บทที่ 289 กลับตาลปัตร
“เกิดอะไรขึ้นกัน ไม่ใช่ว่าเว่ยหยวนตี้ได้บอกเอาไว้ว่าทั้งสองรักกันเฉกเช่นคู่รักกันหรอกเหรอ”
“เจ้านี่อย่าบอกนะว่าโง่จริงนะ” นางฟ้านางสวรรค์ที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีเนี่ยนะจะไปหลงรักกับชายแก่อายุเกือบห้าสิบแล้วเนี่ยนะ เจ้าเชื่อเรื่องนี้ได้ลงด้วยเหรอ
“เท่าที่ดูนี่ดูเหมือนว่าจางหยวนนั้นต้องการที่จะล่มงานแต่งในวันนี้ชัดๆ เจ้าว่าผู้อาวุโสฮั่นจะทำยังไงกับเด็กนั่นกัน”
ในที่สุดเฉินเฉียงก็ได้โล่งใจขึ้นมาได้อย่างที่สุดเมื่อเห็นว่าเว่ยฉิงเชินนั้นเขวี้ยงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวลงพื้นอย่างไม่ไยดีต่อหน้าทุกคนแบบนี้
อีกด้านหนึ่ง เว่ยหยวนตี้ผู้ซึ่งในตอนนี้กำลังปลื้มปริ่มกับการได้รับเม็ดยาโลกาหวนคืนอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวตนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้าฮั่นจุยก่อนที่จะรีบหันไปตะคอกกับลูกสาวตน “ฉิงเชิน นี่เจ้าพูดอะไรออกมากัน”
“ท่านพ่อ หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสฮั่นนำยาโลกาหวนคืนนี่มากดดันข้าทุกวัน มีหรือที่ข้าจะยอมแต่งงานกับผู้อาวุโสกัน”
“ในเมื่อพี่ใหญ่เฉินเฉียงนั้นหายามาให้ท่านได้แล้ว อย่าบอกนะว่าท่านยังคิดบังคับให้ข้าแต่งกับผู้อาวุโสอยู่อีก”
“ท่านก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าลูกสาวของท่านนั้นมีใจเพียงพี่ใหญ่เฉินเฉียงเท่านั้นไม่เคยคิดเป็นอื่นใด”
“เหลวไหล” เว่ยหยวนตี้ตะคอกออกมาอย่างดังลั่น “เฉินเฉียงมันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ มันถือได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าพันธุ์เรา แล้วเจ้าจะไปแต่งงานกับมันได้ยังไง”
“ไม่ พี่ใหญ่เฉินเฉียงไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์สักหน่อย”
“แล้วก็ ต่อให้เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วยังไงกัน ก่อนหน้านี้เขานั้นได้เผาผลาญแก่นสายเลือดของตนเองเพื่อช่วยท่านจนไม่อาจจะข้ามระดับการบ่มเพาะได้อีก แต่ท่านก็ยังพูดจาอย่างนี้กับเขาอีกเนี่ยนะ”
“ท่านพ่อ อย่าบอกนะว่าท่านไม่แยแสที่พี่ใหญ่เฉินเฉียงเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่านเลยแม้แต่น้อยน่ะ”
เมื่อพูดออกมาถึงเรื่องนี้ เว่ยฉิงเชินนั้นรู้สึกปวดใจอย่างที่สุดเมื่อได้พูดถึงการที่เฉินเฉียงยอมเสี่ยงชีวิตยอมแม้กระทั่งเผาผลาญแก่นสายเลือดของตนเพื่อช่วยพ่อของตน แต่พ่อของตนนั้นกลับตอบแทนเขาเช่นนี้
“พอแล้ว”
ฮั่นจุยที่อยู่บนเวทีนั้นในตอนนี้ได้ส่งเสียงที่กังวานดังลั่นจนทำให้ทุกอย่างสงบเงียบลง
เขาได้เดินลงบันไดของเวทีพิธีงานแต่งของตนอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงสั่นประสาทในทุกย่างก้าวที่ได้เดิน เฉกเช่นเดียวกับในครั้งก่อนที่เขามีเรื่องกับฮั่นจุย ก่อนที่จะได้เข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิ
และนี่ทำให้ทุกย่างก้าวของเขานั้นหนักแน่นราวกับหินผา และมันได้กระแทกเข้าไปที่หน้าอกของเฉินเฉียง
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เขาไม่แม้แต่ถอยหนี กลับกัน เขาได้ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกมาเพื่อต่อต้านการโจมตีของฮั่นจุย
แต่ด้วยการที่การกระตุ้นนี้เขาต้องโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างให้ติดขัดชั่วเวลาหนึ่งถึงจะกระตุ้นใช้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาได้ นี่ทำให้รูปลักษณ์ของเขานั้นกลับกลายเป็นรูปลักษณ์เดิมในทันที
“เฉินเฉียงรึ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงปรากฏตัวตรงหน้าจากการสูญเสียการใช้งานพลังเหนือมนุษย์ไปต่อหน้าทุกคนนี้ นี่ทำให้ฮั่นจุยนั้นหัวเราะออกมาอย่างยินดียิ่ง
เขานั้นที่ตอนแรกนั้นคิดว่าตนเองต้องเสียหน้าอย่างที่สุด เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอเฉินเฉียงด้วยสถานการณ์ที่เขาเป็นต่อแบบนี้เสียอย่างนั้น
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ที่นี่คือศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์มนุษย์
และนอกจากเขาแล้ว ยังผู้ทรงพลังคนอื่นที่อยู่ที่นี่อีกหลายคน
ในเมื่อเฉินเฉียงมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ สำหรับเขาแล้วนั้นย่อมเห็นว่าเฉินเฉียงเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟอยู่เห็นๆ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ
“เฉินเฉียงเหรอ ห้ะ พี่ชายเฉินเฉียงจริงๆเหรอเนี่ย”
หลี่เชินที่ยืนอยู่ข้างหลังเมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นจุยแล้วนั้น ถึงกับต้องรีบรุดขึ้นหน้าเพื่อมาดูหน้าค่าตาว่าเป็นเฉินเฉียงจริงๆรึเปล่าในทันที
“รองผู้การหลี่ ขอบคุณท่านมากที่กล้าออกมาพูดเพื่อช่วยเหลือกองกำลังของข้า”
อย่างไรก็ตาม นอกจากหลี่เชินที่ประหลาดใจแล้ว ผู้คนโดยรอบในตอนนี้แสดงท่าทางออกมาราวกับเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ไอ้เด็กเนี่ยนะคือเฉินเฉียง มนุษย์กลายพันธุ์ที่ทุกเผ่าพันธุ์ต้องการตัวนั่นน่ะ”
“จะถามทำซากอะไรอีกกัน เจ้าก็เห็นไม่ใช่เหรอไงว่าก่อนหน้านี้มีใช้พลังกลายพันธุ์พันหน้าน่ะ มันต้องเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย”
“โฮ่ เป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆสินะ กับอีแค่มนุษย์กลายพันธุ์เพียงคนเดียวแต่กลับกล้าเข้ามาล้ำถิ่นถึงกลางเขตของอีกฝ่ายแบบนี้ มันจะหยามหน้ากันเกินไปแล้ว”
“ฆ่ามัน ฆ่าไอ้มนุษย์กลายพันธุ์ปากดีนี่ซะ”
ฮั่นจุยได้มองไปที่อากัปกิริยาของผู้คนโดยรอบแล้วก็อดที่จะยิ้มกริ่ม และพูดออกมาอย่างยิ้มเยาะเสียมิได้ “เฉินเฉียง เจ้านี่มันกล้าดีจริงๆ”
“รู้ทั้งรู้ว่าถูกหมายหัวก็ยังกล้าเอาหัวมาส่งถึงที่ขนาดนี้”
“ในเมื่อกล้าดีขนาดนี้ก็อย่าได้ปากดีมาด่าว่าข้าเลยก็แล้วกัน”
เฉินเฉียงเองนั้นก็ไม่คิดมาก่อนว่าไอ้การกระตุ้นขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขานี้จะทำให้พลังเหนือมนุษย์ของเขานั้นติดขัดมาก่อนจนทำให้ต้องเผยตัวออกมาแบบนี้
และเท่าที่ดูจากสถานการณ์โดยรอบแล้ว เขาก็บอกเลยว่าในวันนี้เขาคงจบไม่สวยเป็นแน่
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากเขาใช้เคลื่อนย้ายพริบตาไปจะหลุดรอดจากเหตุการณ์นี้ได้รึเปล่า
ที่สำคัญที่สุดคือหยานเสวี่ยยังอยู่ข้างเขานี่อีก
เขานั้นไม่อาจจะถอดทิ้งหยานเสวี่ยหลบหนีไปได้คนเดียวอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในวันนี้เขาต้องรอดจากที่นี่ให้ได้
อย่างน้อยในวันนี้ต่อให้เขาต้องตกตายที่นี่ก็ไม่เหลือเรื่องค้างคาใจ ต่อให้เขาไม่มาแล้วเว่ยฉิงเชินต้องแต่งงานกับฮั่นจุยเพียงเพราะเรื่องเม็ดยาโลกาหวนคืน เขาก็คงจะมีแผลใจไปตลอดชีวิต
ในเมื่ออย่างน้อยในตอนนี้เขาได้จัดการปัญหากวนใจไปได้บ้างแล้ว ก็ถือเสียว่าไม่มีเรื่องค้างคาใจก็แล้วกัน
“ฮั่นจุย ไอ้ตัวหน้าด้านไร้ยางอาย”
“เจ้าเป็นถึงผู้นำของเผ่าพันธุ์ที่สภาสูงมอบหมายให้ แต่กลับใช้อำนาจของตนหมายที่จะครอบครองเว่ยฉิงเชิน ยังไม่รวมถึงใช้เรื่องเม็ดยาเฮงซวยนั่นมากดดันเธออีก”
“ในมุมมองของข้า เจ้าต่างหากที่ไม่สมควรจะเป็นนักรบของเผ่าพันธุ์”
คำพูดนี้ของเฉินเฉียงนั้นไม่ใช่เพียงการด่าฮั่นจุยเท่านั้น แต่เขานั้นหมายถึงสภาสูงทั้งหลายที่ตาบอดให้คนแบบนี้มารับหน้าที่เป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์
และด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นมากระชากหน้ากากของฮั่นจุยต่อหน้าผู้คนแบบนี้ แม้แต่สี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องแสดงออกมาอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
แต่กระนั้น พวกเขาเชื่อว่าด้วยฝีมือของฮั่นจุยนั้นย่อมสามารถจัดการเรื่องนี้ได้
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เฉินเฉียงก็เป็นเพียงนายพลวิญญาณตัวน้อยๆ ส่วนฮั่นจุยนั้นเป็นถึงนักรบที่ทรงพลังแห่งเผ่าพันธุ์ ผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นกลาง
นี่ยังไม่รวมแขกเหรื่อโดยรอบที่พร้อมที่จะพุ่งทะลวงเข้าใส่เฉินเฉียงประดุจหอกที่คอยทิ่มแทงได้ทุกเมื่อ
“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านยังต้องการเหตุผลอะไรอีก เพียงแค่มันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ก็เพียงพอที่จะฆ่ามันแล้ว”
“ท่านผู้อาวุโสฮั่น หากท่านไม่อยากจะลงมือเองเพราะคิดว่าเป็นการรังแกผู้น้อยล่ะก็ โปรดยกมันให้กับข้า ข้าจะเป็นคนลงมือฆ่ามันให้กับท่านเอง”
ในตอนนี้ไม่ว่าเฉินเฉียงจะพูดอะไรออกมาก็ไร้ความหมายอีกต่อไป นั่นก็เพราะเขานั้นได้ถูกตราหน้าว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้คนเหล่านี้ฆ่าเขาได้แล้ว
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงนั้นกล้าที่จะหักหน้าฮั่นจุยผู้ซึ่งเป็นถึงผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สำหรับพวกเขาแล้วนั้น นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความดีความชอบ และกรุยทางในอนาคตของตนได้อย่างดี
แต่ฮั่นจุยนั้นได้ยกมือขึ้นมาห้ามปรามก่อนที่จะหันไปมองผู้คนที่เดือดดาลแทนตน
เภทภัยที่เฉินเฉียงนับมาให้เขาในวันนี้ ไม่เพียงจะเป็นการทำลายความสุขของเขาเท่านั้น มันยังกลายเป็นทำลายหน้ากากของเขาที่เสียเวลาสร้างมาอย่างช้านานจนไม่เหลือชิ้นดี
ในวันนี้เขาต้องการที่จะทำลายเภทภัยนี้ด้วยตัวเองถึงจะสาแก่ใจ
ไม่สิ
เขาต้องทำให้มันร้องขอชีวิตให้ได้
และเขายังไม่ลืมเรื่องที่ว่าเฉินเฉียงนั้นได้กำความลับของเขตแดนจักรพรรดิแต่อย่างใด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฮั่นจุยก็ได้เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายแบบสุดๆออกมา
“เฉินเฉียง แกไม่ควรจะมาที่นี่เลยจริงน้าไม่ควรเลยจริงๆ แต่ในเมื่อแก่แส่หาที่ตายขนาดนี้ก็อย่าได้มาโทษกันเลยก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ฮั่นจุยก็ได้ค่อยยื่นฝ่ามือของตนออกไปทั้งๆอยู่ห่างจากเขาไปยี่สิบเมตร และนี่ทำให้มีรูปฝ่ามือที่ไร้สีสันหนึ่งพุ่งตรงไปที่อกของเฉินเฉียง
ฮั่นจุยนั้นได้คำนวณกับพลังฝ่ามือของเขาเป็นอย่างดีแล้ว
ฝ่ามือนี้ของเขานั้นเพียงแค่ทำให้เฉินเฉียงตกอยู่ในสภาพเจ็บหนักจนไม่อาจจะต่อสู้ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องตกตาย
แต่ในตอนนี้ เพียงฮั่นจุยยื่นฝ่ามือของตนออกมา หยานเสวี่ยที่อยู่ข้างๆก็ได้สบถออกมาหนึ่งที ก่อนที่จะตวัดดาบในมือของตนพุ่งเข้าใส่ฮั่นจุย
“เอ้ะ สาวน้อยนี่กล้าดียังไงกัน เป็นเพียงแค่ราชาขุนพลตัวจ้อยกลับกล้าขัดขืนแค่ เจ้าเองก็สมควรตายเหมือนกัน”
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ฮั่นจุยก็ได้เพิ่มระดับพลังฝ่ามือของตน หมายจะจัดการหยานเสวี่ยเป็นคนแรก
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่หยานเสวี่ยเริ่มเคลื่อนไหว เฉินเฉียงก็ได้เริ่มการตอบโต้ในทันที
แม้หยานเสวี่ยจะก้าวเข้าสู่ระดับราชาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงเทียบเท่ากับระดับราชาขุนพลเท่านั้น จะต่อกรกับฮั่นจุยที่เป็นระดับราชาจอมพลได้ยังไง
เฉินเฉียงนั้นเข้าใจได้ในทันทีว่าฮั่นจุยนั้นจะไม่ยอมให้เขาได้ตกตายโดยง่าย การโจมตีแรกนี้สมควรจะไม่ถึงตาย ยังไงซะ ฮั่นจุยนั้นก็ยังต้องการความลับของเขตแดนจักรพรรดิที่ทุกคนนั้นคิดว่าเขาเก็บงำไว้อยู่
เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้วเฉินเฉียงก็ได้พุ่งทะยานออกไปก่อนที่หยานเสวี่ยจะใช้ตัวมาบังเขาไว้ รับพลังฝ่ามือนี้ไปแทน
ต่อให้หยานเสวี่ยจะมีระดับบ่มเพาะที่สูงกว่าเขา แต่ในด้านความเร็วนั้น เขาไม่เคยด้อยไปกว่าหยานเสวี่ยเลยสักครั้ง
และนี่ทำให้ฝ่ามือของฮั่นจุยประทับลงไปที่ไหล่ขวาของเฉินเฉียงอย่างจัง
“พรู๊ดดดดด”
และด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉินเฉียงนั้น มีหรือที่เขาจะต้านทานพลังฝ่ามือของฮั่นจุยได้ และนี่ส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง และพ่นมันใส่ใบหน้าซีกซ้ายของฮั่นจุยจนอาบเลือดไปครึ่งหน้า
“อ๊ากกกกกก”
โดยไม่คาดคิด แม้เฉินเฉียงจะเป็นฝ่ายที่กระอักเลือด แต่คนที่กรีดร้องออกมานั้นกลับเป็นฮั่นจุยที่ในตอนนี้กำลังกุมใบหน้าของตนด้วยความเจ็บปวด
ถึงแม้ในตอนแรกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นตอนนี้ที่เขานึกได้ว่า เลือดของเขานั้นเป็นพิษร้ายแรง
และเมื่อเห็นท่าทางของฮั่นจุยที่ร้องโหยหวนอยู่ตอนนี้ เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางนึกไปว่าหากฮั่นจุยตกตายไปทั้งอย่างนี้ก็คงจะสาสมไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม แม้พิษในเลือดของเฉินเฉียงจะเข้มข้นมาก แต่เขานั้นก็ยังดูแคลนผู้ที่อยู่ในระดับราชาจอมพลมากเกินไป
ผู้ที่อยู่ในระดับราชาจอมพลนั้น แม้เพียงตนเองย่างก้าวไปสักก้าว นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้โลกใบเล็กของตนนั้นสามารถผลิตแก่นวิญญาณออกมาได้แล้ว
ถึงแม้จะใช้เวลาอยู่บ้าง แต่ในที่สุด ก็ได้ใช้คลื่นพลังที่ทรงพลัง ขับพิษจากสายเลือดของเฉินเฉียงออกมาได้จนหมดสิ้น
แต่กระนั้น ใบหน้าด้านซ้ายของฮั่นจุยในตอนนี้ก็ได้เน่าเปื่อยและพุพองไปครึ่งหน้า
ในตอนนี้ ฮั่นจุยนั้นไม่เพียงจะเสียโฉมไปแล้ว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาในตอนนี้ก็ราวกับถูกส่งตรงออกมาจากนรก
“เฉินเฉียง ไอ้เด็กเวรเลวระยำตำบอน ข้าไม่คิดเลยจริงว่าไอ้ตัวเภทภัยแบบเจ้านั้นจะทำให้ข้าผู้เป็นถึงราชาจอมพลและอาวุโสของมนุษย์ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ได้ในวันนี้”
“ตอนแรก ข้าก็คิดว่าจะปล่อยแกเอาไว้ แต่ตอนนี้ ต่อให้เทพเซียนมาขวางหน้า ยังไงซะแกก็ต้องตายที่นี่”
เมื่อพูดจบ ร่างของฮั่นจุยได้ระเบิดคลื่นพลังออกมาในทันที
ในตอนนี้ นอกจากฮั่นจุยและเฉินเฉียงแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ถูกผลักกระเด็นออกไปนับสิบเมตรด้วยคลื่นพลังของฮั่นจุยนี้
“เฉินเฉียง”
“พี่ชายเฉินเฉียง”
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง”
หยานเสวี่ย หลี่เชินและเว่ยฉิงเชินนั้นต่างพยายามฝืนรั้งพลังของฮั่นจุยพลางตะโกนออกมาอย่างร้อนรน แม้จะต้านทานไว้ได้แต่ก็ไม่อาจก้าวเข้าไปหาเฉินเฉียงได้
ส่วนผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นั้น พวกเขาไม่ไหวติงแต่อย่างใด ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นไม่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย
“เฉินเฉียง ไปลงนรกซะ”
ฮั่นจุยในตอนนี้จ้องมองเขม็งไปที่เฉินเฉียงอย่างไม่วางตา ก่อนที่เขานั้นจะยืนฝ่ามือของตนออกไปอย่างรุนแรงจนก่อให้เกิดคลื่นพลังรูปฝ่ามือที่ไร้สีแต่รุนแรงและรวดเร็วราวกับพายุสายฟ้าที่บ้าคลั่ง พุ่งตรงไปที่หัวของเฉินเฉียง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงได้รับรู้ถึงความตายได้ถึงขนาดนี้
คลื่นพลังของฮั่นจุยปล่อยออกมานี้รุนแรงกว่าตอนที่เขาโดนราชาสวรรค์ซัดใส่เขาซะอีก
คลื่นพลังของราชาสวรรค์นั้นแม้จะทำให้เขารู้สึกกดดันแต่เขาก็ยังพอจะขยับได้บ้าง แต่คลื่นพลังของฮั่นจุยในตอนนี้ ต่อให้เขาใช้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกมาก็ยังไม่อาจจะเคลื่อนไหว
นั่นก็เพราะหากเทียบกันแล้ว ระดับการบ่มเพาะของทั้งสองคนนั้นต่างกันเกินไป
หากจะให้พูดแล้ว ระดับการบ่มเพาะของทั้งสองคนนั้นห่างกันถึงสองช่วงชั้น
แต่ให้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงนั้นจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยความห่างนี้แล้ว นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เฉินเฉียงขยับตัวได้เลยแม้เพียงชั่วเสี้ยววิ
และหากเขาไม่อาจจะหลุดจากการตรึงของคลื่นพลังของฮั่นจุยไปได้ เขาก็ไม่อาจใช้เคลื่อนย้ายพริบตาได้เช่นกัน
ในตอนนี้เฉินเฉียงจึงได้ใช้พลังจิตของตนทั้งหมด ปล่อยคลื่นอัดกระแทกระดับแปดของเขาโจมตีฮั่นจุยออกไป
อย่างไรก็ตาม คลื่นอัดกระแทกของเขาทำได้เพียงหยุดฮั่นจุยได้เพียงครึ่งวิเท่านั้น
แน่นอนว่าเวลาครึ่งวินี้เฉินเฉียงไม่อาจจะทำอะไรได้
อย่างที่เขาคาดไว้ว่าพลังของราชาจอมพลนั้นแกร่งกว่าเขาในตอนนี้มากนัก
และเมื่อเห็นพลังฝ่ามือที่ค่อยขยายตัวขึ้นในครรลองสายตาของตน เฉินเฉียงในตอนนี้ก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ต่อการดิ้นรน
การพบเจอกับศัตรูที่ห่างชั้นแบบนี้ ต่อให้เขานั้นเก่งกาจมาจากไหนก็ไม่อาจจะพลิกกับสถานการณ์ได้แล้ว
ในที่ห่างออกไปในตอนนี้ แม้หยานเสวี่ย หลี่เชิน และเว่ยชิงเฉินจะตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งขนาดไหนก็ตาม เฉินเฉียงไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป
แต่เป็นตอนที่ทุกคนต่างก็นึกว่าเฉินเฉียงนั้นต้องตกตายด้วยพลังฝ่ามือที่ทรงพลังของฮั่นจุยนี้อย่างแน่นอนแล้ว ก็ได้บังเกิดเรื่องพลิกผัน
“วี้…………”
ในตอนที่พลังฝ่ามือของฮั่นจุยอยู่ห่างจากหัวของเฉินเฉียงเพียงชั่วหนึ่งฝ่ามือนี้ บังเกิดเสียงที่เรียวเล็กแหลมแต่ดังลั่นขึ้น และต่อหน้าผู้คนที่กำลังจ้องมองนี้ พลังฝ่ามือของฮั่นจุยได้ถูกผลักกลับไปได้อย่างง่ายดายจนพลังของเขาถูกดันให้ไปกระแทกตนเองจนถูกผลักถอยหลังไปในทันที และทิ้งรอยเท้าที่ฝืนต้านจนครูดยาว
“ปั้ก” เพียงสิ้นเสียงนี้ ทุกคนได้หันไปดูต้นเสียงก็พบว่าที่แขนซ้ายของฮั่นจุยนั้นถูกอะไรบางอย่างปักเอาไว้ หากมองดูแล้วมันคล้ายกับธงสามเหลี่ยมเล็กๆอันหนึ่งเพียงเท่านั้น
-ผู้ทรงพลัง-
นี่เป็นความคิดแรกที่แวบเข้าไปในจิตใจของผู้คนที่เห็น
ฮั่นจุยเองนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังที่หาได้อย่างยากยิ่งในสภาสูง เขาถือได้ว่าเป็นนักรบอัจฉริยะที่อยู่ในระดับราชาจอมพลคนหนึ่ง
แต่ในตอนนี้ ด้วยเพียงธงผืนเล็กๆนั่น กลับสามารถผลักให้หั่นจุยถอยกรูดออกไปได้นับสิบเมตร เจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
เป็นไปได้ผู้ที่ใช้สิ่งนี้อย่างน้อยๆก็สมควรจะอยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นสูงเป็นอย่างน้อยถึงสามารถใช้สิ่งที่ทรงพลังแบบนี้ได้กระมัง
แม้แต่ในสภาสูงเองก็ยังมีราชาจอมพลระดับสูงด้วยจำนวนที่นับหัวได้เพียงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ
ไม่สิ เพียงแค่ใช้นิ้วนับได้ก็ยังเหลือนิ้วไว้อีกเลยด้วยซ้ำ
แต่พวกเขานั้นก็ไม่ได้ยินหรือเห็นมาก่อนว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นออกมายุ่งเรื่องทางโลกเลยนี่นา
แล้วทำไมผู้อาวุโสระดับนี้ถึงได้ออกมาช่วยเหลือเฉินเฉียงที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่เลวระยำได้กัน
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของทุกคนในทันที
และเป็นตอนนี้ที่ในที่สุดแล้ว เหล่าผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ของสภาสูงต่างก็ยืนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเห็นว่าฮั่นจุยถูกโจมตี ในขณะเดียวกันก็ได้มองไปที่เฉินเฉียงแต่ก็ไม่กล้าที่จะด่วนตัดสินใจทำอะไรไป
และด้วยการที่ฮั่นจุยบาดเจ็บหนัก แรงกดดันบนตัวของเฉินเฉียงได้หายไปจนหมดสิ้น
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้หันหลังกลับไป ก็ได้พบกับผอ.ของสำนักศึกษาเต่าดำหรือก็คือเฉียนฝู ผู้ซึ่งแต่งตัวปอนๆและเดินตรงมาอย่างช้าๆ
“ผอ.เฉียน….เหรอ”
ใครจะไปคิดว่าเฉียนฝูผู้ซึ่งขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรงจนแทบจะตัดขาดนั้น จะออกโรงช่วยเขาไว้ในวันนี้
อย่าว่าแต่เฉินเฉียงเลย แม้แต่แขกเหรื่อที่เฝ้ามองเหตุการณ์นั้นก็ไม่มีใครคิดว่าผู้ซึ่งเป็นเพียงผอ.สำนักศึกษาเล็กๆ จะทรงพลังได้ถึงขนาดนี้เหมือนกัน
“เฉียนฝูเหรอ แกกล้าดียังไงถึงกล้าสอดมือเข้ามายุ่ง แถมยังต่อต้านสภาสูงภาคกลางอีก อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากถูกตราหน้าว่าทรยศเผ่าพันธุ์น่ะ ห้ะ”
“โยวโฮ่…. ตัวข้านั้นก็คิดว่าผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์จะตกตายไปจนหมดสิ้นแล้วซะอีก จนปล่อยให้เรื่องเน่าเหม็นแบบนี้เกิดขึ้นในเผ่าพันธุ์ไปได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้านั้นคิดจะนั่งแก่ๆให้เสียเวลาชีวิตปล่อยให้เรื่องจบลงไปเองสินะ แต่กระนั้นแล้ว ทีแบบนี้กลับทำตัวกระวีกระวาดขึ้นมาได้นี่ ข้าเองก็ไม่รู้จะด่าว่ายังไงกับพวกเจ้าดีแล้วเหมือนกัน”
“อ้อ แล้วก็ถ่างตาแก่ๆที่ฝ้าฝางของพวกเจ้าดูให้กว้างๆด้วยล่ะว่าตัวข้านั้นหาใช่เฉียนฝูไม่”
และเมื่อพูดจบแล้ว หน้าตาของเฉียนฝูก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของคนอื่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หน้าผากของเขานั้นอวบอิ่ม ใบหน้าของเขานั้นเปล่งปลั่ง แถมที่ใต้คางของเขานั้นยังยางมีเคราที่ยาวเฟี้ยวแปะไว้ตรงคาง ประหนึ่งดังนักปราชญ์ที่ทรงภูมิ
ในตอนแรกที่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นี้ได้เห็นใบหน้าของชายผู้นี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ต่างก็ระวังตัวไปตามๆกัน แต่เมื่อเห็นว่าไม่คุ้นหน้าชายแก่ที่ดูทรงภูมิผู้นี้ พวกเขาก็รีบถามออกมาในทันที
“แก…แกเป็นราชาทักษะพิเศษรึ”
“ราชาทักษะพิเศษรึ หึหึหึ ไอ้เจ้าแซ่ทอง(จิน)ผู้นี้ช่างมีจินตนาการที่กว้างไกลยิ่งนัก”
“แต่ข้าผู้นี้ขอแนะนำให้เจ้านั้น ไปเพ่งมองที่ธงนั่นดีๆก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจะดีกว่านา”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ทั้งสี่คนก็ได้พุ่งสายตาจ้องมองไปยังธงสามเหลี่ยมที่ยังคงปักอยู่บนแขนของฮั่นจุย
เป็นตอนนี้ที่ฮั่นจุยได้ดึงธงสามเหลี่ยมออกมาจากแขนของตรง พลางมองไปที่ชายแก่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว
เขานั้นบอกได้เลยว่าพลังฝ่ามือที่เขาโจมตีเฉินเฉียงด้วยความโกรธของเขานี้เป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ช่วงชีวิตของเขาเคยใช้มา
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะโดนโจมตีสวนกลับโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่มันก็ไม่ควรจะถูกสวนคืนได้ด้วยการลงมือของชายแก่คนนี้เพียงครั้งเดียว
หากชายแก่คนนี้ต้องการฆ่าเขาล่ะก็ เขาย่อมต้องตกตายลงไปในทันที
และเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของชายแก่ ฮั่นจุยและสี่โลหะศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้จ้องมองไปที่ธงมือของฮั่นจุยอย่างเป็นตาเดียว
และไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม ผู้คนโดยรอบในตอนนี้ต่างก็เห็นใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งห้าที่กระตุกยับจนไม่มีวี่แววจะหยุดนิ่ง