หากว่ากันตามหลักเหตุและผล ด้วยพลังวิญญาณที่มีอยู่อย่างล้นเหลือในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ปัญหานี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้เลยด้วยซ้ำ
เว้นเสียแต่ว่า…
จริงๆ แล้วพลังพวกนี้จะไม่ใช่พลังวิญญาณ?!
อาจเป็นเพราะอาชีพเก่าที่เคยทำ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงมีสัญชาตญาณที่ไม่ธรรมดาในการสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่างๆ
สัญชาตญาณของนางกำลังบอกนางว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย และต้นตอของปัญหาที่ว่านี้ก็มาจากพลังวิญญาณเหล่านี้นี่เอง
“เสี่ยวไป๋” นานแล้วที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้อัญเชิญเสี่ยวไป๋กับเสี่ยวเฮยออกมาเพราะต้องการเก็บแรงเอาไว้ แต่เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ นางจึงต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน
ร่างของเสี่ยวไป๋ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่ดวงตาของมันเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากตอนแรก ตอนนี้ตาคู่นั้นเป็นสีอำพันบริสุทธิ์ ทั้งยังใสกระจ่างและเย็นชา เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่นี่”
“การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ และการไปให้ถึงทางเข้าสุสานหลวงก็อาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน เจ้าช่วยอยู่ในมิติสวรรค์แล้วกันไม่ให้สตรอว์เบอร์รีตายจากพลังวิญญาณที่แห้งเหือดไปจากที่นั่นที” เฮ่อเหลียนเวยเวยคุ้นเคยกับการวางกลยุทธ์ให้กับกองทัพ นางไม่รู้ว่าสตรอว์เบอร์รีจำนวนนี้จะสามารถประคับประคองนางได้อีกนานเพียงใด แต่อย่างน้อยนางก็ต้องรักษาต้นที่ยังไม่ตายเอาไว้ เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพลังของมันจึงช่วยสตรอว์เบอร์รีพวกนี้ได้
“ได้” เสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่แม่นาง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา คนที่สามารถควบคุมพลังวิญญาณในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้เช่นนี้ย่อมต้องเป็นผู้มีสติปัญญาและมีอำนาจท้าทายฟ้าดินอย่างแน่นอน เจ้าต้องระวังตัวเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในการแข่งขันวันพรุ่งนี้”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้เช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ แต่นอกจากสภาพร่างกายของตัวเองแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่นางรู้สึกเป็นกังวล จุดประสงค์ของพลังวิญญาณที่กระจายอยู่ทั่วอากาศนี้คืออะไรกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยมีอะไรมากมายอยู่ในหัว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะดูเหม่อลอยเล็กน้อยในระหว่างมื้ออาหาร
นอกจากนางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว ที่โต๊ะนี้ก็ยังมีฮูหยินจูเก่อกับบุตรชายของนางอยู่ด้วย
แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้องค์ชายหยุดป้อนเฮ่อเหลียนเวยเวยแต่อย่างใด ต่างจากคนอื่น เขาแทบจะไม่ทานอะไรเลยสักคำ แต่กลับตักอาหารไปกองไว้บนจานเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเวยเวยแทน
ฮูหยินจูเก่อเป็นคนช่างสังเกตและเฉลียวฉลาด นางเหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสองสามครั้ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะขำว่า “ท่านรู้วิธีเอาใจสตรีดีทีเดียว”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้เอ่ยห้าม นางเงยหน้าขึ้นจากจานแล้วยิ้มให้กับฮูหยินจูเก่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นใบหน้าของนางที่แดงก่ำจากการทานอาหาร และปอยผมที่ม้วนเป็นวงนั้น เขาก็อดใจไม่ไหวจนยื่นมือออกไปยีหัวนาง
สัตว์เลี้ยงของเขาช่างน่ามองยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว มีอะไรหรือ?
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตักหน่อไม้อ่อนให้กับนางอย่างใจเย็น
เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงกินต่อ
ฮูหยินจูเก่อยังจำได้ว่าทั้งสองจะเดินทางไปที่สุสานหลวงพร้อมกับบุตรชายของนาง นางจึงอดเตือนขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ว่า “เสี่ยวเว่ย เจ้าไม่มีพลังวิญญาณ ดังนั้นเจ้าจึงอ่อนแอที่สุด อยู่ใกล้ๆ เสี่ยวอวิ๋นเอาไว้ล่ะ หากเจออันตรายเมื่อใดก็ให้เขาเข้าไปรับมือก่อน เข้าใจหรือไม่”
ในสายตาของฮูหยินจูเก่อ เฮ่อเหลียนเวยเวยอาจเป็นเพียงแค่เด็ก และไม่ได้โตกว่าจูเก่ออวิ๋นเท่าใดนัก
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากนางรู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นผู้หญิง นางจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาอ่อนโยน
เมื่อได้ยินคำแนะนำของฮูหยินจูเก่อ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กระแอมออกมาเบาๆ สองครั้ง ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะว่า “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้หนักเบาดี”
อันที่จริง คนที่รู้ขอบเขตความสามารถของนางก็มีเพียงแค่ตัวนางเอง…
กลับกันกับความกลัดกลุ้มของฮูหยินจูเก่อ ตระกูลหนีกลับมั่นใจว่าตระกูลจูเก่อย่อมไม่สามารถส่งคนมาเข้าร่วมการแข่งขันนี้ได้ หนีหู่กำลังตั้งตารอที่จะได้หัวเราะเยาะจูเก่ออวิ๋นในวันพรุ่งนี้
อย่างไรการทำให้คนอย่างจูเก่ออวิ๋นทิ้งการแข่งขันด้วยตัวเองก็คุ้มกว่าการต่อยตีเขาเป็นไหนๆ
ในไม่ช้าวันพรุ่งนี้ก็มาถึง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมารวมตัวกันในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่ละคนล้วนแต่มีพรสวรรค์ซุกซ่อนอยู่
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนหากลุ่มที่ตัวเองจะเข้าร่วมได้แล้ว และตระกูลหนีก็เป็นกลุ่มที่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมากที่สุด
กติกาการแข่งขันระบุว่าในกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องมีผู้เข้าแข่งขันอย่างน้อยสามคน แต่ไม่มีการจำกัดจำนวนสูงสุดเอาไว้
ดังนั้นสามในสี่ของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงเลือกที่จะติดตามหนีหู่
ส่วนตระกูลจูเก่อนั้นมีเพียงจูเก่ออวิ๋นปรากฏตัวขึ้นคนเดียว ข้างกายของเขาว่างเปล่า ตรงกันข้ามกับกลุ่มของตระกูลหนี
หนีหู่ที่เป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคนหัวเราะอย่างอวดดีจนคางแทบหลุด เขาเดินเข้าไปหาจูเก่ออวิ๋นแล้วพูดอย่างดูถูกว่า “คนบางคนถ้าไม่โดนดีเสียบ้างก็คงไม่รู้จักจำ บ้างก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงพวกเขากลับต่ำต้อยยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก อย่างน้อยสุนัขมันก็ยังมีคนเลือก”
“เจ้า!” จูเก่ออวิ๋นกำหมัดแล้วกัดฟันแน่น
หนีหู่แสร้งทำเป็นเห็นใจพร้อมกับเอ่ยว่า “พี่ อวิ๋น ข้าไม่ได้กำลังพูดถึงเจ้าเสียหน่อย อย่าทึกทักไปเองเช่นนี้สิ จะว่าไปแล้วทำไมเจ้าถึงมาคนเดียวล่ะ อ๊ะ! อย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน ถ้าไม่มีใครเลือกอยู่กับเจ้า ข้าจะให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทางนี้ไปอยู่กับเจ้าสักสองสามคนก็ยังได้นะ อย่างน้อยก็คงช่วยให้เจ้าตั้งกลุ่มและไม่ต้องสละสิทธิ์จากการแข่งขันนี้ได้มิใช่หรือ” ดวงตาของเขาเย็นชาขณะพูดเช่นนั้น เขาถากถางขึ้นเสียงเบาว่า “แต่แน่นอนว่าข้าคงมอบคนของตัวเองให้เจ้าเปล่าๆ ไม่ได้ เจ้าต้องคุกเข่าลงคำนับข้า แล้วขอขมาข้าเสียก่อน อย่างไรก็คงไม่มีใครในพวกข้าอยากเข้าร่วมกลุ่มกับตระกูลจูเก่ออยู่แล้ว”
“ฮ่าๆๆ นายน้อยหนี เจ้าเอาจริงหรือ พี่อวิ๋นยังต้องการทำตามความปรารถนาก่อนตายของบิดาให้เป็นจริงอยู่ เขามีความมุ่งมั่นแต่ไร้ความสามารถ และยังไม่สามารถหาใครมาร่วมกลุ่มได้อีกด้วย ข้ากลัวว่าเขาอาจจะต้องคุกเข่าให้เจ้าเพื่อให้ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันจริงๆ ก็ได้นะ” คนที่พูดประโยคนี้คือนายน้อยจากตระกูลสาขาอีกตระกูลหนึ่ง นามว่าเซียวหลิงอวี้ เขาไม่ใช่คนชอบใช้กำลังนักหากเทียบกับหนีหู่ แต่ก็ชอบดูถูกคนอ่อนแอและประจบคนที่แข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่น้ำเสียงของเขาก็ฟังดูเย้ยหยันด้วยโทนเสียงที่แปลกประหลาด
เดิมทีนั้นจูเก่ออวิ๋นเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขา แม้กระทั่งในเรื่องของอาคมขับไล่วิญญาณร้าย เขาก็ยังเก่งกาจกว่าพวกเขามากด้วยซ้ำ แต่การตายของผู้เป็นบิดานำพาโชคร้ายมาให้เขา ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใด แต่ถ้าหากไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เขาก็คงไม่พ้นต้องถูกรังแกอยู่วันยังค่ำ
แม้จะเป็นผู้สืบทอดของตระกูล แต่จูเก่ออวิ๋นก็เป็นได้เพียงแค่ความอัปยศของตระกูลเท่านั้น
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่เขารู้ว่าเขาทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้สมาชิกในกลุ่มของตัวเองยังมาไม่ถึง ถ้าเขาทำอะไรลงไปตอนนี้ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันจริงๆ
“การแข่งขันกำลังจะเริ่มในอีกครึ่งก้านธูป พี่อวิ๋น เจ้าควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจึงค่อยให้คำตอบกับข้า ข้อเสนอนี้มีเวลาจำกัด” ทันทีที่พูดจบ หนีหู่และคนที่อยู่รอบตัวเขาก็หัวเราะออกมา ในเสียงหัวเราะของพวกเขามีความดูถูกเหยียดหยามปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ตอนที่พวกเขากำลังจะหันหลังกลับ น้ำเสียงเย็นชาก็ตัดผ่านอากาศเข้ามา เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาไม่แยแส และเห็นได้ชัดว่าผู้คนไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย “เก็บข้อเสนอของเจ้ากลับไปเสีย พวกเราไม่จำเป็นต้องพิจารณาอะไรทั้งสิ้น กลุ่มเรามีกันครบแล้ว”
หนีหู่มองไปยังต้นเสียงนั้น แล้วรอยยิ้มของเขาก็พลันหายไปทันที
มีคนสองคนยืนอยู่ด้านหลังจูเก่ออวิ๋น
เขาจะไม่มีวันลืมใบหน้าของสองคนนี้ไปจนวันตาย เขาต้องขอบคุณสองคนนี้ที่ฝากบาดแผลไว้บนหน้าของเขา กระทั่งตอนนี้พวกมันยังเจ็บอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญที่สุด เขาไม่เคยถูกใครรังแก และไม่เคยถูกอัดจนน่วมต่อหน้าต่อตาทุกคนเช่นนั้นมาก่อน
เขาจะต้องแก้แค้นให้จงได้!