บทที่ 184 เฉินเจียนหายไปและการเปลี่ยนแปลงที่บ้าน[รีไรท์]
บทที่ 184 เฉินเจียนหายไปและการเปลี่ยนแปลงที่บ้าน[รีไรท์]
เธอเป็นเด็กกำพร้าที่เสียพ่อไปตั้งแต่เด็ก เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ได้แต่กลัวจนตัวสั่นเท่า พวกเขาจากไปในเวลากลางดึกและพวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลย ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ที่พวกชาวบ้านร่ำรวยละก็ เด็กทั้งสองจะต้องหิวตายไปแล้วแน่ ๆ
เฉินเจียนหายตัวไปแต่ก็ยังมีร่องรอยเหลือไว้อยู่บ้าง หลังจากขึ้นมาบนรถอีกฝ่ายแล้วหญิงสาวส่งข้อความหนึ่งออกไป เดิมทีในเนื้อความนั้นเธอต้องการส่งให้ฉู่เหินปกตินั่นแหละ แต่ก็เผลอส่งข้อความผิดไป ข้อความดังกล่าวได้ส่งไปยังหลิวเสี่ยวชิงแทน เพราะครั้งก่อนที่เสี่ยวชิงกำลังรอพบฉู่เหิน ทั้งสองก็ได้แลกเบอร์กันไว้
เสี่ยวชิงเคยคุยกับเฉินเจียนทางโทรศัพท์นับครั้งไม่ถ้วน ไม่เช่นนั้นเฉินเจียนคงไม่อาจอ่านสถานการณ์แบบนั้นออกได้อย่างรวดเร็วแน่
เมื่อฉู่เหินมาถึงหมู่บ้าน เขาก็พึ่งทราบข่าวว่าเฉินเจียนได้หายตัวไปกว่า 10 วันแล้ว บ้านของเธอในตอนนี้ดูหม่นหมอง ใครกันที่ทำแบบนี้ ? หรือว่าจะเป็นฝีมือของเม่ยซานเหนียง ? เมื่อคิดได้แบบนั้นชายหนุ่มจึงไปส่งเจียงฉงยิงกับเจียงฉงเซี๋ยกลับไปบ้านของเขา ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเทียนชานคนเดียว!
แต่ก่อนที่จะไปยังเทือกเขาเทียนชาน ฉู่เหินอยากจะไปสำรวจสุสานใหญ่นั่นก่อน เขารู้สึกว่าพลังของตัวเองในตอนนี้นั้นอ่อนแอเกินไป ถ้าเขาไปที่นั่นมันจะต้องช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้แน่ ถ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
ฉู่เหินกลับมาเตรียมตัวที่บ้านพักหลังใหม่ก่อน ซึ่งหวงเจี้ยนหมิงและภรรยาของเขาเองก็รู้ว่าทำไมฉู่เหินถึงได้สร้างบ้านไว้ที่นี่ เพียงไม่กี่วันเท่านั้นก็มีหลายคนเพิ่มขึ้นในครอบครัว โชคยังดีที่พวกเขายังอยู่ในโรงพยาบาล แต่ก็แคบเกินไปที่จะใช้ชีวิตอยู่กันหมดได้ ยังไงเสียเขาต้องสร้างบ้านในบริเวณบ่อจับปลาไว้ชั่วคราวก่อน นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด
ทางด้านซวี่เหลียงเองก็ไม่มีที่จะไปอีกแล้ว และครอบครัวของเขาเองก็ให้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย อีกทั้งตอนนี้เขาไม่คิดจะกลับไปที่มหาลัยอีกแล้ว ดังนั้นฉู่เหินจึงกลายเป็นเหมือนผู้ดูแลของเขาไปโดยปริยาย ซึ่งบางอย่างพวกเขาก็ไม่อาจสามารถทำให้ฉู่เหิน ดังนั้นจึงต้องพึ่งโป๋อีกู่
ซวี่เหลียงได้เชิญครู 2-3 คนมาสอนเหล่านางเงือกให้อ่านออกเขียนได้ จากนั้นเมื่อถึงช่วงพักเขาก็ช่วยหวงเจี้ยนหมิงสร้างบ้านพักอย่างรวดเร็ว วิลล่าหลังดังกล่าวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว มันถูกสร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของเหล่านางเงือกมากกว่า 20 คน
เรื่องเงินทุนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป ซวี่เหลียงเองก็รู้ว่าเขามีเงินกว่า 2 ล้านในบัญชี ส่วนเรื่องเพาะพันธุ์ปลาเกล็ดขาวนั้น เหล่านางเงือกก็มาช่วยรับผิดชอบ เพราะน้ำที่นี่มันเย็นมากจนคนธรรมดาไม่สามารถลงมาว่ายน้ำได้ แต่พวกเงือกสามารถว่ายน้ำได้ตามปกติ
ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกปลาเกล็ดขาวระดับ 3 พวกมันดุร้ายเป็นอย่างมาก แต่พวกเงือกก็ไม่ได้สนใจพวกมันนัก พวกเขายังพอมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บาง เหล่าเหงือกพากันสวมใส่ชุดและรองเท้าเมื่อว่ายน้ำในแม่น้ำ ซึ่งจริงๆ แล้วที่พวกเขาไม่ถอดก็เพราะกลัวว่าถ้าถอดหมดจะทำให้คนพวกนี้ตกใจเอา
โรงงานผลิตอาหารเองก็พัฒนาไปได้ไกลเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รับการช่วยเหลือจากซวี่เหลียง พี่รองแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเพียงไม่กี่เดือนทั้งโรงงานจะสร้างมาได้ไกลขนาดนี้ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น การผลิตเต็มรูปแบบก็จะเริ่มขึ้น
ดูเหมือนว่าช่วงนี้พวกทหารจะต้องการปลาเกล็ดขาวมากขึ้น และถึงพวกฉู่เหินจะไม่สามารถเพาะพันธุ์ปลาระดับ 3 ได้ แต่ปลาระดับ 2 นั้นไม่มีปัญหา
เพียงชั่วพริบตาพวกปลาเกล็ดขาวก็ถูกขายไปเกือบหมด ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณซวี่เหลียง จนกระทั่งตอนนี้ซวี่เหลียงสัมผัสได้ถึงความร่ำรวยจากการเป็นชาวประมงตัวน้อยแล้ว นี่มันเจ๋ง สุด ๆ ไปเลย!
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องทำงานตรากตรำมาครึ่งชีวิตและท้ายที่สุดก็ต้องสู้ด้วยตัวเอง ช่วงเวลาการทำงานแบบไม่รู้วันรู้คืนแบบนั้น เปรียบไม่ได้กับประสบการณ์ชาวประมงไม่กี่ปีของที่นี่จริง ๆ ขอพูดจากใจเลย!
และในช่วงเวลานี้การสอบสวนเรื่องของซวี่เหลียงเองก็มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นกัน หลังจากทั้งตระกูลเจียงสูญเสียพื้นที่ในหูหนานไป สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปทั้งหมดแบบไม่อาจกลับคืน ทุกอย่างที่ตระกูลเจียงมีและภาคภูมิใจก็พังทลาย คดีความเก่า ๆ มากมายโผล่ขึ้นมา มีคดีหนึ่งที่สามารถทำให้ตระกูลเจียงทั้งหมดอยู่ในสภาพที่ไม่อาจหวนคืนสู่สังคมได้เลยทีเดียว
ทว่าก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซวี่เหลียงไม่พอใจ เรื่องนั้นก็คือการที่เจียงเฟิงยินยอมตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง และไม่ยอมเปิดเผยว่าคนที่ตายในวันนั้นคือชิงอี้หรานหรือไม่ คำพูดสุดท้ายของเขาพูดว่า “แม้ว่าชีวิตฉันจะไม่เป็นดังที่ฉันหวัง แต่ก็ใช่ว่านายจะต้องมีชีวิตที่ดีเช่นกัน ฉันต้องการให้นายอยู่อย่างทรมานจนเหมือนตายทั้งเป็น!”
เหตุการณ์ของทั้งสองตระกูลซวี่และเจียงนั้นนำมาสู่บทสรุปที่สมบูรณ์ ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือสองตระกูลใหญ่ถูกทำลาย! ทุกคนได้แต่ถอนหายใจเมื่อนึกถึง เรื่องราวมันฝังลึกลงไปในจิตใจของผู้คน ขณะเดียวกันทุกคนก็ได้รู้ถึงพลังที่ฉู่เหินมี
เมื่อไม่กี่วันก่อนครอบครัวฉู่เหินเองก็ต้อนรับแขกคนหนึ่ง เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเว่ยตงจื่อนั่นเอง หลังจากที่อาการของเขาหายดีแล้วก็ได้มาที่บ้านของหวงเจินอีกครั้งและทำให้ตาลุงคนนี้พึงพอใจสุดๆ
เว่ยตงจื่อได้ยินเรื่องหนึ่งมาจากที่นั่น ซึ่งก็คือฉู่เหินที่กำลังก่อสร้างหมู่บ้านอยู่ ดังนั้นเขาจึงอาสามาเป็นกำลังอีกแรงให้ เขาไม่ได้ทำอะไรอื่นนอกจากทำการตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัดมากเลยทีเดียว
ตอนนี้หมู่บ้านยังคงปิดตัวจากโลกภายนอกอยู่ และด้วยการจัดการต่าง ๆ ที่มากมายเต็มไปหมด มันก็ทำให้หวงม่านอิ่งเองก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลา โชคยังดีที่ได้เว่ยตงจื่อมาช่วยพวกเขาตกแต่งจนทำให้มันดูราวกับเป็นสถานที่ในเทพนิยาย
ณ ที่ใจกลางชั้นบนสุดของวิลล่า มีแผ่นโลหะบาง ๆ ถูกนำมาติดไว้ บนนั้นมีตัวอักษรที่เขียนไว้ว่า ‘กระท่อมนิรันดร์’ สะท้อนไปในสายตาของทุกคน! นี่เป็นชื่อที่รวมเป็นหนึ่งของคนหลังจากที่มีทั้งหมดในที่แห่งนี้ ความแตกต่างระหว่างบ้านพักตากอากาศในฝันและแดนสวรรค์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ใช่ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียก กระท่อมนิรันดร์ ได้ยังไงล่ะ?
แน่นอนว่า ตงโกวจีหยางก็ไม่ลืมที่ดินแปลงใหญ่สำหรับทำสวนของเขา เพราะว่าเขาต้องปลูกพืชวิญญาณหลากหลายชนิด เขาเชื่อว่าถ้าฉู่เหินกลับมาจะต้องเห็นว่าที่บ้านไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแน่นอน
ช่วงที่ฉู่เหินไม่อยู่ที่บ้าน แท้จริงแล้วเขาได้ไปกักตนที่ถ้ำเสือ ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ฝีมือของชายหนุ่มพัฒนาขึ้นเยอะมาก แต่ก่อนเขาไม่ได้เข้าใจวิชาพวกนี้อย่างถ่องแท้ ตอนนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะกักตัวเองเพื่อฝึกฝนเสียเลย การกักตนในครั้งนี้กินเวลาพอสมควร มันใช้เวลาตั้ง 10 วัน และในวันที่เขากักตนเสร็จสิ้นเด็กสาวโม่เจียวก็เริ่มหมดความอดทนพอดี
เวลาที่ฉู่เหินกักตนฝึกฝนอยู่นั้น เด็กสาวก็มักจะมาเล่นกับแรดและพญาเสือ แต่สัตว์ทั้งสองต่างก็เมินเธอเสียอย่างนั้น เรื่องนี้ทำให้เธอเศร้า ชีวิตช่างน่าเศร้าใจยิ่งจริงๆ!
หลังจากที่ฉู่เหินออกจากการกักตัว มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกสัตว์ทั้งสองติดอยู่ที่คอขวด อีกเพียงก้าวเดียวพวกมันก็จะกลายเป็นระดับยอดฝีมือ ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและพยายามหาคำตอบจนได้ความว่าพวกมันกำลังติดอยู่ในขั้นตอนอะไรบางอย่าง
นี่มันไม่น่าแปลกใจเลย เพราะว่าพวกมันนั้นเป็นสัตว์แปลงกายและเลือดของพวกมันนั้นข้นกว่ามนุษย์ ทำให้การฝึกวิชานั้นยากที่จะเป็นไปได้ยากกว่าปกติ ดังนั้นฉู่เหินจึงยื่นยาให้พวกมัน 2 เม็ด
“ยาพวกนี้จะช่วยพวกนายข้ามขีดจำกัดของตัวเอง รับไว้สิ”
ทันทีที่ยาถูกยื่นออกมา สัตว์ทั้งสองก็พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเลและกินมันเข้าไป พวกมันมองไปที่ฉู่เหินด้วยความเคารพ
หลังจากที่ยาลงไปในกระเพาะ เลือดของพวกมันก็เดือดพล่าน หลอดเลือดของมันก็เริ่มมีพลังมากมายเอ่อล้นออกมา