฉินเฉียงที่มองอยู่เงียบๆ ก็ได้เดินเข้าไปอุ้มเจ้าลิงน้อยแล้วส่งให้หยานเสวี่ย

หยานเสวี่ย ได้รับเจ้าลิงน้อยมากอดอย่างรักใคร่เอ็นดู พลางฮัมเสียงออกมา

“จางหยวน ต่อให้ไม่มีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้น ข้าเชื่อว่าต่อให้เจ้าปนคนประสบพบเจอด้วยตัวเอง เจ้าก็ไม่อาจฆ่ามันได้หรอก”

“ไม่ ข้าจะฆ่ามัน ยังไงข้าก็ฆ่ามันได้เพราะมันเป็นสัตว์ประหลาด”

“ไม่มีทาง เจ้าฆ่ามันไม่ได้” เฉินเฉียงได้ตะคอกกลับในทันที

“นั่นก็เพราะเจ้านั้นเป็นมนุษย์ยังไงล่ะ เจ้าน่ะ เป็นมนุษย์ และเหตุผลที่เจ้าต้องบอกว่าเจ้าฆ่ามันได้นั้นเป็นเพราะว่าเจ้าต้องการโยนความผิดที่เจ้าได้พลั้งมือฆ่าพวกเดียวกันให้กับมันเพียงเท่านั้น”

“จางหยวน ข้าเชื่อว่าเจ้ายังจดจำตอนที่ข้าเข้าร่วมภารกิจรังหมาป่าเพื่อเก็บสมุนไพรในตอนนั้นได้”

“ในตอนนั้นข้าเองก็ไปช่วยตัวนิ่มเกราะหนามมาตัวหนึ่งเหมือนกัน แถมยังนำกลับมาที่เต็นท์บัญชาการของตึกจอมพลเหมันต์จันทราซะอีก ก่อนที่ผู้คุมจ้าวจะนำไปดูแล”

“ในตอนนั้น ข้าจดจำได้ว่าผู้คุมจ้าวนั้นบอกไว้ว่าสัตว์ประหลาดที่พึ่งเกิดน่าจะยังไม่ได้เปิดภูมิปัญญา แล้วพวกมันจะไปรู้จักผิดชอบช่วยดีได้ยังไง เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วทำพวกเราถึงตั้งตั้งแง่กับสิ่งมีชีวิตที่เยาว์วัยตัวนี้กัน”

“และตัวเจ้าเองก็รับรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เจ้าไม่ได้ฆ่าเจ้าตัวนิ่มขนหนามนั่น แล้วเจ้าก็ไม่อาจฆ่าเจ้าลิงน้อยตัวนี้ได้”

“นั่นมันต่างกัน” จางหยวนได้ตอบกลับในทันทีพร้อมดวงตาที่แดงก่ำ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท