ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 257 ข้อตกลง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 257 ข้อตกลง

“ในเมื่อมีปัญหาที่แก้ไม่ได้แบบนี้ เฉินเฉียงเอ๋ย บางทีเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะต้องยอมรับให้มันเป็นไป”

“ไม่ว่าความขัดแย้งของทั้งสามพันธุ์จะเริ่มมาจากไหนก็ตาม แต่นั่นมันก็ทำให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องต่อสู้กันมานับร้อยปี แม้คลื่นรุ่นใหม่จะเข้ามาแทนที่คลื่นลูกเก่าไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งนี้จืดจางลงเลยแม้แต่น้อย”

“ถึงแม้ว่าคำถามมากมายจะถูกแก้ได้ง่ายๆหากได้คำตอบ แต่กับคำถามแบบนี้ เจ้าอย่าได้ไปสนใจมันมากจะดีกว่า”

“คำถามแบบนี้รึ หึหึหึ ข้าไม่คิดเช่นนั้นนา” เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาในทันที “หากจะให้ข้าพูดล่ะก็ มันก็คงเป็นความผิดมนุษย์มนาของมนุษย์กลายพันธุ์กระมัง”

“เฉินเฉียง นี่เจ้ากล้าดียังไงถึงได้กล่าววาจาไม่สุภาพต่อท่านราชาสวรรค์แบบนี้ นี่เจ้าคิดจะรนหาที่ตายจริงๆใช่ไหม”

“ไม่เอาน่า หยานเสวี่ย ให้เขาพูดต่อไป ข้าเองก็อยากจะได้ยินความคิดที่แหวกแนวของเด็กนี่เหมือนกัน”

เฉินเฉียงไม่ได้สนท่าทางดุร้ายของหยานเสวี่ยแม้แต่น้อยแล้วพูดต่อไป “แล้วไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ”

“ตอนที่ข้าได้เข้าร่วมการประลองสี่สำนัก ข้าได้เห็นกระบวนการที่หลินฟานใช้ในการเปลี่ยนคนให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ในเขตแดนประลองนั่นเพื่อให้กลายเป็นสายลับมาแล้ว”

“แล้วทั้งสามคนนั้นก็ถูกข้ากำจัดทิ้งไป”

“ทั้งสามคนนั้นเปลี่ยนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หลังจากที่หลินฟานฝังแผ่นแก่นพลังงานเข้าไปในหัว”

“และด้วยการที่ทั้งสามถูกบังคับให้เปลี่ยนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไป พวกเขาจึงสูญเสียสามัญสำนึกของมนุษย์ จนไม่อาจยอมรับว่าตนเองเป็นมนุษย์ธรรมดาได้อีกต่อไป”

“แล้วท่าน ราชาสวรรค์ ท่านเองก็พูดออกมาเมื่อครู่นี้เองว่าแม้แต่ท่านเองก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แล้วหลังจากท่านเปลี่ยนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์มาแล้วท่านจะไม่เป็นเหมือนกันได้ยังไง ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่คิดส่งข้าเพื่อเปิดทางให้สายลับเข้าสู่ตึกจอมพลภาคกลางนั่นหรอก”

“หากท่านบอกว่าพวกท่านไม่ผิดมนุษย์มนาแล้วท่านบอกข้าทีว่ามันคืออะไร”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า….”

ไม่ได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดออกมาจากปากของเฉินเฉียงแล้วนั้น ราชาสวรรค์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น

หลังจากหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้ว ราชาสวรรค์ที่กำลังนั่งอยู่ก็ได้ชี้ไปที่หัวของตัวเองแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง มา ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง เจ้าลองมาดูดแผ่นแก่นพลังงานออกจากหัวสมองของข้าดูหน่อยสิ เจ้าคิดว่ายังไง”

“ห้ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงก็ถึงกับหน้าซีดเผือดจนถึงกับต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลางมองกับราชาสวรรค์อย่างสับสน

เขานั้นดูดแผ่นแก่นพลังงานออกจากหัวมนุษย์กลายพันธุ์มานักต่อนัก และนี่ทำให้เขารู้ดีว่าหากดูดแผ่นแก่นพลังงานนี้ออกมาแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์ล้วนแล้วแต่ตกตายในทันที

แล้วทำไมราชาสวรรค์ถึงกล้าทำอย่างนี้ได้กัน

นี่เขาไม่คิดที่จะอยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วรึยังไง

ลองใจเหรอ

หรือนี่คือการลองใจเขาจริงๆ

นี่ราชาสวรรค์คิดว่าเขานั้นจะไม่อาจฆ่าเขาได้ต่อให้มีโอกาสรึไงกัน

เฉินเฉียงยังคงลังเลจนไม่กล้ากล้าออกจากจุดที่ยืนอยู่เลยสักก้าวเดียว เป็นตอนนี้ที่ราชาสวรรค์ได้ทำท่าทางราวกับหัวเราะเยาะเย้ยแล้วพูดออกมา “อะไร เจ้ากลัวรึไงกัน”

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าเองก็หาโอกาสฆ่าข้าอยู่ไม่ใช่รึไงกัน”

สิ่งที่ราชาสวรรค์พูดออกมานั้นผิดไปอย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะไม่ชอบที่ถูกควบคุมโดยราชาสวรรค์ก็ตาม แต่ราชาสวรรค์นั้นกลับไม่เคยคิดจะบังคับเฉินเฉียงเลยแม้แต่น้อย เขายังช่วยเฉินเฉียงในการบ่มเพาะอยู่หลายครั้ง

อย่างน้อยๆจนมาถึงตอนนี้ เฉินเฉียงก็ยังไม่เคยคิดที่จะลงมือสังหารราชาสวรรค์แบบจริงจังเลยสักครั้ง

แต่กระนั้น คำพูดของราชาสวรรค์กลับไปกระตุ้นต่อมโมโหของเฉินเฉียงเสียอย่างนั้น

“อะไร ใครกลัว ข้าเนี่ยนะกลัว ท่านราชาสวรรค์ ท่านเป็นคนขอให้ข้าลองดูเองนา ถึงแม้ว่าท่านจะมีพวกมากกว่า แต่ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา ท่านก็อย่าได้โทษข้าเลยแล้วกัน”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้ตรงเข้าไปหาราชาสวรรค์และยื่นมือขวาออกไป

“เฉินเฉียง เจ้ากล้ารึ”

หยานเสวี่ยได้เดินตรงไปแล้วรีบคว้ามือของเฉินเฉียงหยุดเอาไว้

“หยานเสวี่ย ไม่ต้องห้ามเขา ไม่ต้องกังวล อย่างเด็กนี่ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่แล้ว”

“แต่นายท่านราชาสวรรค์ หากไอ้หมอนี่มันคิดจะทำเรื่องไม่ดีล่ะ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าไม่เคยดูใครผิดพลาด เอาน่า หยานเสวี่ย หากเจ้าไม่อาจวางใจได้จริงก็แค่ยืนประกบเจ้าเด็กนี่ไว้ก็พอ”

หยานเสวี่ยได้จ้องถมึงถึงไปที่เฉินเฉียง ก่อนที่จะละมือจากมือของเฉินเฉียงแล้วไปจับดาบของตนไว้ พลางมองไปที่เฉินเฉียงอย่างไม่วางตา ตราบใดที่เฉินเฉียงคิดไม่ซื่อ เธอจะส่งเขาไปลงนรกในทันที

“องครักษ์หยาน ไม่ต้องเกร็งจนมือสั่นขนาดนั้นหรอกน่า” เฉินเฉียงพูดออกมาเบาๆก่อนที่จะวางมือขวาไปบนหัวของราชาสวรรค์ และใช้พลังเพื่อดูดแผ่นแก่นวิญญาณออกมา

“ฮื้ม”

“ไม่จริงน่า”

“ขอลองอีกทีนะ”

“เดี๋ยวนะ”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้หยุดมือกลางคัน กองที่จะมองไปที่ราชาสวรรค์อย่างตกตะลึง แล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ราชาสวรรค์ …ท่าน…ท่านไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์รึ ถ้า…ถ้าอย่างนั้นท่านก็เข้ามาอยู่ในฝั่งมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งๆที่เป็นมนุษย์เช่นข้าเนี่ยนะ”

แม้จะพูดออกมาแบบนี้แต่เฉินเฉียงก็ยังลองดูดแผ่นแก่นวิญญาณดูอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่อาจจะพบเจอแผ่นแก่นวิญญาณในหัวของราชาสวรรค์แต่อย่างใด

ราชาสวรรค์ในตอนนี้ได้เอามือขึ้นมาจับมือของเฉินเฉียงให้เอาออกจากหัวของตน ก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เฉินเฉียง เจ้านั้นพูดผิดแล้ว ตัวข้านั้นคือราชาสวรรค์ขนานแท้”

“เป็นไปไม่ได้ ก็ข้าตรวจสอบดูแล้ว ท่านไม่มีแผ่นพลังงานเลยสักแผ่นเดียว แล้วท่านจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้ยังไง”

ราชาสวรรค์ยังไม่พูดอะไรออกมา เขาได้หันไปมองหน้าเฉินเฉียงก่อนที่จะพูดออกมา “เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้าลองดูแล้ว ถ้าอย่างนั้นขอข้าลองดูบ้างได้รึเปล่า”

“แน่นอน เชิญเลย”

โดยไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย เฉินเฉียงได้นั่งลงแล้วปล่อยให้ราชาสวรรค์ทำตามที่เขาต้องการ

ราชาสวรรค์ได้ยื่นมือของตนไปวางไว้บนหัวของเฉินเฉียงแล้วทำการปล่อยพลังเพื่อดูดแผ่นแก่นวิญญาณออกมา แต่พลังที่เขาใช้นั้นดูอลังกว่าเฉินเฉียงนิดหน่อย

“ไม่มีรึ จริงรึเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า”

หลังจากสิ้นประโยคคำถาม เขาก็หัวเราะอีกครั้ง แถมครั้งนี้เขาหัวเราะอย่างหมดหัวใจจนน้ำตาไหลออกมาเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะไม่รู้ว่าทำไมราชาสวรรค์นั้นถึงต้องหัวเราะเป็นการใหญ่ขนาดนี้ แต่ไอ้คำพูดที่ว่าราชาสวรรค์นั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ขนานแท้นี่ยังค้างคาอยู่ในใจเขาอย่างมาก

“ท่านราชาสวรรค์ ที่ท่านว่ามาก่อนหน้านี้หมายความว่ายังไงกัน ไม่ใช่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทุกตนต้องมีแผ่นแก่นพลังงานอยู่ในหัวหรอกเหรอ”

“สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นมันถูกต้องแล้ว”

ราชาสวรรค์พยักหน้ารับในทันที “อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะไม่รู้ข้อหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์กลายพันธุ์นั้นก้าวเข้าสู่ระดับเทียบเท่าราชาขุนพล แผ่นพลังงานในหัวของมนุษย์กลายพันธุ์ผู้นั้นจะละลายหายทำให้คนคนนั้นไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดาคนหนึ่ง ”

“จะมีสิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือพลังเหนือมนุษย์ของพวกเขาที่มีอยู่นั้นไม่ได้สลายหายไป มันจะคงอยู่กับคนคนนั้นไปตลอดชีวิตจนกระทั่งตกตายไป”

“ดังนั้นแล้ว เฉินเฉียงเอ้ย ไอ้สิ่งที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านี้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ต้องมีแผ่นแก่นพลังงานในหัวแบบนั้นมันก็ถือได้ว่าผิดเช่นเดียวกัน”

“มีเพียงนักรบซากศพเพียงเท่านั้นที่จะมีแผ่นแก่นพลังงานนี้ฝังไว้ตลอดชีวิต”

“แต่ก็อีกนั่นแหละ หากจะให้พูดแล้วล่ะก็ ถึงแม้แผ่นแก่นพลังงานจะถูกฝังไว้ในศพเหล่านั้นก็จริง แต่ไอ้พวกนั้นเองก็ไม่ได้ถือว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่แท้จริงแต่อย่างใด ถ้าให้พูดกันตรงๆมันก็ไม่ได้ต่างจากศพเดินได้ที่เป็นตุ๊กตาของมนุษย์กลายพันธุ์เพียงเท่านั้น”

“สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่แท้จริงนั้นมันก็คือ การหลอมรวมเอาศาสตร์แห่งพลังงานฟ้าดินที่ลึกลับเข้ากับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยจนก่อให้เกิดแผ่นแก่นพลังงานขึ้นมา แผ่นแก่นพลังงานถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือแหล่งที่มาของพลังเหนือมนุษย์ของเผ่าพันธุ์ของข้าก็ว่าได้ หรือจะให้พูดอีกทางหนึ่งก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของมนุษย์ผู้นั้นแข็งแกร่งพอที่จะรับพลังเอาไว้ อย่างเช่นการก้าวไปถึงระดับราชาขุนพลเทพสงคราม แผ่นพลังงานนี้ก็ย่อมถูกดูดซับไปโดยสมบูรณ์ นั่นจึงทำให้มันหายไป”

“ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้านั้นไม่อาจจะดูดแผ่นแก่นพลังงานของข้าได้อีกต่อไปก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าแผ่นแก่นพลังงานของข้านั้นได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของข้าไปแล้ว”

“ตราบใดที่ข้ามีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับราชาขุนพลเทพสงคราม แผ่นแก่นพลังงานย่อมหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในร่างกาย และนั่นจะทำให้ข้าไม่ได้ต่างไปจากเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

“เอาจริงๆถ้าจะให้พูดให้เข้าใจง่ายๆนั่นก็คือ มนุษย์กลายพันธุ์ที่เจ้าว่านั้นมันก็แค่คนที่ใช้วิธีการบ่มเพาะอีกแขนงหนึ่งที่แตกต่างจากวิธีการของพวกเจ้าอย่างสิ้นเชิงเพียงเท่านั้น”

“นี่จึงทำให้สิ่งเจ้าพูดมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับไอ้ความคิดผิดมนุษย์มนาอะไรของเจ้านั้นมันผิด”

“แต่ก็อีกล่ะนะ ขนาดข้าเองที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ยังคิดเลยว่าไอ้การบ่มเพาะของมนุษย์ของพวกเจ้านั้นมันช่างช้าเชื่องจนรู้สึกขัดหูขัดตาจนอยากจะฆ่าทิ้งให้มันพ้นๆสายตาไปเหมือนกัน”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินคำบอกเล่าของราชาสวรรค์แล้วนั้นก็รู้สึกได้ราวกับได้ฝังคำบอกเล่าเกี่ยวกับบันทึกของสวรรค์ก็ไม่ปาน หลังจากนิ่งคิดไปนาน เขาก็ได้หันไปมองหยานเสวี่ย หยานเสวี่ยเองเมื่อรับรู้ก็ทำเพียงเชิดหน้าใส่พร้อมกับสบถออกมาเบาๆ

นี่แสดงว่าหยานเสวี่ยนั้นได้รับรู้อยู่ก่อนแล้ว อาจจะตั้งแต่ตอนที่เธอถูกเปลี่ยนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยซ้ำกระมัง และนี่คงทำให้มันกลายเป็นความหวังในชีวิตเธอ

ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังคิดอยู่นี้เอง ราชาสวรรค์ก็ได้ถามออกมา “เฉินเฉียง ความจริงข้าเองก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ แต่เจ้ากลับสามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ได้อย่างเชี่ยวชาญ อย่างเกราะเหล็กไหลและทักษะพันหน้าได้ยังไง”

“อ้า….. เรื่องนั้น…ก็..” เฉินเฉียงอึกอักอมพะนำเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะอย่างมีเลศนัยแล้วพูดออกมา “ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านราชาสวรรค์ พอดีก่อนหน้านี้ข้าได้พบอาจารย์คนหนึ่ง ท่านเป็นคนสอนทักษะเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดให้กับข้า”

“โอ้…อาจารย์ของเจ้ารึ เขาเป็นใครมาจากไหนกัน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ต่อให้ข้าพูดออกไปท่านก็คงจะไม่รู้จักกระมัง อาจารย์ของข้าเป็นคนในองค์กรฮุยตู๋”

“ฮุยตู๋รึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฉินเฉียง ราชาสวรรค์ก็ได้หัวเราดังลั่นกว่าก่อนหน้า จนทำให้เฉินเฉียงถึงกับขนลุกขนชันเลยทีเดียว

“เฉินเฉียง เจ้านี่น้า ยากที่จะไล่ต้อนเลยจริงๆ”

“ข้าขอถามหน่อยเถอะว่าตัวเจ้าน่ะรู้รึเปล่าว่าฮุยตู๋นั้นจริงๆแล้วคืออะไร แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ แต่ก็อีกล่ะนะ เดี๋ยวพอข้าถามไป เจ้าก็คงจะตอบว่าเป็นความลับสุดยอด ไม่อาจเป็นเผยให้ข้ารับรู้ได้อีกใช่ไหมล่ะ”

“แต่ก็อีกล่ะนะ หากเจ้าใช้ข้ออ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในอนาคต หากมีใครสงสัยในเบื้องหลังของเจ้าอีกล่ะก็ เจ้าสามารถใช้ข้ออ้างนี้ได้อย่างสบายใจเลย”

“นั่นก็เพราะนอกจากที่จะไม่มีใครกล้าหือกล้าอือกับฮุยตู๋แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือจะไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เจ้ามีพลังเหนือมนุษย์อีก”

“เอาล่ะ เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้านั้นไม่อยากจะตอบ ข้าก็จะไม่คาดคั้นเจ้าในเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

“กับความลับของพลังของเจ้านี้เก็บเอาไว้กับตัวได้เป็นดีที่สุดแล้ว”

“แต่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ส่วนไอ้ความลับของเขตแดนจักรพรรดินั่นเจ้าเองก็คงไม่ใช่ว่าจะคิดที่จะไม่บอกข้าเหมือนกันนา”

เฮ้ออออ ในที่สุดก็มาถึงเรื่องนี้จนได้

เมื่อเฉินเฉียงออกมาแล้วยังพบหยางเสวี่ยตัวเป็นๆแบบนี้ มีหรือที่ราชาสวรรค์จะไม่รับรู้

ยังไงซะทุกคนต่างก็คิดว่าเฉินเฉียงนั้นคือผู้ที่ถือครองความลับของเขตแดนจักรพรรดิอย่างแท้จริง

แต่เขาจะบอกเล่าเป็นคำพูดออกมายังไงได้กัน

นั่นก็เพราะไอ้ความลับของเขตแดนจักรพรรดิที่เขาสัมผัสมานี่นั้นแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรกันแน่

ในเขตแดนลับนั่น มีซากร่างของราชาจักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์ ความร่วมมือนั่น แผ่นป้ายรูปตัวY ไหนจะไอ้กระดูกสีดำนั่นอีก

ด้วยสิ่งต่างๆที่เขานั้นไม่รู้ที่มาที่ไปนี้ทำให้เขาเองก็ไม่กล้าที่จะกล่าวบอกกับราชาสวรรค์ได้ลง

แต่ยังไงซะนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นคนเดียวเพียงเท่านั้น

ยังไงซะในโลกใบนี้เองมันก็สับสนอลหม่านจนยากจะเข้าใจนี้ ยังไงซะ เขากับราชาสวรรค์ก็ถือได้ว่าเป็นคนละฝั่งกัน ต่อให้ราชาสวรรค์จะดูแลเขาดียังไงแต่เขาเองก็อาจจะยังถือว่าเขาเป็นศัตรูอยู่ก็ได้

นี่จึงทำให้เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะคิดรับมือในกรณีที่ราชาสวรรค์คิดจะสังหารเขา แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็อยากจะเผยข้อมูลนี้ออกไปเพียงเล็กน้อยเพื่อยื้อเวลาไม่ให้ราชาสวรรค์ฆ่าเขา อย่างน้อยๆก็ในตอนนี้

ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังคิดเรียบเรียงข้อมูลอยู่ว่าควรจะบอกอะไรกับราชาสวรรค์บ้างนั้น เขาไม่คิดว่าราชาสวรรค์จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ฮี่ฮี่ฮี่ ไม่เป็นไร เฉินเฉียง หากเจ้าไม่อยากจะพูดออกมานั้นก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าเจ้าพร้อมจะบอกเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกกับข้าก็แล้วกัน”

ห้ะ

ได้เหรอ

ราชาสวรรค์ไม่คิดจะถามเขาแล้วเนี่ยนะ

หรือว่าราชาสวรรค์จะคิดตัดใจไปแล้ว

ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะรู้สึกดีใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อดที่จะผิดหวังไปไม่ได้เหมือนกัน

ที่เขาดีใจนั้นก็เพราะราชาสวรรค์ไม่ได้ให้เขาพูดในสิ่งที่เขายังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่

แต่สิ่งที่เข้าผิดหวังก็คือเขานั้นคิดจะให้ข้อมูลเล็กๆน้อยๆเผื่อว่าผู้ที่มีความรู้มากมายอย่างราชาสวรรค์ จะช่วยเขาคลายปมคำถามในใจเหล่านี้ได้บ้าง

แต่ก็อีกล่ะนะ ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปได้แบบงงๆ เขาเองคงก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก

“ว่าแต่ เฉินเฉียง เจ้าคิดจะทำยังไงต่อในอนาคตกัน”

เมื่อปิดคำถามหนึ่งไป อีกคำถามหนึ่งก็ได้เริ่มขึ้นในทันที “ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ ข้าก็คงไม่คิดที่จะให้ทำอะไรต่อไปอีกเหมือนกัน หรือจะให้เรียกว่าเจ้าและข้าไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้วก็ได้”

“หากเจ้าต้องการจะอยู่ที่นี่ล่ะก็ เจ้าก็อยู่ได้ตามที่เจ้าต้องการ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากจะจากไป ข้าจะให้หยานเสวี่ยออกไปส่งเจ้า”

“ท่านราชาสวรรค์ นี่ท่านจะปล่อยข้าให้รอดออกไปจริงๆอ่ะ”

ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้พูดคุยกับราชาสวรรค์นั้น เขาคิดถึงความเป็นไปได้มากมายที่ราชาสวรรค์คิดอยากให้เขากระทำ

เขาคิดว่าราชาสวรรค์จะรีดเค้นข้อมูลเกี่ยวกับเขตแดนจักรพรรดิจนหมดเปลือก คิดว่าราชาสวรรค์ยังคงจะให้เขาทำงานให้อยู่ หรือแม้กระทั่งให้เขาหาโอกาสเล่นงานราชาทั้งสามแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยใช้ชีวิตของสมาชิกในกองกำลังเทียนเว่ยของเขาเป็นตัวประกัน

แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าราชาสวรรค์จะปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้

นี่คือราชาสวรรค์คนที่เขานั้นพยายามใส่ร้ายป้ายสีให้โดนลิดรอนอำนาจจริงๆรึ

แต่ไม่นาน ใจของเฉินเฉียงก็บังเกิดความรู้สึกเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือความรู้สึกว่าตัวเองได้สร้างปัญหาให้กับคนที่ไม่สมควร

แต่เมื่อนึกถึงว่าราชาสวรรค์นั้นได้ฝังเครื่องติดตามลงในดาบดั้นเมฆ และให้หยานเสวี่ยคอยคิดตามเขาแล้ว แน่นอนว่าราชาสวรรค์สามารถทำสิ่งต่างๆในการขู่เข็ญเขายังไงก็ได้ หรือจะให้บอกว่าชีวิตของเขาอยู่ในมือของราชาสวรรค์มาโดยตลอดก็ไม่ผิดนัก

เมื่อนึกถึงแบบนี้แล้ว ความรู้สึกผิดบาปก่อนหน้านี้ก็ได้หายไปในทันใด และนี่ทำให้เขาพูดออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา “ท่านราชาสวรรค์ ก่อนหน้านี้ข้าได้เสียอาวุธคู่มือไปในเขตแดนจักรพรรดิ ข้าสงสัยว่าท่านพอจะหาใครบางคนทำอาวุธให้ข้าใหม่ได้หรือไม่”

หลังจากพูดจบ เขาก็ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับธนูดำที่เขานั้นสูญเสียไปตอนที่ช่วยเว่ยฉิงเชิน

ถึงแม้ว่าในตอนนี้เว่ยฉิงเชินจะรู้ตัวตนของเขาและยอมรับได้แล้วก็ตามจนสามารถขอคืนจากเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จากการที่ได้รับรู้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีประสบการณ์ในการทำอาวุธได้มีประสิทธิภาพสูงล้ำขนาดไหนแล้ว เขาจึงคิดจะขอให้ราชาสวรรค์ทำธนูใหม่ให้เขาจะดีกว่า

ที่สำคัญคือธนูดำนั้นคุณภาพต่ำเกินกว่าจะรองรับพลังจิตของเขาได้แล้ว

หลังจากได้ยินรายละเอียดของเฉินเฉียงแล้ว ราชาสวรรค์ก็พยักหน้าขึ้นมา “ดังนั้นอาวุธที่เจ้าต้องการก็คืออาวุธระยะไกลที่รองรับกับการใช้พลังจิตในการโจมตีสินะ ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ และข้าก็ทำได้ดีเสียยิ่งกว่าธนูดำของเจ้ามากนัก”

“ว่าแต่เจ้าเชื่อได้ยังไงว่าพลังจิตของเจ้านั้นจะสูงล้ำกว่าที่ธนูดำอันเก่าของเจ้าจะรองรับไว้ได้กัน”

“ข้ามั่นใจในเรื่องนี้อย่างมาก แล้วก็ตราบใดที่ท่านยอมทำธนูให้ข้า ข้าจะยินดียิ่งที่ได้ใช้มัน(ติดค้างครั้งใหญ่)” เมื่อเห็นว่าราชาสวรรค์มีท่าทางที่จะทำธนูให้เขาแถมยังจะดีกว่าเดิมเสียอีก เฉินเฉียงก็ดีใจขึ้นมา ก่อนที่จะตบหน้าอกของตนแสดงออกมาอย่างเบาใจ

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นแล้วพลังจิตของเจ้าเป็นยังไงบ้างล่ะ” เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงมีท่าทีมึนงง ราชาสวรรค์ก็ได้อธิบายออกมา “ไม่เอาน่า หากว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำธนูที่รองรับพลังจิตของเจ้า เจ้าก็ต้องบอกข้ามาว่าเจ้ามีพลังจิตที่แข็งแกร่งอยู่ในระดับใด ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าถูกได้ยังไงล่ะ หรือว่าไม่จริง”

เฉินเฉียงพยักหน้ารับและเข้าใจในทันที เขานิ่งคิดแล้วพูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์ ในตอนนี้พลังจิตของข้านั้นสามารถส่งออกไปครอบคลุมพื้นที่ได้ประมาณสองพันสองร้อยเมตรเพียงเท่านั้น”

“แต่ข้าก็มั่นใจว่านี่เป็นเพียงระดับชั่วคราวเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนี้อีกไม่นานข้าจะทำให้มันขยายออกไปอีก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้านั้นจำเป็นต้องขอให้ท่านราชาสวรรค์ช่วยผู้น้อยคนนี้ทำธนูให้ข้าอย่างสุดฝีมือ”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท