ตอนที่ 737 มั่งคั่งและแข็งแกร่ง
หลินม่ายเดินไปยังบ้านอันทรุดโทรมของฟู่เฉียง เมื่อมาถึงเธอก็ยื่นศีรษะและมองเข้าไปทางหน้าต่าง
ในห้องที่มีแสงสลัว กองฟืนและของกระจุกกระจิกอื่น ๆ ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่
หลินม่ายสงสัย ครอบครัวของฟู่เฉียงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ แล้วพวกเขาย้ายไปไหน?
ชาวบ้านคนหนึ่งผ่านมาเห็นหลินม่ายและถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “นั่นม่ายจื่อเหรอ?”
หลินม่ายหันกลับมาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองค่ะ ลุง เพิ่งกลับมาจากทุ่งนาเหรอคะ?”
ชาวบ้านยิ้มและพยักหน้า “ใช่แล้ว หนูมาหาฟู่เฉียงเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” หลินม่ายพยักหน้า “ครอบครัวของฟู่เฉียงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้วเหรอคะ? พวกเขาย้ายไปไหน?”
ชาวบ้านกล่าว “พวกเขายังอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้อยู่บ้านเก่าแล้ว ครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่”
เขาชี้ไปยังบ้านอิฐหลังใหม่ที่อยู่ไม่ไกลพลางกล่าว “ฟู่เฉียงเป็นเด็กดีและเก่ง เขาสร้างบ้านใหม่ให้ตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และบ้านหลังนั้นก็คือบ้านใหม่ของครอบครัวเขา”
หลินม่ายขอบคุณชาวบ้านคนนั้นและเดินไปยังบ้านใหม่ของฟู่เฉียง
ก่อนที่จะมาถึงด้านหน้า เขาเห็นแม่ของฟู่เฉียงกำลังออกไปเก็บผัก
แม่ของฟู่เฉียงผงะไปชั่วครู่ ก่อนจะตบต้นขาของตนด้วยความประหลาดใจและพูดอย่างตื่นเต้น “โอ้! ม่ายจื่อ! ม่ายจื่อ อยู่ที่นี่ แขกผู้มีเกียรติของเรา!”
พ่อของฟู่เฉียงกำลังให้อาหารกระต่ายที่สวนหลังบ้านพลันได้ยินเสียงของภรรยาจึงวิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายอยู่ที่นี่จริง ๆ เขาก็มีความสุขมากจนหัวเราะออกมา
เขาพูดกับหลินม่าย “ฉันจะไปเรียกฟู่เฉียงและคนอื่น ๆ กลับมา” จากนั้นก็วิ่งไปทันทีที่กล่าวจบ
หลังจากวิ่งไปได้สองก้าว เขาก็หันศีรษะไปพูดกับแม่ของฟู่เฉียง “ที่รัก ซี่โครงหมูอบของเราได้ที่แล้ว อย่าลืมเอามาต้อนรับหลินม่ายด้วยนะ”
แม่ของฟู่เฉียงพูดด้วยความรำคาญ “ฉันรู้แล้วน่า ให้บอกไหมว่าต้องทำอะไรเพิ่ม ฉันต้องไปฆ่าไก่มาต้อนรับหลินม่าย”
ม่ายจื่อมองไปยังคู่รักที่เรียบง่ายนี้
เมื่อสองปีที่แล้ว สามีภรรยาคู่นี้ป่วยหนัก อีกคนก็เสียสติ และทั้งคู่ก็ผอมโซจนดูไม่ได้
ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้า ถึงไม่อ้วนท้วน แต่ก็ดูดีกว่าที่เคยเป็นมาก
ในขณะที่เธอตกตะลึง พ่อของฟู่เฉียงก็ได้ออกจากบ้านไปแล้ว
แม่ของฟู่เฉียงทักทายหลินม่ายอย่างอบอุ่นพร้อมเชิญให้เธอมานั่งในบ้าน
หลินม่ายเดินเข้าไปและเยี่ยมชมทั้งห้อง
ห้องนั่งเล่นขนาดใหญและห้องนอนสี่ห้องเพียงพอแล้วสำหรับครอบครัวที่ร่ำรวยและแข็งแกร่งที่จะอยู่อาศัย
หลินม่ายเดินมายังสวนหลังบ้าน
ในสวนนั้นมีบ่อน้ำ ทิวทัศน์ที่ร่มรื่น และมีประตูหลังบานหนึ่ง
หลินม่ายผลักประตูหลังออกไป พบสวนหลังบ้านอีกแห่ง
สวนหลังบ้านนี้มีฟาร์มกระต่าย ไก่ เป็ด และเล้าหมู
แม่ของฟู่เฉียงพาหลินม่ายเที่ยวชมพร้อมอธิบาย “ฟู่เฉียงบอกว่าห้องครัวและบ่อน้ำอยู่ในลานเดียวกันกับฟาร์มได้ เพราะไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นจึงสร้างฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขึ้นตรงนี้แทน”
หลินม่ายพยักหน้า “ดีมาก”
เธอเดินไปดูฟาร์มกระต่าย ฟาร์มไก่ และฟาร์มเป็ด
ในฟาร์มกระต่ายมีกระต่ายโตเต็มวัยประมาณหนึ่งพันตัว รวมถึงแม่กระต่ายและลูกกระต่ายอีกหลายตัว
พวกเขาฆ่ากระต่ายสามร้อยตัวต่อเดือน ฟู่เฉียงมีรายได้อย่างน้อยหนึ่งพันหยวนต่อเดือนจากการขายกระต่ายเนื้อ ซึ่งเป็นรายได้ที่ค่อนข้างมาก
ไม่น่าแปลกใจที่ครอบครัวของเขาสร้างบ้านใหม่อย่างรวดเร็ว
แต่ฟาร์มไก่และเป็ดนั้นว่างเปล่า ไม่มีไก่หรือเป็ดแม้แต่ตัวเดียว
หลินม่ายถาม “ไก่และเป็ดในฟาร์มหายไปไหนหมดคะ?”
“ฉันขายบางส่วนให้กับผู้ซื้อของคุณ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ข้างนอก”
หลินม่ายพยักหน้ารับและกลับไปยังห้องนั่งเล่น
เมื่อผ่านประตูหลังของห้องหลัก เธอเห็นบันไดคอนกรีตที่นำไปสู่หลังคา จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังบันไดคอนกรีตอีกครั้ง
แม่ของฟู่เฉียงรีบอธิบาย “บันไดนี้สร้างไว้สำหรับต่อเติมบ้านเมื่อพวกเรามีเงินมากขึ้นในอนาคต ฟู่เฉียงกล่าวว่าภายในเวลานี้ปีหน้า เขาจะเก็บเงินสำหรับต่อเติมบ้านส่วนนี้ได้ ในเวลานั้นเขาจะต่อเติมบ้านให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมสร้างบังกะโลขนาดเล็กอีกหนึ่งหลัง”
ดวงตาของแม่ของฟู่เฉียงเต็มไปด้วยความปรารถนาขณะกล่าว
หล่อนเดินเข้าไปในห้องหลัก หยิบช้อนส้อม แล้วไปตากซี่โครงหมูที่ลานตรงกลาง
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินม่ายก็รีบหยุดหล่อน “ฉันจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน ไม่ต้องเหนื่อยตัวเองทำอาหารเผื่อฉันนะคะ”
แม่ของฟู่เฉียงพูดอย่างจริงจัง “ทำไมล่ะคะ? นาน ๆ ทีกว่าที่คุณจะมาเยือนบ้านเรา จะจากไปโดยไม่กินข้าวด้วยกันก่อนได้อย่างไร?”
“ม่ายจื่อ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเถอะนะ” หลายคนพูดพร้อมกัน
หลินม่ายมองดูและพบฟู่เฉียงที่เดินทางกลับมาพร้อมพี่น้องของเขา
เธอยิ้มพลางกล่าว “ฉันกินข้าวที่บ้านพวกคุณไม่ได้จริง ๆ คุณปู่ คุณย่า และโต้วโต้วยังรอให้ฉันกลับไปกินข้าวที่บ้าน ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ถึงเวลาต้องกลับแล้ว”
แม่และฟู่เฉียงนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าเธออยู่ไม่ได้จริง ๆ พวกเขาก็ต้องยอมปล่อยเธอกลับไป
ฟู่เฉียงยื่นตะกร้าในมือให้หลินม่าย “ที่โคนต้นผักกาดขาวมีสตรอเบอรี่สุกที่ผมพยายามปลูกในปีนี้ ม่ายจื่อเอากลับไปกินที่บ้านนะ”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ “นายรู้วิธีปลูกสตรอว์เบอร์รี่เรือนกระจกด้วยเหรอ?”
สตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ยังไม่ค่อยมีขายในยุคนี้ แต่กำลังจะมีขายในเจียงเฉิง และอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าราคาก็จะไม่ถูก
หลินม่ายไม่ได้กินสตรอว์เบอร์รี่เลยนับตั้งแต่เกิดใหม่
เธอเอื้อมมือหยิบผลสตรอว์เบอร์รี่จากตะกร้าและชิมดู รสชาติหวานอมเปรี้ยว
เธอถาม “นายเรียนรู้วิธีปลูกสตรอว์เบอร์รี่ในเรือนกระจกจากที่ไหน?”
ฟู่เฉียงพูดอย่างเขินอาย “ผมทำการอนุมานจากประสบการณ์ของตัวเองในการปลูกผักในเรือนกระจก นอกจากอ่านหนังสือและขอคำแนะนำจากพี่ชายที่จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเกษตรหัวจงที่พี่เชิญมา ผมก็คิดหาวิธีด้วยตัวเองด้วย
หลินม่ายยกนิ้วให้เขา “ยอดเยี่ยมมาก!”
หลินม่ายขอไปเยี่ยมชมสตรอว์เบอร์รี่เรือนกระจกของเขา
ฟู่เฉียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มและพาเธอเดินไปยังโรงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ของเขา
หลังจากเดินไปไม่ไกล ทั้งสองก็พบกับพ่อของฟู่เฉียงซึ่งไปในเมืองเพื่อซื้อเนื้อแกะกลับบ้าน
พ่อของฟู่เฉียงได้ยินจากฟู่เฉียงว่าหลินม่ายไม่ได้ยู่รับประทานอาหารร่วมกับพวกเขา จึงถามด้วยความประหลาดใจ “ม่ายจื่อ ทำไมรีบกลับจังเลยล่ะ? ฉันเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเนื้อแกะกลับมาและจะขอให้แม่ของฟู่เฉียงทำเนื้อตุ๋นแสนอร่อยให้คุณกิน!”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกพ่อของฟู่เฉียงถึงเหตุผลที่เธออยู่ทานอาหารร่วมกับพวกเขาไม่ได้
พ่อของฟู่เฉียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
หลินม่ายตามฟู่เฉียงไปยังโรงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ที่เขาปลูก และเห็นว่าสตรอว์เบอร์รี่ในโรงเติบโตอย่างน่ายินดี
หลินม่ายถามฟู่เฉียงขณะที่ชมโรงปลูกแห่งนี้ว่าสามารถปลูกสตรอว์เบอร์รี่ได้มากเท่าไหร่ต่อหนึ่งหมู่
ฟู่เฉียงตอบกลับ “สตรอว์เบอร์รี่เป็นไม้ล้มลุกและมักต้องเปลี่ยนหน้าดินหลังจากปลูกสามปี ผลผลิตของสตรอว์เบอร์รี่ในปีแรกนั้นต่ำมาก เพียงหนึ่งพันชั่งต่อหมู่ ผลผลิตจะสูงที่สุดในปีที่สอง ประมาณสี่พันชั่งต่อหมู่ ในปีที่สามจะลดลงเหลือประมาณสองพันชั่ง และหลังจากสามปีก็จะต้องปลูกใหม่ นี่เป็นปีแรกที่ผมปลูกสตรอว์เบอร์รี่ และผลผลิตต่อหมู่ก็ประมาณหนึ่งพันชั่งเท่านั้นครับ”
หลินม่ายกล่าว “หนึ่งพันชั่งก็มากแล้ว หากขายในราคาสามหยวนต่อชั่ง นายก็จะมีรายได้ถึงสามพันหยวน แม้ที่ดินหนึ่งหมู่ของนายจะมีราคาสูงถึงสองพันหยวน แต่รายได้จากการปลูกสตรอว์เบอร์รี่บนที่ดินผืนนั้นก็มากกว่าสองพันหยวน นายปลูกสตรอว์เบอร์รี่ทั้งหมดกี่หมู่?
ฟู่เฉียงพูดอย่างเขินอาย “ผมปลูกเพียงห้าหมู่ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการทดลองปลูกจึงไม่กล้าปลูกมากเกินไป หากปีนี้ปลูกได้ผลดี ผมจะส่งต่อวิธีการให้กับชาวบ้านในปีหน้า”
หลินม่ายพยักหน้า “ถึงจะมีสตรอเบอรี่เพียงห้าหมู่ ก็ยังทำเงินได้หลักหมื่น~”
ทั้งสองออกมาจากโรงเก็บสตรอว์เบอร์รี่ และหลินม่ายก็ถามฟู่เฉียงว่าเขาจะเก็บสตรอว์เบอร์รี่ออกสู่ตลาดได้เมื่อใด เธอจะได้จัดหาผู้ซื้อ
ฟู่เฉียงกล่าว “สตรอว์เบอร์รี่ของผมจะเก็บได้พรุ่งนี้ครับ”
หลินม่ายพยักหน้า “ตกลง ฉันจะให้ผู้ซื้อของฉันมารับซื้อตั้งแต่วันพรุ่งนี้ และจะซื้อให้เสร็จภายในห้าวัน”
สตรอว์เบอร์รี่เก็บรักษายาก ราคาขายสูง หลินม่ายไม่กล้าซื้อทุกวันเพราะกลัวว่าหากขายไม่ได้จะเน่าเสีย ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองจนเกินไป
เธอจะแบ่งการซื้อเป็นระยะเวลาห้าวัน โดยซื้อวันละหนึ่งพันชั่ง ด้วยปริมาณเพียงเท่านี้ก็อาจขายหมด
ฟู่เฉียงยิ้มพลางตอบ “ขอบคุณครับพี่สะใภ้”
หลินม่ายโบกมือ “ขอบคุณอะไรกัน ฉันซื้อสตรอว์เบอร์รี่ของนายไปขาย ฉันเองก็ทำเงินเหมือนกัน”
ขณัทั้งสองกำลังบอกลากันหน้าโรงสตรอว์เบอร์รี่เรือนกระจก พ่อของฟู่เฉียงก็มาทันที
ทันทีที่เขามาถึง เขาก็ยัดตะกร้าใส่มือให้หลินม่ายและพูดอย่างจริงใจ
“หากคุณไม่มีเวลากินข้าวร่วมกับเรา ก็เอาของนี้กลับไปทำให้ครอบครัวของคุณกินนะครับ”
หลินม่ายเหลือบมองของในตะกร้า มีซี่โครงหมูหมัก ปลา แนะเนื้อแกะที่เขาเพิ่งซื้อมาพร้อมไข่และเต้าหู้แห้งแบบแท่ง
หลินม่ายปฏิเสธอยู่นาน แต่น้ำใจก็ยากจะปฏิเสธ จึงต้องรับไว้
เมื่อเธอเดินทางกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่า คุณปู่และคุณย่าฟางกลับมาพร้อมกับปลา หมู ไก่ และเป็ดมากมาย รวมถึงข้าวและขนมหวาน ของอร่อยต่าง ๆ ที่ชาวสวนนำมามอบให้
กลิ่นซุปไก่โชยมาจากในครัว
หลินม่ายถาม “ของเหล่านี้มาจากเพื่อนบ้านเหรอคะ?”
คุณย่าฟางพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ปู่ของหลานและย่าบอกเพื่อนบ้านว่าเราจะกลับเมืองหลวงในอีกสองวัน และไม่อาจนำสิ่งเหล่านี้กลับไปด้วยได้ เพื่อนบ้านรู้สึกขอบคุณหลานที่ซื้อผักในโรงเรือนของพวกเขาด้วย แต่อาหารเหล่านี้ต่อให้แจกจ่ายไปเยอะแล้วก็ยังเหลืออยู่เต็มบ้าน
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางกล่าง “ไม่เป็นไรค่ะ ปู่กับย่าพาโต้วโต้วนั่งเครื่องบินกลับนะคะ ส่วนฉันจะขนของพวกนี้ขึ้นรถไฟกลับไปเมืองหลวง”
คุณย่าฟางถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่ขึ้นรถไปด้วยกันเลยล่ะ?”
หลินม่ายหยิบสตรอว์เบอร์รี่ของฟู่เฉียงออกมาให้ทุกคนได้ชิม
“ผลไม้นี้เรียกว่าสตรอว์เบอร์รี่ และไม่เป็นที่นิยมมากนัก ฉันอยากนำสตรอว์เบอร์รี่กลับไปให้จั๋วหรานกิน แต่ตอนนี้เข้าสู่ช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ มีคนมากมายบนรถไฟและการไหลเวียนของก็อากาศไม่ดี
หากพวกเราขึ้นรถไฟกันหมด ฉันเกรงว่าสตรอว์เบอร์รี่พวกนี้จะเน่าระหว่างทาง
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอยากให้ปู่ย่าพาโต้วโต้วขึ้นเครื่องบินและนำสตรอว์เบอร์รี่กลับไปยังเมืองหลวงเพื่อให้จั๋วหรานกินน่ะค่ะ”
คุณปู่ฟางจั๋วหรานและคุณย่าฟางจั๋วหรานนึกถึงฟางจั๋วหรานเสมอ เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลินม่ายเองก็นึกถึงหลานชาย พวกเขาก็มีความสุขและพยักหน้าซ้ำ ๆ เพื่อแสดงว่าพวกเขายอมรับข้อตกลงของหลินม่าย
โต็วโต้วยัดสตรอว์เบอร์รี่เข้าปากพลางกล่าว “สตรอว์เบอร์รี่อร่อยมาก แม่ หนูขอเอาสตรอว์เบอร์รี่เหล่านี้ไปแบ่งให้ฉีฉีได้ไหมคะ? เขาน่าจะไม่เคยกิน”
เนื่องจากโต้วโต้วติดตามหลินม่ายและคนอื่น ๆ กลับไปยังเจียงเฉิง และเธอไปยังสวนสาธารณะกับคุณปู่และคุณย่าฟางเพื่อฝึกไทเก๊ก พวกเขาได้พบกับฉีฉีและปู่ย่าของเขา
เด็กน้อยทั้งสองไม่ได้เจอกันนาน และเมื่อพบกันอีกครั้ง พวกเขาก็รักใคร่กันมาก
ทั้งสองคนมักนำของเล่น อาหาร และขนมมาแบ่งปันกันเสมอ
โต้วโต้วมีสตรอว์เบอร์รี่ ดังนั้นหล่อนจึงต้องการนำมาแบ่งให้ฉีฉี
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย
เธอปรารถนาให้โต้วโต้วเติบโตมาอย่างดีและรู้จักแบ่งปัน
ให้หล่อนเรียนรู้ที่จะใจกว้างต่อผู้อื่น เพื่อจะไม่กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัว
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฟู่เฉียงใช้ชีวิตดีมากเลย ต่อไปคงสบายแล้ว
ไหหม่า(海馬)