บทที่ 152 ตงโกวจีหยาง[รีไรท์]
บทที่ 152 ตงโกวจีหยาง[รีไรท์]
โจวหู่ที่เห็นบาดแผลมากมายบนตัวของฉู่เหินก็รีบเข้าไปทำแผลให้ เขาพยายามฝืนยิ้มออกมา แต่เมื่อฉู่เหินเห็นรอยยิ้มที่ว่า ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันน่าเกลียดกว่าหน้าตอนร้องไห้เสียอีก
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ผิวโดนไฟไหม้เล็กน้อยเท่านั้นเอง” หลังจากพูดจบฉู่เหินก็เหลือบไปเห็นเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขาที่ลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง
ในตอนแรกเด็กน้อยอยู่ในอาการตกใจจนกลัว แต่เมื่อเห็นฉู่เหินที่เหมือนกับแสงสว่างเขาก็สงบลงได้ ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะติดใจในตัวฉู่เหินยังไงก็ไม่รู้ หลังจากนั้นไม่นานฉู่เหินก็ได้รู้เรื่องราวของเด็กคนนี้ว่าเป็นมาอย่างไร
เด็กคนนี้คือ ตงโกวจีหยาง อายุ 12 เป็นคนที่มีชะตาชีวิตน่าเศร้าคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร คาดว่าน่าจะถูกลักพาตัวมาจากที่ไหนสักแห่ง เขาจำได้แค่เพียงว่าถูกทำร้ายร่างกายอยู่ตลอดเวลาจนต้องหลบหนีออกมาอยู่ข้างถนน บอกได้เลยว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดสำหรับเขาเลย
จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เด็กคนนี้นั่งขอทานอยู่ข้างนอก แต่ทั้งวันกลับหาเงินไม่ได้สักหยวน เขารู้ดีว่าถ้ากลับไปแล้วจะต้องโดนทุบตีแน่ จนเด็กชายเกือบคิดจะหักขาตัวเองเพื่อให้ดูน่าสงสารจะได้ไม่โดนทุบตี
แม้ว่าจีหยางจะยังเด็กแต่ก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง หลังจากที่ครุ่นคิดสักพักเด็กชายก็ตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่ หลังจากที่เขาตัดสินใจหนี เขาก็ได้รู้ว่าบนโลกที่กว้างใหญ่นี้ไม่มีที่ให้คนอย่างเขาเลย
เมื่อบวกกับความกลัวที่ก่อขึ้นในจิตใจของเด็กชาย มันจึงทำให้เขาต้องวิ่งหนีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายลับไปในภูเขาและไม่มีใครพบเจอกับเขาอีกเลย
เด็กชายกลัวที่จะถูกจับได้ ถ้าจีหยางถูกจับเขาจะต้องประสบพบความทรมานเหมือนเมื่อก่อนเป็นแน่ ซึ่งเรื่องน่าแปลกก็คือเขาสามารถรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าผลไม้ไหนกินได้หรือดอกไม้ไหนมีพิษ
เขาเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการเก็บกินผลไม้ใบหญ้า แต่การที่เด็กชายใช้ชีวิตแบบนั้นบนภูเขามาเป็นปีได้เนี่ย มันใช่สิ่งที่เด็ก 10 ขวบเขาทำกันได้เหรอ? พูดไปใครจะไปเชื่อล่ะ
1 ปีให้หลัง เด็กชายที่คิดว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว จึงตัดสินใจลงมาจากภูเขา และอยู่ได้ด้วยการขอทานบนถนน เมื่อหิวก็ขอเขากิน ง่วงก็แค่นอน แม้ว่าชีวิตจะยากลำบากแต่มีก็อิสรเสรี เด็กชายไม่เคยคิดว่าวันที่ได้พบฉู่เหินจะเป็นวันที่เขานอนหลับ
สงสัยเขาจะหลับลึกไปหน่อย จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด…
ฉู่เหินรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีชีวิตที่เหมือนกับเขามาก ถ้าเขาไม่พบกับหวงเจี้ยนหมิงก็น่าจะเป็นแบบเด็กคนนี้ไปแล้ว เรื่องแบบนี้มันช่างบีบคั้นหัวใจของเขาเสียเหลือเกิน
“จีหยางตามฉันมา ฉันจะสอนนายใช้ชีวิตปกติเอง” จีหยางดวงตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากของฉู่เหิน เขารู้สึกได้เลยว่าชีวิตแบบข้างถนนของเขากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมนะครับ ลุงไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผม แต่ยังให้ชีวิตใหม่ด้วย ผมจะจำบุญคุณนี้ไปจนวันตายเลย!”
ฉู่เหินนึกภาพตอนที่เขาถูกพาตัวมาที่บ้านของหวงเจี้ยนหมิงได้เป็นอย่างดี มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกันเสียเหลือเกิน เมื่อเขาครุ่นคิดเสร็จก็มองไปที่จีหยางด้วยใบหน้าที่อ่อนลง
จีหยางถูกส่งไปที่บ้านของฉู่เหินล่วงหน้าด้วยความร่วมมือจากหวงเจิน ทางด้านฉู่เหิน เขายังมีงานที่ต้องสะสางอยู่อีก และการที่ปล่อยจีหยางไว้ที่นี่มันก็จะยิ่งทำให้งานที่ว่ายากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นการที่เขาส่งเด็กคนนี้ไปที่บ้านจึงทำให้โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
เบื้องหน้าของเขาคือจอฉายภาพจากดาวเทียมที่มีกองไฟอันแสนดุดัน ฉู่เหินกังวลเล็กน้อยแต่เมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมงทุกอย่างก็ยังอยู่ในการควบคุม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถพักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่
ฉู่เหินที่คุยกับโจวหู่ก็มองไปที่หน้าจอตลอดเวลา พร้อมด้วยความรู้สึกที่ไม่สบอารมณ์ เขาคาดเดาไว้ไม่ผิด พวกสัตว์ร้ายนั่นไม่อาจโผล่ขึ้นมาได้จริง ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกใจคอไม่ดีตลอดเวลา
“มันเพราะอะไรกันนะทำไมฉันถึงรู้ถึงไม่สบายใจเลย มันเกิดอะไรขึ้น” ฉู่เหินพึมพำในใจ เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่างไป
ไม่นานนักเขาก็ตะโกนออกมา “ฉิบหายแล้ว”
ในจังหวะเดียวกัน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่ทางใต้ดินนั่นมีตาแก่ที่ทำความสะอาดอยู่ แต่เมื่อเขาเข้าไปทำลายห้องทดลองนั่นแล้วก็ไม่มีใครเห็นลุงคนนั้นอีกเลยราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ตอนนี้เขานึกออกแล้ว
ตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าลุงคนนั้นน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา ในสถานที่ที่ซึ่งมีทั้งซอมบี้มากมายรวมไปถึงเหล่าสัตว์กลายพันธุ์ที่บ้าคลั่งนั่น แต่ที่น่ากลัวก็คือคนที่สามารถบงการสัตว์กลายพันธุ์พวกนั้นได้!
นอกจากนี้เขายังเห็นว่าตาลุงคนนั้นยังลูบหัวของพวกสัตว์ร้ายทั้งหลายอีกด้วย นี่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ทุกอย่างก็พลันดูเข้าที่เข้าทาง เป็นไปได้สูงมากที่เขาคนนั้นจะไม่ธรรมดาจริง ๆ
ฉู่เหินนึกไปถึงข้างในโกดังที่เขาทำหลุมเอาไว้มากมาย ซึ่งถ้าเกิดว่าสัตว์พวกนั้นฉลาด พวกมันอาจจะใช้รูพวกนั้นเพื่อออกมาก็เป็นได้
ฉู่เหินรีบสลับจอไปดูโกดังที่พังไปแล้วก็พบกับกองซากเหล็กมากมาย หัวใจของเขาเต้นระรัวราวกับมีคนมารัวกลอง
เมื่อเขามองไปที่จอฉายภาพนั่น เขาก็เริ่มเห็นว่ากองซากเหล็กสั่นไหวขึ้นลงอย่างดุเดือด อารมณ์ของฉู่เหินเริ่มแข็งทื่อ
ตู้ม! เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ซากโกดังที่พังไปแล้วก็ปรากฏยักษ์ตัวหนึ่งเดินออกมา
มันคือตัวนิ่มอีกตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก เจ้าสัตว์ร้ายใช้ทางหนีออกมาจากทางโกดังนี้ ก่อนที่พวกสัตว์กลายพันธุ์ตัวอื่นมากมายจะพากันหลั่งไหลออกมาจากรูนั่น ฉู่เหินเห็นชายแก่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกมัน เขาคือคนเดียวกันกับลุงที่กวาดพื้นคนนั้น
“ไม่มีสัตว์ประหลาดหลุดออกมาจากโกดังนั่นหรอก มีแต่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่าพวกซอมบี้เท่านั้น” เสียงๆ หนึ่งดังจากหน้าจอ
ทุกคนในกลุ่มมังกรก็ได้ยินเช่นกัน พวกเขาตะลึงจนรีบสลับจอมาดูด้วยความตะลึง พวกเขาเห็นสัตว์กลายพันธุ์เจาะพื้นดินทะลุขึ้นมา และเป็นวินาทีเดียวกันกับที่เหล่าหัวหน้าหน่วยที่ศูนย์บัญชาการได้รับข่าวนี้เช่นกัน
Next