บทที่ 185 แรดและพี่เสือ[รีไรท์]
บทที่ 185 แรดและพี่เสือ[รีไรท์]
หลังจากนั้นหยดเลือดของพวกมันก็ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลง มันเริ่มแยกตัวอีกครั้ง ร่างของสองสัตว์ร้ายพลันมีการเปลี่ยน ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ขนของมันที่เคยแห้งกร้านก็ค่อย ๆ นุ่มฟู เขาของแรดมีสีดำเข้มดั่งหมึกเหมือนกับสีขนของมัน แขนขาเองก็มีกล้ามมากขึ้นแถมยังให้ความรู้สึกประหลาดอีก
รูปร่างของมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เจ้าแรดเองก็มีเขี้ยวงอกออกมาจากปากและหน้าผากคล้ายเขี้ยวเสือ ขนเริ่มงอกออกมารอบคอราวกับแผงคอสิงโต ขนพวกนั้นทั้งนุ่มฟูและยังเปล่งประกายเงางามอีกด้วย หางยาวของมันเองก็เหมือนกับสิงโตและแขนขาของมันก็ดูแข็งแกร่งมาก
วันนี้เจ้าแรดเขาเดียวไม่ควรถูกเรียกว่าแรดเขาเดียวอีกต่อไป รวมไปถึงเขาของมันนั้นมีสายฟ้าล้อมรอบ ตอนนี้มันได้ก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองไปแล้ว!
การเปลี่ยนแปลงของเสือนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะเท่าแรด ขนที่มีสีสันของมันหลุดร่วงและแปรเปลี่ยนเป็นขนสีขาวบริสุทธิ์งอกออกมาแทนราวกับเสือเผือกเลยก็ไม่ปาน มันได้กลายร่างเป็นเสือขาวที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว นี่ไม่ง่ายเลยที่จะวิวัฒนาการจนกลายเป็นแบบนี้ นี่เป็นเพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น ดังนั้นจะมองข้ามพลังของมันไปไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากที่สัตว์ทั้งสองได้เปลี่ยนแปลงตัวตนไปแล้ว พวกมันก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงคำรามกู่ร้องไปทั่วทั้งผืนป่า
ด้วยความดีใจ เจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองได้คุกเข่าลงตรงหน้าฉู่เหินราวกับให้ความเคารพและพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง พวกมันรู้ว่าผลลัพธ์ในวันนี้เกิดขึ้นมาจากมนุษย์ตรงหน้าของพวกมันคนนี้
ฉู่เหินเองก็รู้สึกดีใจที่เห็นภาพนี้ เขาพูดออกมาว่า “ยังไงก็ตามมาก่อนเถอะ ถ้ามีคนเห็นพวกนายในสภาพแบบนี้ละก็โดนจับไปทดลองแน่”
“แต่ไหน ๆ ก็จะตามฉันมา งั้นฉันจะตั้งชื่อให้ก็แล้วกันแรดเขาเดียวให้ชื่อว่าแรดเขาอัสนี ส่วนพญาเสือฉันก็จะเรียกว่า พี่เสือก็แล้วกัน” หลังจากครุ่นคิดเขาก็พูดออกมา
เจ้าสัตว์ทั้งสองได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ายอมรับชื่อเหล่านั้น ในที่สุดพวกมันก็มีชื่อเรียกเสียที ทั้งสองดีใจมากและอยากจะบอกเพื่อนของมันทุกตัวให้รู้จนใจจะขาด
ในตอนที่พวกเขาล่าถอยกลับมา บางอย่างก็ได้เกิดขึ้นในป่าลึกของภูเขาอู๋หลิงเช่นเดียวกัน เมฆสีแดงเข้าปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ดวงดาวมากมายปรากฏทั่วท้องฟ้า สัตว์ต่าง ๆ เริ่มรู้แจ้งทันทีเพราะผลที่ได้จากดวงดาวเหล่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีต้นไม้เหล็ก 2 ต้นเบ่งบาน กลิ่นดอกไม้มากมายก็โชยไปทั่ว พวกมันกลายพันธุ์และกลายเป็นวัตถุดิบทำยา เป็นวิวทิวทัศน์ที่สุดยอดมาก
มันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถถูกปกปิดเอาไว้ได้ เมื่อไม่กี่วันหลังจากนั้นเองก็มีผู้ฝึกยุทธ์จากตระกูลใหญ่หลั่งไหลเข้ามาที่แห่งนี้ นี่จึงทำให้ในช่วงนี้มีผู้คนมากมายเยอะผิดหูผิดตา
หลังจากสำรวจเสร็จสิ้น พวกเขาก็พบว่าในระยะ 10 ไมล์นั้นมีสมบัติอยู่ บางทีอาจจะเป็นขุมทรัพย์ที่ถูกลืมไว้ก็ได้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงมันจะต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ แน่
ฉู่เหินรู้ข่าวนี้ในอีก 3 วันให้หลัง เป็นเพราะชิงเฟิงติดต่อเขามาเป็นการส่วนตัว เมื่อทราบข่าวมันก็ทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการเสียดาย ถ้าเป็นแบบนี้สมบัติพวกนั้นจะต้องถูกพบและหายไปก่อนอย่างแน่นอน จริง ๆ แล้วมีเพียงแค่ทั้งสามเท่านั้นที่รู้เรื่องสมบัตินั่น ซึ่งก็คือ พี่เสือ แรดเขาอัสนี และฉู่เหิน แต่ตอนนี้ดันรู้กันทั่วทั้งโลกไปแล้ว
อันที่จริงแล้วฉู่เหินอยากจะพักอยู่ที่นี่นานอีกหน่อยเพื่อให้ทะลวงเข้าสู้ขั้นปรมาจารย์ให้ได้ แต่ว่าพอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าต้องเร่งทำเวลาเช่นกัน ถ้าไม่รีบไปละก็เกรงว่าแม้แต่น้ำก็คงไม่ได้ดื่ม
ฉู่เหินขี่หลังแรด ส่วนเด็กสาวนั่งอยู่บนหลังพี่เสือ แม้ว่าสีหน้าทั้งแรดเขาเดียวและพี่เสือจะไม่ปรากฏร่องรอยอะไรกับเธอ และที่ทั้งสองก็เลือกที่จะไม่ขัดใจเธอ เพราะในสายตาของพวกมันเด็กสาวก็เหมือนปีศาจเล็ก ๆ ตนหนึ่งเลยทีเดียว
พวกมันจำได้ดีถึงวันที่ฉู่เหินกลับมา เจ้าแมวนพเวทย์ส่งกระแสจิตถึงพวกมัน พูดถึงความขมขื่นที่ตัวเองเคยประสบ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้สัตว์ทั้งสองมีท่าทีแบบนี้
เมื่อวิ่งเข้าไปในหุบเขา เสือและแรดวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด ด้วยความรวดเร็วนั่นทำให้ทั้งสองสามารถไปถึงจุดหมายได้เร็วมาก จนแม้แต่ฉู่เหินยังรู้สึกได้เลยว่าเขาเองก็ไม่น่าจะตามสัตว์สองตัวนี้ได้ทันแน่ ๆ หากต้องวิ่งไล่กัน
เพื่อไม่ให้ผู้คนต้องแตกตื่น ฉู่เหินเก็บสัตว์ทั้งสองตัวออกไป นี่จึงทำให้เด็กสาวถึงกับเดินหนี! ทั้งภูเขาอู๋หลิงตอนนี้ครึกครื้นอย่างยิ่ง ผู้ที่มีฝีมือแบบเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง*(เปรียบเห็นภายนอก ไม่รู้ภายใน) ที่ไหนก็ไม่รู้อยู่กันเต็มไปหมด
ฉู่เหินเดินไปมาเป็นวงกลมและสังเกตผู้คนที่อยู่ที่นี่ พวกเขามีไม่ต่ำกว่า 10 คนแถมยังมีระดับสูงพอตัวด้วย ฉู่เหินสัมผัสได้เลยว่านี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างแน่นอน
หลังจากเดินไปเล็กน้อย เขาก็ถึงเห็นซ่างกวนชิงเฟิงกำลังรออยู่กับพรรคพวกที่มาถึงล่วงหน้าแล้ว ด้วยการที่ชิงเฟิงได้รับประโยชน์จากแสงจันทร์ และระยะห่างของพวกเขาค่อนข้างสั้น ดังนั้นจุดที่พวกเรายืนอยู่จึงเป็นจุดที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมยังมีคนของตระกูลเขาอีก 20 คนมาที่นี่ด้วย ซึ่งเสี่ยวฟู๋เองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ฉู่เหินมองไปในบรรดา 20 คนนั้น มันก็ได้มี 3 คนที่อยู่ในขั้นปรมาจารย์แล้ว เขารู้ดีว่าเบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งก็จริงแต่ใครจะไปรู้ถึงความเก่งกาจของตระกูลจอมยุทธ์จริง ๆ กันล่ะ ถ้าอยู่ ๆ เกิดมีผู้ใช้พลังดวงดาวสักคนหนึ่งใครจะไปรู้ ทว่าพอคิดๆ ดูแล้วเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลจอมยุทธ์อยู่ที่ระดับใด
“ฉันถามหน่อยสิฉู่เหิน นายคือคนที่ช่วยฉันกำจัดยาพิษวันนั้นใช่ไหม?” เสี่ยวฟู๋เดินออกมาแล้วถามฉู่เหินทันทีที่เขามาถึงที่นี่
ความทรงจำไล่ย้อนเข้ามาในหัวของฉู่เหิน หลังจากนึกออกเขาก็แอบด่าไอ้แมวตัวนั้นที่มันทำเรื่องงามหน้าเอาไว้ สุดท้ายคนที่ซวยกลับกลายเป็นเขาซะงั้น อย่างนี้มันหมายความว่าอะไรกันเนี่ย
“ถ้าฉันบอกว่าคนที่ดูดพิษวันนั้นเป็นแมวเธอจะเชื่อรึเปล่าล่ะ?”
“เอาล่ะไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ฉันต้องขอบคุณนายด้วยนะ นายไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำให้นายรำคาญใจอีกแล้ว ฉันรู้ว่าความรู้สึกที่นายมีให้กับเสี่ยวชิงมันมากแค่ไหน แค่ได้มองนายอยู่ข้างหลังฉันก็ดีใจแล้ว” เสี่ยวฟู๋พูดพร้อมกับแอบซ่อนสายตาอันเศร้าสร้อยของตนเอาไว้
ปากของฉู่เหินเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า ยากที่สุดก็คือทำลายน้ำใจสาวสวยนี่แหละ
ชิงเฟิงมองสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนั้นของ ฉู่เหินก็ได้แต่ส่ายหัวพร้อมกับปลีกตัวออกไป แม้ว่าเขาอยากจะให้ฉู่เหินไปเป็นสามีของลูกสาวเขามากแค่ไหน แต่ก็น่าเสียดายเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปกำหนดได้
“ฉู่เหิน การล่าสมบัติครั้งนี้ต่างจากเดิมนะ มีคนมากมายต่างอายุต่างวาระและต่างวิชา ถ้านายไม่ระวังตัวอาจจะเกิดศึกที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดได้นะ เพราะฉะนั้นระวังตัวให้มากเข้าไว้ล่ะ”
ชิงเฟิงครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดต่อ “ว่ากันว่าพวกเขามาที่นี่เพราะราชางู แถมยังพูดเกี่ยวกับนายแบบลับ ๆ ด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ยินดีเท่าไหร่นักหรอกนะ ระวังตัวไว้ด้วย แต่ถ้านายทำตัวเงียบเชียบไว้ก่อนก็น่าจะไม่เป็นอะไร นายตามพวกเรามาก็พอแล้วล่ะ ถ้าอยู่กับพวกเราฉันเชื่อว่าพวกเขาน่าจะไม่กล้าลงไม้ลงมือ”