ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 253 ผู้ลึกลับ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 253 ผู้ลึกลับ

หลังจากตกลงกันแล้ว ฮั่นจุยและนักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้กลับขึ้นเรือมังกรบินและกลับไปยังตีนเขาเอเวอร์เรสต์ฝั่งเหนือ

การที่จะเป็นเขตแดนจักรพรรดิได้นั้นจะเป็นต้องใช้ระดับเดียวกับราชาขุนพลสามคนเป็นอย่างน้อยในการเปิดทางเข้าจากสามทิศทางในเวลาเดียวกัน จึงจำเป็นต้องพูดคุยกันทั้งสามกองกำลังให้รู้เรื่องก่อนที่จะลงมือกระทำ

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมจะต้องเปิดเขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้นั้นต่างก็แจ้งชัด นั่นก็คือการหาหลิวหลางที่ตกค้างอยู่ในเขตแดน

และเพื่อให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นมีเวลาเตรียมตัวเกี่ยวกับการค้นหานี้ให้มากพอ จึงตกลงกันว่าจะเปิดประตูในเวลาเดียวกันของวันถัดไป

หลังจากเห็นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์สัตว์ประหลาดได้จากไปแล้ว ผู้อาวุโสหลี่จึงได้จัดแจงนักรบที่จะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิอีกครั้ง

“หลินไฮ่หวัง เจ้าคิดจะส่งใครไปในเขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้”

หลินไฮ่หวังได้ตอบออกมา “ผู้อาวุโสหลี่ จากการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าที่ชื่อว่าหลิวเฟิงนั้น ไม่เพียงหลิวหลางผู้นี้จะมีระดับบ่มเพาะที่สูงล้ำ เขายังไม่เกรงกลัวการโจมตีทางจิตวิญญาณ คนที่เข้าไปนอกจากคนที่พึ่งจะออกมาแล้ว ข้าวางแผนว่าจะส่งมนุษย์กลายพันธุ์ที่พลังเหนือมนุษย์ด้านพลังจิตเข้าไปอีกกลุ่มหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน จะเป็นการดีหากว่าได้นักรบที่ทรงพลังในการต่อสู้ทางกายภาพผนวกรวมเข้ากับคนของข้าในการจับกุมตัวหลิวหลาง”

“เพื่อการนี้ข้าคิดว่าคนที่เหมาะสมที่สุดขององครักษ์หยานที่เป็นหนึ่งในคนใต้อาณัติของราชาสวรรค์นั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว”

“หากนับภายใต้ข้าราชของเหล่าราชาทั้งหมดแล้ว องครักษ์หยานนั้นเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด หากได้นางมาช่วยย่อมไม่มีปัญหาในการจับกุมตัวหลิวหลาง”

“ไอ้หลินไฮ่หวัง อย่าได้มาเห่าหอนเสียตรงนี้”

ราชาสวรรค์เมื่อได้ยินก็ได้ผุดลุกพลางกล่าวด่าออกมา พร้อมกับหมอกไอดำในร่างที่พวยพุ่งราวกับพร้อมจะออกโจมตีได้ทุกเมื่อก็ไม่ปาน

“หลิวหลางนั้นเป็นคนของข้า หากไม่ใช่เพราะคนระยำตำบอนของใครบางคนต้องการจะจับตัวเขาเพื่อเอาหน้า ป่านนี้เขาคงมายืนต่อหน้าข้าไปนานแล้ว แล้วเจ้ายังมีหน้ามาบอกให้คนของเกาะเทียนลี่ของข้าไปช่วยเจ้าเอีกเนี่ยนะ”

“พอแล้วราชาสวรรค์ เหตุผลของหลินไฮ่หวังที่พูดออกมานั้นมันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือไง เจ้ามาโกรธเคืองกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ”

“ผู้อาวุโสหลี่ ถึงท่านจะบอกออกมาว่าถูกต้อง แต่ท่านลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าหลิวหลางนั้นคือคนของข้า คนของข้านั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อยแล้วทำไมข้าต้องส่งคนไปจับเขา”

“เรื่องในวันนี้มันเกิดขึ้นเพราะคนของใครบางคนที่มันละโมบโลภมากจนไม่นึกถึงผลเสียที่จะตามมา แล้วท้ายที่สุดนั้นคือการต้องเอาสิ่งของที่ควรจะเป็นของตน ไปแบ่งให้กับชาวบ้านอีกสองเผ่าพันธุ์”

“หากว่าคนของเกาะเทียนลี่ของข้ายังต้องเข้าไปร่วมภารกิจที่เกิดจากความผิดพลาดของคนอื่นแบบนี้ ได้ หากท่านต้องการ นับจากนี้ข้าจะไม่ส่งคนของข้าให้กับพวกท่านอีกต่อไป”

เมื่อได้ยินคำพูดของราชาสวรรค์นี้ทำให้หลินไฮ่หวังอดที่จะลอบดีใจขึ้นมาเสียไม่ได้ และนี่ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสุ่มไฟใส่เข้าไปอีก “ผู้อาวุโสหลี่ ท่านได้ยินรึเปล่า การที่เขากล้าขัดคำสั่งนี่เป็นเพราะเขาคิดจะก่อกบฏชัดๆ”

“การที่เขากล้าพูดออกมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขานั้นยกตนข่มราชาทั้งหลายในเผ่าพันธุ์เลยรึไงกัน”

คำพูดของราชาสวรรค์นั้นไม่เพียงแต่จะชัดถ้อยชัดคำแต่ยังตรงไปตรงมาอย่างที่สุด การขัดคำสั่งของเขาในครั้งนี้เป็นสิ่งที่อยากจะได้พบเจออย่างมาก

และนี่ทำให้เมื่อหลินไฮ่หวังได้พบเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตาก็อดที่จะใส่ไฟเพื่อเพิ่มเหตุสังหารราชาสวรรค์เสียไม่ได้

ผู้อาวุโสหลี่ในตอนนี้ได้แสดงท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมาอย่างที่สุด และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมาได้ ราชาสวรรค์ได้หันหลังกลับแล้วเตรียมที่จะจากไป แต่ก่อนไป เขาได้ทิ้งถ้อยคำเอาไว้ให้ราชาคนอื่นต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแทนเสียมิได้

“ผู้อาวุโสหลี่ หากท่านต้องการจะบังคับให้ข้าทำสิ่งใดก็จงฆ่าข้าทิ้งเสียตรงนี้”

“แต่ถ้าหากไม่ ข้าเองคงไม่มีอะไรที่ต้องทำที่นี่อีก”

“หยานเสวี่ย กลับเกาะเทียนลี่”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ได้พาหยานเสวี่ยทะยานขึ้นฟ้าแล้วบินจากไปทางทิศใต้โดยไม่แม้แต่จะมีความลังเลเลยแม้แต่เล็กน้อย

“ผู้อาวุโสหลี่ ราชาสวรรค์กล้าขัดคำสั่งท่านต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้แสดงว่าเขาไม่เห็นผู้อาวุโสหลี่อยู่ในสายตา หากไม่ลงโทษเขาในตอนนี้ท่านจะไม่อาจควบคุมเขาได้อีกในอนา….”

“หุบปาก”

ผู้อาวุโสหลี่ตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมสีหน้าที่ราวกับพร้อมจะพุ่งเข้าไปสังหารได้ตลอดเวลาพลางมองไปยังราชาสวรรค์ที่บินลาลับสายตาไป

“ลืมมันซะ นี่มันเป็นความผิดของเจ้า หลินไฮ่หวัง สิ่งที่ราชาสวรรค์กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว หากไม่ใช่คนของเจ้าที่สร้างความลำบากให้หลิวหลาง ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่ต้องมาวุ่นวายลำบากกันแบบตอนนี้”

“กับเรื่องคนของเจ้าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมาลงโทษ การที่ราชาสวรรค์นั้นไม่เข้าร่วมในภารกิจนี้ได้ก็ดี เพราะยังไงซะ หลิวหลางก็เป็นคนของเขา”

“หากเมื่อถึงเวลาที่จับหลิวหลางได้จริงล่ะก็ ใครจะรู้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้ก็ได้”

“เอาเป็นว่าข้าจะให้เรื่องนี้เป็นเจ้ากับราชาคนอื่นเป็นคนจัดการ”

“ราชาเก้าใบไม้ ราชาอมตะ และราชาอีกหกคนส่งคนมาร่วมภารกิจแล้วให้ราชาแต่ละคนไปช่วยหลินไฮ่หวังเปิดทางเข้าเขตแดนจักรพรรดิซะ พวกเจ้าต้องรีบเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไอ้พวกมนุษย์และสัตว์ประหลาดให้จงได้ ส่วนสิ่งเดียวที่พวกเจ้าต้องทำนั้นคือการนำหลิวหลางกลับมาให้จงได้”

ถึงแม้ว่าทั้งสามเผ่าพันธุ์จะตกลงร่วมกันแบ่งปันความลับของเขตแดนจักรพรรดิ แต่ในส่วนที่ว่าจะแบ่งเรื่องอะไรยังไงนั้นมันก็ต้องเกิดจากการจับตัวหลิวหลางให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้อตกลงนี้เป็นเพียงแค่คำพูด ไม่ได้มีการทำสัญญากันอย่างเป็นทางการ ใครก็ตามที่ได้ตัวหลิวหลางไปย่อมมีโอกาสที่จะแหกข้อตกลงนี้ได้ตลอดเวลา

ดังนั้น การจับตัวหลิวหลางให้ได้ก่อนใครเพื่อนย่อมเป็นประโยชน์สูงสุดในตอนนี้

หลังจากฮั่นจุยพานักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับมายังตีนเขาด้านเหนือของภูเขาเอเวอเรสต์ต์แล้วนั้น เขาก็ได้เริ่มที่จะจัดแจงกำลังคนที่จะเข้าไปในทันที

“เหตุผลเดียวที่ข้าจะให้พวกเจ้าเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้นั้นมีเพียงการจับตัวหลิวหลางให้เร็วที่สุดให้ได้เพียงเท่านั้น”

ดังนั้น ผู้ที่สามารถเข้าไปในเขตแดนแห่งนี้ได้นั้นล้วนแล้วแต่จะต้องมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง

“ความลับที่หลิวหลางถือครองอยู่นั้นเป็นไปได้ว่าจะทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นเป็นไปได้ทั้งรุ่งโรจน์และร่วงหล่น ดังนั้นข้าจึงขอให้ทุกคนให้คำมั่น และเบิกทางให้กับอนาคตของมวลมนุษยชาติของพวกเรา”

หลังจากฮั่นจุยพูดจบลง กองกำลังเทียนเว่ยทั้งกองกำลังก็ได้ยืนขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“ผู้อาวุโสฮั่น กองกำลังของข้าต้องการที่จะเข้าร่วม”

ก่อนหน้านี้ในตอนที่ฮั่นจุยและผู้อาวุโสหลี่พูดคุยกันนั้น จางหยวนและคนอื่นๆได้พูดคุยตัดสินใจกันผ่านทางการส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณมาแล้วว่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเขาจะต้องเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิเพื่อหาทางเตือนเฉินเฉียงให้เตรียมตัวรับมือเอาไว้

และหากว่าเฉินเฉียงตกอยู่ในอันตราย แน่นอนว่าพวกเขาจะได้ลงมือช่วยได้ทันเวลา

ฮั่นจุยนั้นไม่คิดว่ากองกำลังเทียนเว่ยที่ก่อนหน้านี้ก็สร้างประโยชน์แก่เผ่าพันธุ์ไปมากมายแล้วจะเป็นพวกแรกที่ร้องขอในการเข้าเขตแดนจักรพรรดิ นี่ทำให้เขาดีใจอย่างที่สุด

“ดี อย่างที่คิดไว้ว่ากองกำลังเทียนเว่ยก็คือกองกำลังเทียนเว่ย นี่ขนาดพวกเจ้าได้แสดงความแข็งแกร่งได้เหนือผู้คนไว้แล้วก็ยังไม่ขลาดที่จะทำต่อไป”

“หากได้พวกเจ้าเข้าร่วมภารกิจ ข้าเชื่อว่าการจับตัวหลิวหลางนั้นยังเป็นไปได้โดยง่าย”

และด้วยที่มีกองกำลังเทียนเว่ยเป็นผู้นำนี้เองทำให้นักรบในกองกำลังอื่นที่ตอนแรกไม่คิดอยากก็รีบเข้าร่วมกองกำลังในทันที และนี่ทำให้ได้ผู้สมัครใจกว่าสองร้อยคน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง

“ผู้อาวุโสฮั่น พวกข้าต้องการเข้าร่วมด้วยเช่นกัน”

ฉิงเชินและหลู่ฟางได้เดินขึ้นหน้ามา

แน่นอนว่าทั้งสองคิดเฉกเช่นเดียวกับจางหยวนและพวก พวกเขาไม่ต้องการจับแต่ต้องการช่วยเหลือเฉินเฉียง

อย่างไรก็ตาม ฮั่นจุยได้ส่ายหัวไปมาก่อนที่จะพูดออกไป “หลู่ฟางนั้นเข้าร่วมได้ แต่เว่ยฉิงเชินไม่สามารถ”

“ทำไมกัน” เว่ยฉิงเชินถามออกมาพร้อมความเดือดดาล

“ฉิงเชิน อย่าเสียมารยาท”

เว่ยหยวนตี้ได้ก้าวออกมาขวางหน้าเธอไว้แล้วพูดออกมา “ฉิงเชิน ตัวเจ้านั้นอยู่ในระดับกึ่งราชาแล้ว ต่อให้ประตูทางเข้าเปิดแล้วเจ้าจะกระโจนเข้าไปก็ไม่อาจจะทำได้”

“นี่คือกฎของเขตแดนแห่งนี้ที่อนุญาตให้ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเป็นอย่างมากที่สามารถเข้าไปได้ กับเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่อาจทำอะไรได้”

“….เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉิงเชินก้มหัวก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมท่าทางหงุดหงิด แต่กับเรื่องนี้แล้วเธอไม่มีทางเลือกทำได้เพียงถอยหลังกลับไป

หลังจากคัดเลือกคนได้แล้ว พวกเขาในตอนนี้ก็เหลือเพียงรอเวลา รอให้หลี่กวง(ผู้อาวุโสหลี่)ส่งสัญญาณแล้วทำการเปิดเขตแดนจักรพรรดิจากทั้งสามทาง

เช้าวันถัดมา เหล่านายพลวิญญาณขั้นสูงที่ได้รับการคัดเลือกได้เตรียมตัวและตั้งแถวอยู่หน้าจุดที่เป็นทางเข้า ฮั่นจุย ผู้อาวุโสถง ผู้อาวุโสเทีย และผู้การร่วมทั้งสาม ต่างก็นั่งลงตรงหน้ากำแพงที่เป็นจุดทางเข้า และเมื่อทั้งหมดได้เห็นข้อความที่หลี่กวงและต้าเซียง(หมีใหญ่)ส่งมา ทั้งหกคนจึงได้ยื่นมือไปตรงหน้า ก่อนที่จะยิงคลื่นพลังออกไปในสามทิศทางพุ่งตรงไปยังกำแพง

แต่เมื่อเพียงเส้นสายทั้งสามจากทั้งสามด้านได้เริ่มเชื่อมโยงกันนั้น เป็นตอนนี้ที่มีเส้นพลังเก้าสายที่ทรงพลังยิ่งกว่ายิงมาที่เหนือหัวของราชาทั้งเก้าจากสามเผ่าพันธุ์ราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ราชาทั้งเก้าบาดเจ็บหนักพอดู

เป็นตอนนี้ที่ฮั่นจุยและผู้อาวุโสอีกสองคนที่กระอักเลือดจนหงายหลังได้พยุงตัวขึ้นมา ก่อนที่จะได้ยินเสียงอันก้องกังวานดังขึ้นมาจากทางยอดเขาเอเวอเรสต์

“พวกเจ้ากล้าดียังไง แต่เดิม การที่ข้ายอมให้พวกเจ้าเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเจ้าสามเผ่าพันธุ์”

“ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา พวกเจ้าต่างก็ตกลงกับข้าว่าพวกเจ้าจะส่งผู้คนเข้าไปในทุกสิบปีเพื่อให้เขตแดนจักรพรรดินั้นได้รักษาดุลยภาพของทรัพยากรและพลังงานเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทรัพยากรในเขตแดนต้องหมดไป”

“แต่ในตอนนี้ พวกเจ้าทั้งเก้ากลับละโมบโลภมาก พวกเจ้าพึ่งจะส่งคนเข้าไปปล้นชิงทรัพยากรในเขตแดนมานานกว่าสามปีแล้วยังคิดที่จะส่งคนเข้าไปต่ออีก ช่างน่ารังเกียจเดียดฉันท์นัก”

“ในเมื่อพวกเจ้าผิดสัญญา ข้าจะลงโทษพวกเจ้า หลังจากนี้ เขตแดนจักรพรรดิจะเปิดขึ้นอีกครั้งทิ้งช่วงเวลาทั้งหมดห้าสิบปี”

“ฮั่นจุย หลี่กวง เซียงปิ่น พวกเจ้ารีบนำคนของเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อย่าโทษข้าที่โหดร้ายทารุณ ลงมือขับไล่เจ้าทั้งหมดไม่ให้เข้ามาที่นี่อีกตลอดกาล”

ทุกคนได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้อง แต่ไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของผู้ส่งเสียง

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นราชาระดับจอมพลเทพสงครามขั้นกลางทั้งสามต้องบาดเจ็บหนัก แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันอีกหกคนจากอีกสองเผ่าพันธุ์สมควรจะตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน นี่แสดงให้เห็นว่าผู้พูดช่างทรงพลังอย่างน่าสะพรึง

นี่แสดงให้เห็นว่าหากผู้ที่ส่งเสียงมานี้อย่างน้อยก็สมควรจะอยู่ในระดับราชานักรบขุนพล….ไม่สิ ราชานักรบจักรพรรดิเทพสงครามเป็นอย่างน้อยเป็นแน่

และนี่ทำให้ผู้นำของทั้งสามเผ่าพันธุ์ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ทุกคนได้รีบสั่งการออกไปให้ทุกคนถอนกำลังออกไป

ที่พื้นที่ห่างไกลจากเขาเอเวอเรสต์ ฮั่นจุยและนักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้หยุดเดินทาง

“แค่ก แค่ก..”

หลังจากออกจากเรือมังกรบินมาแล้ว ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียได้ไอออกมาสองที ก่อนที่จะมีเลือดกระอักออกมาจากมุมปาก

“ผู้อาวุโสฮั่น เสียงนั่นมัน…”

เพียงแค่ได้ยินคำพูดนี้ ฮั่นจุยก็มีสีหน้าที่ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม เขาหันกลับไปมองเขาเอเวอเรสต์ที่ตั้งตระหง่านเสียดฟ้าจนไม่เห็นแม้แต่ยอดแล้วพูดออกมา “ดูเหมือนว่าตำนานนั่นจะเป็นจริงสินะ”

เว่ยหยวนตี้ จ้าวหลี่และหลิวตันที่ได้ยินก็อดที่จะมองไปยังฮั่นจุยและถามออกมาอย่างสับสนไม่ได้ “ผู้อาวุโสฮั่น ข่าวลือที่ท่านว่านั้นคือเรื่องอะไรกัน”

นี่เป็นคำถามที่เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นจางหยวน เว่ยฉิงเชิน และคนอื่นๆต่างก็อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม

ฮั่นจุยและผู้อาวุโสคนอื่นแห่งภาคกลางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดนักรบแห่งเผ่าพันธุ์

แต่เพียงการโจมตีเดียวนั้น ไม่เพียงจะทำให้ฮั่นจุยและผู้อาวุโสอีกสองคนเจ็บหนักแล้ว ดีไม่ดีแม้แต่ทางด้านมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดเองก็คงตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกันมากนัก

แต่ผู้ที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้เป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีพลังการโจมตีที่น่าสะพรึงได้ถึงขนาดนี้

เท่าที่ได้ยินนั้น คนผู้นี้เพียงแค่ทำการลงทัณฑ์เพื่อการตักเตือนเท่านั้น ไม่ได้หวังที่จะฆ่าแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ราชาทั้งสามเผ่าพันธุ์คงสูญหายไปในทันที

เมื่อได้ยินคำถามของเว่ยหยวนตี้นี้ทำให้นักรบผู้มีระดับเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูงทั้งหลายต่างก็เบิกตากว้างและเงี่ยหูฟังในทันที

“เฮ้ออออ ข้านั้นเพียงแค่ได้ยินเรื่องเล่ามาจากรุ่นก่อนของสภาสูงเพียงเท่านั้น”

“ผู้คนมากมายที่รู้ถึงการคงอยู่เขตแดนจักรพรรดิ แต่กลับไม่มีใครเลยที่รู้ว่ามันมีที่มาที่ไปที่แน่ชัดอย่างไร แม้แต่รุ่นก่อนเองก็ยังไม่รู้ในเรื่องนี้”

“แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้เองก็มีเรื่องที่บอกเล่าสืบต่อกันมาว่าเขตแดนจักรพรรดินี้เป็นพื้นที่ที่เหล่าราชาที่อยู่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิเทพสงครามของทั้งสามเผ่าพันธ์ุได้สู้รบแล้วเหลือทิ้งเอาไว้”

“และด้วยการที่มันนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาย่อมไม่มีใครคิดเป็นจริงเป็นจังกับมันแม้แต่น้อย”

“นั่นก็เพราะทุกคนที่ได้เข้าไปนั้นต่างก็รู้ดีว่าเขตแดนแห่งนี้เกิดจากการหลอมรวมโลกใบเล็กของราชาจักรพรรดิเทพสงครามของสามเผ่าพันธุ์”

“แต่ในเมื่อทั้งสามเผ่าพันธุ์เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ แล้วทำไมโลกใบเล็กของราชาจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ถึงหลอมรวมกันหลังดับสิ้นไปได้”

“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าสงสัยมาโดยตลอด”

“แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นค้นพบเขตแดนจักรพรรดิได้ยังไง”

ทุกคนต่างก็ส่ายหัวไปมาในทันทีเมื่อได้ยิน

เป็นตอนนี้ที่ผู้อาวุโสถงได้นิ่งคิดพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ข้าจดจำได้ว่าท่านรุ่นก่อนนั้นเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อสักสามร้อยไม่ก็สี่ร้อยปีก่อน มีบุคคลลึกลับผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวที่สภาสูงภาคกลาง ซึ่งในตอนนั้นท่านรุ่นก่อนอยู่ในระดับเพียงราชาจอมพลขั้นต้นเพียงเท่านั้น แต่ผู้ลึกลับคนนั้นกลับอยู่ในระดับจอมพลขั้นสูงช่วงปลายไปแล้ว”

“ข้าได้ยินมาว่าเรื่องราวต่างๆของเขตแดนจักรพรรดินั่นถูกบอกเล่าออกมาโดยผู้ลึกลับคนนั้น”

“ถูกต้อง” ฮั่นจุยพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในหอตำราของสภาสูงภาคกลาง ข้าเองก็ได้มีโอกาสได้อ่านบันทึกลับนี้ด้วยเช่นกัน”

“ในบันทึกนั้นได้กล่าวไว้ว่า ไม่เพียงผู้ลึกลับตนนั้นจะบอกที่ตั้งแล้ว เขายังบอกวิธีการเปิดเขตแดน แม้แต่สร้างข้อตกลงให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นเปิดเขตแดนเข้าไปพร้อมกันในสามทิศทาง”

“น่าเสียดายที่ผู้ลึกลับคนนั้นไม่ได้เปิดเผยว่าเขตแดนจักรพรรดิแห่งนั้นมีที่มาที่ไปยังไง เรื่องเล่าที่บอกต่อๆกันมานั้น ก็ได้สร้างความสงสัยและคาใจของสามเผ่าพันธุ์จากข้อมูลที่ได้รับสืบทอดมา

“ก็อีกล่ะนะ เรื่องเล่าจากรุ่นก่อนนั่นที่ว่าผู้ลึกลับคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว”

“หลังจากนั้น พวกเราสามเผ่าพันธุ์เมื่อสามารถใช้วิธีการของคนลึกลับคนนั้นแล้วสามารถเปิดเขตแดนจักรพรรดิได้จริงแล้ว ก็ได้กอบโกยทรัพยากรมากมายจากเขตแดนจักรพรรดิ และเป็นเช่นนี้มาตลอดสามร้อยปี จนทำให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์มีความแข็งแกร่งที่สูงมากขึ้น โดยในเหล่าสามเผ่าพันธุ์นี้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่ได้ประโยชน์สูงสุด”

“และด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานานหลายปีนี้ ฮั่นจุยเองแม้จะเชื่ออยู่บ้าง แต่ก็กลับคิดอยู่ว่าคนลึกลับคนนั้นสมควรจะแก่ชรา ไม่ก็ตกตายไปแล้ว”

“นั่นก็เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ราชาระดับจอมพลนั้นอย่างมากก็มีช่วงชีวิตอยู่ได้เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น แต่จากเหตุการณ์ในวันนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าคนลึกลับคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่”

“และระดับการบ่มเพาะของเขานั้นก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเทพสงคราม”

“จักรพรรดิเทพสงครามเลยนะ”

“ช่วงชั้นในตำนานที่ไม่สามารถพบเจอได้แม้แต่ในเหล่าสามเผ่าพันธุ์ หรืออย่างน้อยๆพวกข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนจนกระทั่งมาได้พบเจอในวันนี้”

“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านพอจะรับรู้ได้ไหมว่าผู้ลึกลับคนนี้เป็นเผ่าพันธุ์ใดกัน”

ฮั่นจุยเมื่อได้ยินก็ทำได้เพียงยิ้มแหยๆเป็นการตอบคำถามของเว่ยหยวนตี้

“หึหึหึ ข้าไม่ได้แน่ใจแม้แต่น้อยในเรื่องนี้ การขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาดหรือมนุษย์กลายพันธุ์ หากเป็นเจ้า ข้าถามหน่อยเถอะว่าเจ้านั้นคิดจะออกไปอยู่ดูนอกฉากแบบนี้รึเปล่า”

“เอาล่ะ เว่ยหยวนตี้ จ้าวหลี่ หลิวตัน นำคนของพวกเจ้ากลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซะ”

“ส่วนเว่ยฉิงเชินนั้น เจ้าต้องตามข้ากลับไปยังสภาสูง”

เว่ยฉิงเชินเมื่อได้ยินก็รีบปฏิเสธในทันที “ไม่ ข้าต้องการกลับไปที่กันหนันกับพ่อของข้า”

ส่วนเว่ยหยวนตี้นั้น เมื่อได้ยินก็มีท่าทางมีความสุขอย่างที่สุดก่อนที่จะพูดออกมา “ฉิงเชิน เรื่องนี้เจ้าปฏิเสธไม่ได้”

ผู้อาวุโสฮั่นต้องการพาเจ้ากลับไปยังสภาสูงภาคกลางเพื่อชุบเลี้ยง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ต้องการ

“การได้รับโอกาสนี้จากผู้อาวุโสฮั่นเป็นการส่วนตัวแล้วนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะของเจ้า ใครจะรู้ เมื่อพบเจอกันอีกครั้ง เจ้าอาจจะอยู่สูงล้ำกว่าพ่อไปแล้วก็เป็นไปได้”

“ไม่ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะกลับไปรอพี่ใหญ่เฉินเฉียงของข้าจนกว่าเขาจะกลับมา”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท