บทที่ 94 สมบัติแห่งภูเขาตง
ในเมื่อเจ้ากระต่ายสามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว ฉู่เหินจึงไม่ต้องกังวลว่ากระต่ายตัวนี้จะทำร้ายครอบครัวของเขาอีกต่อไป ตอนแรกชายหนุ่มกลัวว่ามันจะเป็นปัญหา ทำให้เขาไม่กล้าพากระต่ายไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาได้ แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอะไรแล้ว
หลังจากฝึกรอบดึก ชายหนุ่มก็กลับมามีพละกำลังอีกครั้ง เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น พลังของฉู่เหินเพิ่มพูนขึ้นมาก ตอนนี้เขาเข้าถึงระดับสุดยอดปรมาจารย์แล้ว ต่อไปนี้คงไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้อีกต่อไป
หลังจากที่ตื่นขึ้นตอนเช้ามืด ชายหนุ่มก็ไปหาอะไรกิน ก่อนที่จะออกเรือเพื่อไปหาสาหร่ายทะเลลึก ก่อนหน้านี้ฉู่เหินได้เตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อมเสร็จสรรพแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถออกทะเลได้ในทันที
เรือใหม่ของฉู่เหินแตกต่างจากเดิม เจ้าเรือลำนี้มันทำให้เขารู้สึกสบายตอนขับเรืออย่างบอกไม่ถูก ว่าแล้วชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่ซื้อเรือลำนี้แล้วเขายังไม่เจอพี่รองเลย เดาไม่ออกเลยว่าพี่รองนี่จะมีปฏิกิริยายังไงเมื่อเห็นมัน
เมื่อพูดถึงพี่รอง ฉู่เหินก็อดที่จะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อน จากการบังคับของพ่อแม่ พี่รองจึงจำไปนัดบอดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายหญิงจะรู้สึกดีด้วย ดังนั้นพี่รองก็เลยพูดคุยต่อตามมารยาท
ทว่า ใครจะไปรู้ล่ะว่าเสี่ยวเฟิงดันไปรู้เกี่ยวกับการนัดบอดของพี่รองเข้า ดังนั้นเสี่ยวเฟิงจึงแอบนัดผู้หญิงคนนั้นออกมาคุย พวกเธอคุยกันอยู่นาน แต่ไม่มีใครรู้ว่าคุยอะไรกัน รู้เพียงว่าตอนที่ทั้งสองออกมา ดวงตาของเสี่ยวเฟิงนั่นแดงก่ำ
หญิงสาวคนนั้นโกรธมาก พี่รองเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เธอกลับมาเขาจึงรีบเข้าไปซักถามผู้หญิงคนนั้น หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดทะเลาะกันขึ้น ทำให้พี่รองมึนไปหมด เมื่อเขาอยากจะถามอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นก็ไปเสียแล้ว
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะไป เธอก็ได้ทิ้งท้ายไว้ เธอบอกว่าพี่รองนั้นเป็นคนเย็นชาไม่มีหัวใจ เมื่อเล่นจนพอใจแล้วก็ทิ้ง เป็นเฉินซื่อเหม่ยในยุคปัจจุบัน หลังจากนั้นคำพูดเหล่านี้ก็ถูกพูดกันต่อ ๆ ไป จนสุดท้ายพี่รองก็ได้ฉายาว่า เฉินซื่อเหม่ยที่ไม่มีหัวใจได้แล้วทิ้ง
สิ่งนี้ทำให้ฉู่เหินพยายามกลั้นขำแทบตาย แต่เขาจะแสดงว่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่มีความสุขอยู่เงียบ ๆ พี่รองนี่ซื่อจนน่ารักเลยล่ะ ทั้ง ๆ ที่เสี่ยวเฟิงแสดงท่าทางหึงขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เขาก็ยังกล้าไปทำตัวแบบนี้อีก นิสัยอย่างเสี่ยวเฟิงมีเหรอจะทน
ในขณะที่ฉู่เหินกำลังขับเรือไปตามท้องทะเล เขาก็คิดถึงเรื่องของพี่รองไปด้วย ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองน่าจะต้องหาโอกาสไปเตือนพี่รองสักหน่อย ถ้าพี่รองได้รู้ว่าเสี่ยวเฟิงชอบเขาจริง ๆ เขาคงจะมีปฏิกิริยาที่เว่อร์กว่าตัวเองเป็นแน่
ฉู่เหินที่ตอนนี้ถือได้ว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ของยุทธจักรแล้ว ดังนั้นการเหวี่ยงแหในครั้งนี้เขาจึงได้ใช้กำลังภายในลงไปยังแหก่อนที่จะเหวี่ยงมันลงไป
หลังจากที่โยนมันไปแล้ว มุมมองที่ถ่ายทอดมาจากแหก็ทำให้ฉู่เหินพบเข้ากับภูเขา ด้วยความไม่แน่ใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามควบคุมแหของเขาให้ไปหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่
ก่อนที่จะปล่อยลมปราณไปตามแหเพิ่มขึ้นอีก ทันใดนั้นภาพตรงหน้าของเขาก็เปล่งแสงจ้าออกมา
ตอนนี้เแหได้กระจายไปทั่ว มันครอบคลุมได้กว้างกว่า 10 เมตรได้
หลังจากที่ตอนนี้แหได้คลุมไปทั่วต้นไม้แล้ว มันก็เปล่งแสงออกมาอีกครั้งราวกับจะบอกว่ามีขุมทรัพย์อยู่ตรงนี้
ภูเขาโบราณลูกนี้คนในพื้นที่เรียกว่า ‘ภูเขาตง’ ที่เขาแห่งนี้มีเรื่องเล่าและตำนานมากมาย บางคนเล่าว่ามีของมีค่ามากมายถูกฝังอยู่ที่นี่ และก็มีบางคนเล่าว่า พวกเขาเคยเห็นต้นไม้เดินได้
ท้ายที่สุดแล้ว ตำนานเรื่องเล่าของภูเขาตงก็แพร่กระจายไปทั่ว นั่นจึงทำให้ตีนเขาลูกนี้กลายเป็นแหล่มชุมชนขนาดย่อม ๆ พวกเขาเหล่านั้นแล้วแล้วแต่มาเพื่อพิสูจน์ความจริงของภูเขาลูกนี้
ก่อนหน้านี้ได้มีการต่อสู้ที่ภูเขาตง การสู้รบเกิดขึ้นยาวนานเป็นปี มันเต็มไปด้วยเลือดและไฟ คนที่รอดจากการต่อสู้ในครั้งนั้นได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่กลายเป็นยอดฝีมือ ไม่มีใครสามารถล้มพวกเขาได้อีกเลย
ทว่า ก็ได้มีการค้นพบแสงที่กะพริบอยู่บนภูเขาตงอยู่บ่อยครั้ง นี่จึงทำให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ นั่นตื่นเต้นกันไปหมด และทำให้พวกเขาพากันพูดต่อ ๆ กันว่ามันคือแสงของสมบัติแห่งภูเขาตง
ในบรรดาผู้ยอดฝีมือ มีอยู่ 3 กองกำลังหลักที่เป็นใหญ่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ นั่นคือ หมู่บ้านแห้งแล้ง ศาลาขวานผี และร้านค้าอู๋จี พวกเขาทั้ง 3 ฝ่ายต่างก็แข็งแกร่งเสียจนสามารถต่อกรกับพวกปีศาจได้
ในขณะนั้นเอง กองกำลังหลักทั้ง 3 ฝ่าย พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของภูเขาตง ดังนั้นจึงนำกำลังของตนมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ว่าในทันที
เจ้าของหมู่บ้านแห้งแล้งนั้นเป็นชายแก่อายุ 50 นาม หลินยีซาน ชายร่างท้วมที่มาพร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา
ยีซานคนนี้ไม่ได้มีแค่พลังที่เก่งกาจเท่านั้น ทว่าเขายังเป็นนักวางแผนที่เก่งกาจอีกด้วย ทุก ๆ การวางแผนของเขาจะทำให้ศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาต้องหนีเตลิดหายไป
โอวหยางหง เจ้าของศาลากุ่ยฟู๋ และอู๋โหย่วเต้า เจ้าของร้านค้าอู๋จี่ ไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเท่าไหร่นัก จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้กองกำลังของยีซานนั้นเก่งกาจจนสามารถล้มพวกเขาใครคนใดคนหนึ่งได้ ประกอบกับการทำสัญญากับปีศาจ ทำให้ตอนนี้เหมือนขาตั้งสามขา ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาทั้งสองจึงตัดสินใจร่วมมือกัน
วันนี้หลังจากเหตุการณ์ที่ภูเขาตง กองกำลังทั้งสี่ฝ่ายจึงมารวมตัวกันเพื่อที่จะขุดและค้นหาสมบัติร่วมกันที่นี่
ยีซานมองเห็นผู้คนมากมายจากทุกฝ่าย เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าหมู่บ้านแห้งแล้งจะมีพละกำลังมหาศาล แต่ถ้าเทียบกับพวกกองทัพปีศาจแล้ว นั่นก็ยังห่างชั้นอีกมาก
ถ้าหากอยากจะเปิดศึกกับพวกปีศาจล่ะก็ อย่างน้อยทั้งสามฝ่ายจะต้องรวมตัวกันไม่งั้นก็ต้องพ่ายแพ้กันหมดแน่
ทว่าขุมทรัพย์ภูเขาตงในวันนี้จะทำให้ทุกฝ่ายหันกลับมาพุ่งคมดาบใส่กันอีกครั้ง
“สหายโอวหยาง สหายอู๋ พวกเราไม่ได้เจอกันนาน เป็นยังไงบ้าง?” ยีซานลุกขึ้นหลังจากที่เห็นหัวหน้าทั้งสองกลุ่มเดินเข้ามา
โอวหยางและโหย่วเต้าเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ายีซานนั้นไม่ใช่คนที่เชื่อถือได้ซักเท่าไหร่ เขามีอดีตที่น่าเกลียดและน่ากลัวซ่อนอยู่ และนี่เองก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเข้ายึดหมู่บ้านแห้งแล้งแห่งนี้ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น หลินยีซาน
Next