บทที่ 286 แสดงความยินดี
เมื่อหยานเสวี่ยได้เปิดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว เฉินเฉียงก็รู้สึกถึงความสว่างไสวผ่านดวงตาของตน
แก้มป่องๆที่ดูแล้วมีความสุขแม้เจ้าของแก้มจะไม่ได้มีท่าทีมีความสุขแต่อย่างใด มันยิ่งดูล่อตาล่อใจจนละสายตาไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก มันราวกับเป็นหยกสีแดงระเรื่อที่ถูกประดับไว้บนแก้มจนไม่ต้องเติมแป้งบนใบหน้าแต่อย่างใด
ริมฝีปากที่อวบอิ่ม และฟันที่ขาวพลางชวนให้คิดถึงความสดใส
หยานเสวี่ยนั้นสำหรับเฉินเฉียงแล้วเปรียบได้ดั่งนางฟ้านางสวรรค์ชนิดที่ผู้คนนั้นไม่กล้าจะสบตาเพราะกลัวจะตกหลุมรัก และจ้องมองเธอได้อย่างไม่มีเบื่อจนไม่เป็นอันทำอะไร
และในครั้งนี้ หยานเสวี่ยไม่เพียงจะเปิดหน้าของเธอออกให้ดูเท่านั้น แต่เธอโยนมันทิ้งไปเลย
“มองพอรึยัง”
หยานเสวี่ยมองค้อนใส่เฉินเฉียงพร้อมแก้มที่แดงระเรื่อ
“อ้า…เอ้อออ” เฉินเฉียงเองก็รู้สึกอายในการกระทำไม่น้อย ก่อนที่จะกระแอมออกไปหนึ่งทีเพื่อแก้เก้อกับอาการไม่สมควรของตน
“เฉินเฉียง เจ้าคงไม่ได้สังเกตเลยสินะว่าช่วงที่เจ้าบ่มเพาะอยู่นั้น ข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับราชาแล้ว และนี่ทำให้ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าคลุมหน้าอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในตอนนี้ยังไม่มีใครบอกได้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์รึเปล่า”
ความจริงหยานเสวี่ยนั้นก็อยากจะบอกเรื่องที่เธอข้ามขั้นมาตั้งแต่แรกๆที่เธอข้ามขั้นได้แล้วเหมือนกัน แต่เธอดันข้ามขั้นได้หลังจากที่เฉินเฉียงเก็บตัวบ่มเพาะเพียงวันเดียว เธอเองจึงไม่อยากจะไปรบกวนเขาเหมือนกัน
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขารู้ดีว่าการก้าวเข้าสู่ระดับราชาสำหรับหยานเสวี่ยนั้นหมายถึงอะไร เขาจึงพยักหน้าออกมาแล้วพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็ ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยแล้วกัน แต่กับเรื่องเขาโชวหยางนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่อาจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายกับข้าได้จริงๆ”
“นี่เจ้าคิดว่าข้าอยากจะตามเจ้าไปจริงๆรึไงกัน” หยานเสวี่ยยังคงมองค้อนอยู่ “ข้าได้รับคำสั่งจากท่านราชาสวรรค์ให้คอยคุ้มครองเจ้าจนกว่าเจ้าจะบรรลุขั้นการบ่มเพาะได้นู่นแน่ะ”
“….ก็ได้ งั้นเดี๋ยวเราออกไปกันเลยแล้วกัน ว่าแต่ พวกเราไม่ควรจะพาเมิ่งน้อยไปด้วยนะ หากไอ้แก่แห่งเขาโชวหยางมันคลั่งกันขึ้นมา ข้ากลัวว่าเมิ่งน้อยจะเป็นอันตราย”
เฉินเฉียงนั้นความจริงต้องการที่จะไปยังเขาโชวหยางในทันทีที่เป็นไปได้ นี่จึงทำให้เขานั้นไม่มีทางเลือก
“เจี๊ยกเจี๊ยก” เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้ว เมื่งน้อยถึงกับของขึ้นก่อนที่จะแยกเขี้ยวยิงฟันและเชิดหน้าใส่เฉินเฉียงในทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ หยางเสวี่ยได้ยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะกวาดมือของตน และนั่นทำให้เมิ่งน้อยหายไปในทันที
“มันจะง่ายกว่านะถ้าทำแบบนี้ อย่าลืมสิว่าข้านั้นเป็นราชาแล้วน่ะ ข้าย่อมมีโลกใบเล็กของตนเอง ถึงแม้มันจะไม่ได้กว้างมาก แต่มันก็เพียงพอที่จะให้เจ้าเข้าไปอยู่ได้เลยนะ”
“ไม่เชื่อเหรอ เจ้าจะลองเข้าไปดูไหมล่ะ”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้เชิดหน้าชูคอพร้อมตบที่หน้าอกของตนอย่างภูมิอกภูมิใจ
ส่วนเฉินเฉียงนั้น เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พลางมองไปยังจุดที่หยานเสวี่ยตบลงไป ในที่สุด เขาก็ตัดใจเบือนหน้าหนีจนได้ในที่สุด
นั่นก็เพราะ จุดที่เมล็ดพันธุ์แห่งโลกนี้ฝังตัวอยู่นั้นคือจุดลมปราณที่เรียกว่าชานจ้งที่หน้าอก เป็นธรรมดาที่ทางเข้าออกของมันก็ต้องอยู่ที่หน้าอกเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นอยากจะลองเข้าไปในโลกใบเล็กของหยานเสวี่ยเพื่อศึกษาดูขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงพื้นที่ก่อนที่จะถึงช่องทางเข้าแล้วก็ทำให้เขานั้นนึกกระดากอายขึ้นมาไม่ได้จริงๆ และนี่ทำให้เขานั้นต้องโบกสะบัดมือของตนในทันที “ไม่เป็นไร เอาไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนแล้วกัน”
หลังจากตัดสินใจออกจากเกาะเทียนลี่แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ใช้ปีกสีเงินที่มีความยาวกว่าเก้าเมตรของตนออกไปจากที่นี่ การบินของเขานั้นยังรวดเร็วยิ่งกว่าหยานเสวี่ยที่อยู่ในระดับราชาซะอีก
หลังจากออกจากเขตทะเลแดนใต้ เฉินเฉียงก็ได้ดำดินในทันที ส่วนหยานเสวี่ยนั้นอาศัยการบินติดตามเฉินเฉียงโดยอาศัยการติดตามเครื่องติดตามที่ยังคงอยู่ที่ดาบดั้นเมฆ
ไม่กี่วันให้หลัง เฉินเฉียงและหยางเสวี่ยได้กลับมายังเขาหมาง ที่หลุมศพของซุนต้าฮู่
นับแต่เฉินเฉียงจากไป เจิ้งยี่ก็อาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เขานั้นใช้ที่นี่เป็นทั้งจุดบ่มเพาะและพื้นที่เฝ้าระวังให้กับอาณานิคมเขาหมางที่ด้านนอก
ครึ่งปีผ่านไป ถึงแม้ว่าเจิ้งยี่จะไปไม่ถึงระดับราชา แต่เขาก็กลายเป็นนักรบที่ทรงพลังสมกับเป็นกึ่งราชาอย่างที่สุด
“กัปตัน”
หลังจากเจิ้งยี่ส่งข้อความออกไป จางหยวนและพวกก็ได้มาหา
ในช่วงที่ผ่านมานี้ ระดับการบ่มเพาะในภาพรวมของกองกำลังเทียนเว่ยนั้นสูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ ในตอนนี้ นอกจากเจ้งยี่ จางหยวน และหนี่เฟิงที่อยู่ในระดับกึ่งราชาแล้ว คนอื่นก็เรียกได้ว่าอีกไม่นานแล้วเหมือนกัน
“กัปตัน ผู้นี้คือ…”
เมื่อได้เห็นสาวงามมายืนประกบเฉินเฉียงแล้วนั้น ทุกๆคนต่างก็พอกันคิดไปไกล
หยานเสวี่ยเองนั้นในตอนนี้เลือกที่จะหันหลังและจากไป ปล่อยให้เฉินเฉียงใช้เวลาร่วมกับคนในกองกำลังของตน
“เอ้า ก็องครักษ์หยานไง” เฉินเฉียงตอบออกมาอย่างไม่มากความแล้วพูดออกมาต่อ “จางหยวน เจ้าจะไปร่วมงานที่เขาโชวหยางหรือไม่”
“ไม่ล่ะ กัปตัน ท่านเองก็ยังถูกหมายหัวอยู่นา ข้าว่าหากท่านไปมีหวังท่านถูกจับต้องแต่ยังไม่เข้างานเลยด้วยซ้ำมั้ง”
จางหยวนเป็นคนแรกที่เอ่ยปากเพื่อที่จะหยุดเฉินเฉียง ส่วนคนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นทิวแถว
เฉินเฉียงที่รู้ทันก็ได้ยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ ในครั้งนี้ข้าจะไปที่นั่นเพียงคนเดียวเพื่อที่จะส่งของให้เว่ยหยวนตี้เพียงเท่านั้น ก็ไม่น่าจะต้องพบเจอสิ่งใดนะ”
“ยิ่งไปกว่านั้น หยานเสวี่ยเองก็จะตามข้าไปด้วย ตอนนี้เธอเองก็อยู่ในระดับราชาขุนพลแล้วด้วย”
“หากพวกเจ้าอยากจะติดตามจริง ข้าว่าสู้เจ้าบ่มเพาะอย่างหนักเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับภารกิจที่ยากเย็นแสนเข็ญกว่านี้ที่รอพวกเจ้าอยู่ในภายภาคหน้าจะดีกว่า”
“อีกอย่าง ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าในตอนนี้ หากพวกเจ้าคิดตามข้าไปจริง ไม่เพียงจะทำให้ข้าเสี่ยงมากขึ้น พวกเจ้าเองไม่คิดอย่างนั้นรึ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จางหยวนและพวกต่างก็เถียงไม่ออก
นั่นก็เพราะระดับการบ่มเพาะของเขานั้นยังต่ำเกินไปจริงๆ
“ส่วนวิธีการที่จะเข้าไปนั้น เดี๋ยวข้าจะเข้าไปแบบนี้แล้วกัน พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรมาก” เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเป็นจางหยวนในทันที
“ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว พวกเจ้าคงไม่หยุดข้าแล้วใช่รึเปล่า” หลังจากเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว เฉินเฉียงก็ได้มองไปที่จางหยวนและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดี กัปตัน ดูแลตัวเองด้วย ส่วนพวกเรานั้นจะขยันบ่มเพาะอย่างหนักเพื่อจะเพิ่มระดับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พวกเราจะได้สู้อยู่เคียงข้างท่านได้อย่างหายห่วงในอนาคต”
จางหยวนและพวกนั้นต่างก็รู้ดีว่าคำพูดของเฉินเฉียงนั้นไม่ได้กล่าวผิดแต่อย่างใด
แม้ว่าพวกเขาในตอนนี้จะเป็นกังวลในตัวกัปตันของพวกเขาขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเขาแล้ว ต่อให้ตามไปก็ไร้ประโยชน์ จะดีกว่าหากพวกเขาทุ่มเทเวลาไปกับการบ่มเพาะเพื่อข้ามขั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้
เฉินเฉียงพยักหน้ารับพลางมองไปที่ทุกคน ก่อนที่จะทะยานออกไปพร้อมกับหยานเสวี่ย
ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนงานพิธีระหว่างเว่ยฉิงเชินและฮั่นจุยจะเริ่ม ด้วยความเร็วของเขาและหยานเสวี่ยก็น่าจะไปถึงในวันงานพอดี
ตลอดการเดินทาง ทั้งเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยราวกับต่างคนต่างก็วุ่นวายในความคิดของตน และนี่ทำให้ทั้งสองไม่ได้พูดจาอะไรกันระหว่างทาง และด้วยความเร็วที่เหนือล้ำของทั้งสองก็ทำให้ทั้งสองไปถึงที่ตีนเขาโชวหยางในรุ่งเช้าของวันงาน
ด้วยการที่ฮั่นจุยผู้นี้จะตบแต่งภรรยาคนที่สิบสาม โอกาสอันดีเช่นนี้มีหรือที่ผู้คนจะไม่ใช้โอกาสนี้มามอบของขวัญเพื่อสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ทรงพลังเช่นเขา
แถมภรรยาคนที่สิบสามนี้ ไม่เพียงจะเป็นลูกสาวผู้เยาว์วัยของผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลาง เธอนั้นยังมีร่างกระจ่างจิตอีก
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าผู้ที่มีร่างกระจ่างจิตนี้คือผู้ที่สามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างไม่มีคอขวด และสามารถบรรลุขั้นบ่มเพาะเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คนผู้นั้นต้องการ
และเมื่อร่างนี้มาอยู่กับหญิงวัยเยาว์ ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้ชายทั้งหลายนั้นหมายปองที่จะได้ไปเยี่ยมเยือนเธอทุกวันทุกคืน
และในตอนนี้ ฮั่นจุยผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชาจอมพลได้ตั้งแต่ก่อนอายุห้าสิบปี หากเขาได้ร่วมเรือนเคียงหมอนกับเว่ยฉิงเชินแล้ว ย่อมเป็นธรรมดาที่เขานั้นจะสามารถบรรลุระดับขั้นการบ่มเพาะได้ แม้กระทั่งการขึ้นไปอยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นสูงช่วงปลายได้อย่างไม่ยากเย็น
แม้กระทั่งการกำเนิดของราชาจักรพรรดิคนที่สี่ก็ยังเป็นไปได้กับฮั่นจุยผู้นี้
และด้วยเหตุผลที่กระสันอยากได้ผู้ทรงพลังอย่างที่สุด เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้คิดใช้วิธีการนี้ และนี่ก็จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับสภาสูงที่จะให้ผู้คนโดยทั่วไปนั้นแสดงออกถึงความภักดีโดยใช้ฮั่นจุยเป็นตัวแทน แน่นอนว่าฮั่นจุยย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีและเขาก็ยินดียิ่งที่จะรับมันไว้
ที่ตีนเขาโชวหยาง เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยได้ต่อแถวอยู่ และในตอนนี้เข้าแสดงใบหน้าออกมาอย่างมู่ทู่ในทันทีที่ได้ยินคำในแถวพูดคุยกันถึงเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้
ฮั่นจุยผู้นี้ช่างไร้ยางอายอย่างเหลือคณานัก
เป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสสูงแห่งสภาสูงภาคกลาง แต่กลับใช้ข้ออ้างต่างๆเพื่อข่มเหงสาวน้อยที่มีอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเพียงเท่านั้น
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดก็ถึงคราวที่เฉินเฉียงมอบของขวัญ
เมื่อได้พบหน้าผู้ตรวจการแห่งเขาโชวหยางแล้ว เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา
มันเป็นจ้าวลี่
ชายคนนี้สร้างบาดแผลให้กับนักรบในเผ่าพันธุ์อย่างบาดลึก มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้กองกำลังของเขาแทบจะสูญสิ้น ทำเรื่องมากมายขนาดนั้นแล้วยังมีหน้ามาใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและกลายเป็นหมาเฝ้าประตูให้สภาสูงได้นี่ คงไม่ใช่ว่าหมอนี่ที่สร้างเรื่องมากมายขนาดนั้นได้เป็นเพราะฮั่นจุยหนุนหลังหรอกนะ
“จางหยวน….เหรอ”
เมื่อจ้าวลี่ได้เห็นหน้าเฉินเฉียงในตอนนี้ เขาก็พูดออกมาด้วยท่าทีกลั่นแกล้งในทันที “จางหยวน หากชายแก่คนนี้จำไม่ผิด กองกำลังของแกถูกหมายหัวอยู่ไม่ใช่รึ”
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าแกยังมีความกล้ามาเหยียบย่างเข้ามาที่เขาโชวหยางนี่ แกนี่มันใจกล้าดีจริงๆ”
เฉินเฉียงนั้นไม่มีอารมณ์มาเสียให้กับหมาเฝ้าประตูผู้นี้แต่อย่างใด เขาได้ถอดแหวนของตนโยนไว้บนโต๊ะตรงหน้าจ้าวลี่แล้วพูดออกมา “ไอ้ผู้ตรวจการจ้าว งานแต่งของผู้อาวุโสฮั่นในครั้งนี้เนี่ย มีคนส่งบัตรเชิญที่จ่าหน้าถึงกัปตันของข้าเองไม่ใช่รึไง หากแกกลัวข้าก่อเรื่องนักก็ส่งมาจับข้าก็แล้วกัน”
“หากว่าไม่แล้วก็อย่าได้มาแกว่งปากหาเท้าแบบนี้”
“แล้วนี่เป็นของขวัญของกองกำลังเราที่จะมอบให้ผู้อาวุโสฮั่น”
“แก…”จ้าวลี่ถลึงตาใส่ในทันที ความจริงเขาเองก็อยากจะจับตัวจางหยวนเสียตรงนี้เหมือนกัน แต่เมื่อในตอนนี้คืองานแต่ง ต่อให้เขานั้นใจกล้าหน้าด้านขนาดไหนก็ไม่กล้าที่จะก่อเรื่องที่กลางงานของฮั่นจุยได้
หลังจากสงบจิตใจลงแล้ว จ้าวลี่ก็ได้หยิบแหวนของเฉินเฉียงที่โยนมาให้ตรงหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มโดยไม่แม้แต่ยังได้เหลือบมองของข้างใน “ก็ดี ผู้ตรวจการผู้นี้อยากจะรู้จริงๆว่าของขวัญใดกันที่กองกำลังเทียนเว่ยส่งมาให้ท่านผู้อาวุโสฮั่น”
เมื่อพูกจบ เจ้าหลี่ก็ได้ใช้กระแสจิตของตนเข้าไปตรวจสอบของในแหวนแล้วหัวเราะออกมาและพูดออกมาอย่างดังลั่น
“จางหยวนน้อจางหยวน ข้านั้นไม่คิดเลยจริงๆว่ากองกำลังเทียนเว่ยที่สร้างผลงานได้อย่างดียิ่งและได้สมบัติมามากมายจากเขตแดนจักรพรรดินั้น นึกไม่ถึงว่าในงานแต่งของผู้อาวุโสฮั่นจุยจะกลับกล้ามอบเพียงแก่นคริสตัลนายพลเพียงไม่กี่สิบก้อนเท่านั้น”
“ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะกองกำลังเทียนเว่ยยาจกจริงๆหรือไม่ให้เกียรติและไม่อยากจะแสดงความยินดีต่อผู้อาวุโสฮั่นกันหนอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้แสดงออกด้วยสีหน้าที่เย็นชาและพูดออกมาด้วยนำเสียงที่เย็นยะเยียบ “ไอ้ผู้ตรวจการจ้าว นี่แกยังมีหน้ามาคิดว่าพวกข้าร่ำรวยในวัสดุบ่มเพาะอยู่อีกอย่างงั้นเหรอ”
“หากไม่ใช่เป็นเพราะแกที่วางแผนสร้างความลำบากให้พวกข้าในครานั้นล่ะก็ มีหรือที่พวกข้าจะเหลือเพียงแก่นคริสตัลเพียงไม่กี่สิบก้อนมามอบเป็นของขวัญให้อย่างนี้กัน”
“แต่ก็อีกล่ะนะ หากแกไม่โลภมากในวันนั้นล่ะก็ ข้าก็เชื่อว่าแกคงไม่ถูกย้ายมาให้กลายเป็นหมาเฝ้าประตูจนอยู่แบบสุขสบายอย่างในทุกวันนี้อย่างหลบๆซ่อนๆหรอกนะ”
คำพูดของเฉินเฉียงนี้ราวกับเป็นการย้ำแผลใจของจ้าวลี่ ไม่เพียงการกลั่นแกล้งของเขาจะทำอะไรเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์จางหยวนไม่ได้แล้ว เขานั้นยังถูกตอกกลับมาอย่างไม่อาจเถียงได้ แถมยังถูกด่าว่าเป็นหมาเฝ้าประตูเสียอีก แล้วจ้าวลี่จะทนกับเรื่องนี้ได้สักเท่าไหร่
“นี่เจ้ากล้าดียังไงวะจางหยวน เจ้ากล้ามาพูดเรื่องไร้สาระในงานแต่งผู้อาวุโสฮั่นอย่างนี้นี่เป็นการขัดขวางงานแต่งชัดๆ ความผิดของเจ้านี้มันช่างสมควรถูกลงโทษเสียตรงนี้”
แต่ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ตอบอะไรกลับไป ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ผู้ตรวจการจ้าว นี่เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่ พวกเรานั้นได้ยินอย่างชัดเจนและเห็นอย่างกระจ่างชัดว่าเป็นเจ้าที่หาเรื่องให้กับพี่ชายจางหยวนน่ะ”
“เจ้าไม่เพียงจะต้อนรับอย่างสมควรแล้วยังมีหน้ามาหาเรื่องเขาต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ข้าคิดว่าหากเรื่องนี้ไปเข้าหูผู้อาวุโสในสภาล่ะก็ ไอ้คนที่จะโดนลงโทษคงไม่ใช่พี่จางหยวนแล้วล่ะ”
จ้าวลี่ผู้ซึ่งถือดีในอำนาจของตนมาโดยตลอด เมื่อได้ยินมีคนพูดทัดทานก็รีบยืนขึ้นมาแล้วด่ากราดออกไป “ใครหน้าไหนมันกล้ามาแส่เรื่องของข้าวะ ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
“ข้าเอง”
เพียงจ้าวลี่ได้พูดจบลงก็ได้มีชายคนหนึ่งที่อายุราวๆยี่สิบเจ็ดไม่ก็ยี่สิบแปดปีมาอยู่ข้างกายเฉินเฉียงอยู่ไม่ห่างนัก
เมื่อเฉินเฉียงลองหันไปดูก็พบว่าเป็นหลี่เชิน
เฉินเฉียงนั้นเคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลี่เชินมาก่อนในศึกที่จิ้งชวนในวันนั้น
เขาไม่คิดมาก่อนว่าพึ่งจะผ่านไปได้เพียงแค่ครึ่งปี แต่หลี่เชินผู้นี้กลับอยู่ในระดับราชาขุนพลและได้กลายเป็นรองผู้การสูงของตึกจอมพลภาคกลาง
ส่วนหนึ่งนี้สมควรจะมาจากผลงานที่เขาทำได้อย่างโดดเด่นในศึกที่จิ้งชวนจนทำให้กลายเป็นรองผู้การสูงกระมัง
และจ้าวลี่นั้นย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหลี่เชินแต่อย่างใด
ตอนที่จ้าวลี่ยังอยู่ในตำแหน่งผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลางนั้น หลี่เชินเองก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
จ้าวลี่นั้นไม่ชอบคนนิสัยตรงไปตรงมาอย่างหลี่เชิน และนี่เองก็ทำให้เขาไม่ได้ให้ค่ากับหลี่เชินแต่อย่างใด
แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่ายามที่เขาหลุดออกมาจากตำแหน่งแล้ว ปันเหรินจะมอบตำแหน่งที่สูงที่สุดในตึกจอมพลให้กับหลี่เชินโดยอ้างผลงานที่หลี่เชินได้สร้างไว้ในศึกจิ้งชวน
หรือจะให้บอกอีกอย่างก็คือหลี่เชินในตอนนี้เปรียบได้ดั่งความหวังของเผ่าพันธุ์ในฐานะองครักษ์แห่งเขาโชวหยาง ซึ่งตำแหน่งนี้ แม้แต่จ้าวลี่เองก็ยังไม่อาจที่จะหาเรื่องด้วยได้
”ไอ๊หยา ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็ท่านนายพลหลี่เชินนี่เอง”
“เฮอะ” ท่าทางของหลี่เฉินแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบขี้หน้าจ้าวลี่ “ผู้ตรวจการจ้าว หากเจ้าไม่ต้อนรับคนอย่างพวกข้า พวกข้าคงต้องขอตัว”
“แต่บอกไว้ก่อนนะว่าหากผู้อาวุโสฮั่นคิดกล่าวโทษพวกข้าเมื่อไหร่ ก็อย่าได้โทษข้าที่บอกเล่าความจริงออกไป”
“ผู้ตรวจการจ้าว เจ้ามันยโสอย่างเกินกาล หากเจ้าไม่ต้องการให้หนึ่งในพลทหารเข้าไป ก็อย่าหวังว่าพวกเรานักรบผู้หาญกล้าแห่งเผ่าพันธุ์จะเหยียบย่างเข้าไปเลยก็แล้วกัน”
“แล้วก็บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ใช่ว่าพวกเรานั้นที่ไม่อยากจะอวยพรผู้อาวุโสฮั่น แต่เป็นเพราะหมาบางตัวที่มันเห่าจนไม่ยอมให้พวกเราเข้าไป”
จ้าวลี่นั้นใจเต้นแรงในทันทีเมื่อได้ยิน
หลี่เชินนั้นในตอนนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างที่สุด ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขานั้นก็ไม่อาจจะหาเรื่องกับชายผู้นี้ได้
“ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านนายพลหลี่ต้องพูดเล่นเป็นแน่ ข้าเองเพียงแค่หยอกพี่จางหยวนเล่นเพียงเท่านั้น”
“ทุกท่านล้วนเป็นแขกที่ผู้อาวุโสเชื้อเชิญ พี่จางหยวน ท่านนายพลหลี่ เชิญ”
จ้าวลี่โค้งตัวลงและนอบน้อมจางหยวนและหยานเสวี่ยอย่างที่สุด
เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยเองก็ได้แกล้งเดินผ่านอย่างช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ เพื่อให้หลี่เฉินโค้งอยู่ท่านั้นจนตะคริวกิน
“ต้องขอบคุณท่านจริงๆที่ช่วยเหลือท่านหลี่” เฉินเฉียงได้ป้องมือพลางกล่าวขอบคุณหลี่เชิน นั่นก็เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม หลี่เชินนั้นได้ยืนอยู่เคียงข้างเขาอยู่แม้กองกำลังเทียนเว่ยจะถูกหมายหัว นี่ทำให้แม้แต่เฉินเฉียงก็อดที่จะประทับใจกับคนผู้นี้ไม่ได้
หลี่เชินเองนั้นรีบยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนจะรีบพูดออกมา “พี่จางหยวนอย่าได้พูดเช่นนี้อีก ไอ้จ้าวลี่นั่นต่างหากที่มันหาเรื่องอย่างไม่เลิกรา ข้าเองก็ไม่รู้จริงๆว่าพวกผู้อาวุโสสูงนี่คิดอะไรกันอยู่ถึงได้ให้ไอ้ตัวอาชญากรสงครามผู้นี้มาอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ลงโทษอะไรมันเลย”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ยิ้มและพูดออกมา “ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นความคิดของผู้อาวุโสฮั่นจุยเองไม่ใช่รึ ยังไงซะมันผู้นี้ก็รับคำสั่งผุ้อาวุโสฮั่นมาโดยตลอดอย่างไม่มีบิดพลิ้ว ต่อให้เกิดเรื่องผิดผลาดไปเล็กน้อยมีหรือที่ผู้อาวุโสฮั่นจะปล่อยทาสที่ซื่อสัตย์แบบนี้ไป”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่เชินเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมผู้อาวุโสฮั่นถึงได้ไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้ เขาสั่งให้พวกเราเหยียบเรื่องนี้ไว้ไม่ให้รั่วไหลออกไปด้วยซ้ำ ว่าแต่พี่จางเองเถอะ ท่านนึกยังไงถึงมาได้กัน อย่าบอกนะว่าท่านกับคนอื่นๆในกองกำลังมาที่นี่เพื่อมาร่วมสนุกเพียงเท่านั้นน่ะ”
“แล้วที่จ้าวลี่มันพูดเมื่อกี้มันก็มีเรื่องถูกอยู่บ้างนะ พวกท่านยังเป็นที่ต้องการตัวอยู่นา แล้วพี่ท่านคิดยังไงถึงได้มาที่นี่กันเนี่ย”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ยิ้มกริ่มออกมาก่อนจะพูดออกไป “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ ฮี่ฮี่ฮี่ เหตุผลที่ข้ามาที่นี่นั้นเป็นเพราะต้องการกู้ชื่อเสียงของกองกำลังของข้าคืนมายังไงล่ะ”
“จริงดิ” มันเป็นเรื่องที่หลี่เชินนึกไม่จนเขานั้นเผลอรีบจับมือของตนเข้ากับจางหยวนในทันทีแล้วรีบกล่าวเสริมออกมา “พี่ชายจางหยวน หากท่านคิดจะทำจริงๆก็จงให้ข้าช่วยท่านด้วย”
“กองกำลังของท่านนั้นคือผู้กล้าแห่งเผ่าพันธุ์ของพวกเรา โดยเฉพาะกัปตันของท่าน เฉินเฉียง เอ้อ ว่าแต่พี่จางหยวน พี่เฉินเฉียงนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ”