บทที่ 201 การก้าวผ่านและพันธมิตร
บทที่ 201 การก้าวผ่านและพันธมิตร
แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธคือ ถึงแม้ฉู่เหินจะซึมซับสายฟ้าไปเป็นจำนวนมากแต่พลังของเขากลับไม่ทะลวงขั้นพลังสักที เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องถูกมันสายฟ้าผ่าอีกนานแค่ไหนถึงจะทะลวงขอบเขตได้
“กรรมตามสนองรึไงเนี่ย? ฉันฆ่าไปแค่ไม่กี่คนเองนะ” ฉู่เหินพึมพำ เขารู้สึกหมดหนทาง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ คือทุกครั้งที่สายฟ้าผ่าลงมา เขากลับรู้สึกดีใจ
“เหอะๆ นี่ฉันเป็นพวกมาโซรึไงเนี่ย?” ฉู่เหินพูดขึ้นมา
จนถึงตอนนี้ฉู่เหินยังไม่กลับไปยังจุดที่ปลอดภัยแต่เลือกที่จะยืนอยู่ในจุดที่สายฟ้าผ่าลงมาบ่อยๆ แล้วก็นั่งรออย่างเงียบๆ พอสายฟ้าผ่าลงมามันก็ถูกเขาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
พลังสายฟ้าซึมซับเข้าสู่ร่างกายและถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังดวงดาวที่หนาแน่น เดิมทีฉู่เหินคิดด้วยว่าถ้าเขาได้พลังดวงดาวมากขนาดนี้ไม่นานเขาน่าจะทะลวงขั้นพลังได้ง่ายๆ แถมเมื่อวิชาของเขาเข้าสู่ขั้นแก่นแท้ เมื่อนั้นอะไรหลายๆ อย่างน่าจะดีขึ้น
การถูกสายฟ้าผ่าย่อมไม่สบายตัวแน่ๆ แต่เพื่อความแข็งแกร่งบางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องอดทน! ดังนั้นฉู่เหินจึงยอมกัดฟันแน่นและนั่งอยู่แบบนั้นอย่างตั้งใจ ในขณะเดียวกัน พลังดวงดาวของฉู่เหินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ถูกสายฟ้าผ่าใส่หลายต่อหลายครั้ง ผิวหนังของฉู่เหินก็เริ่มแปรเปลี่ยน ราวกับว่าการทะลวงขั้นพลังอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!
ทันใดนั้น ร่างของฉู่เหินก็ลอยขึ้นสู่อากาศ สิ่งที่ทำให้เขาลอยขึ้นไปดูเหมือนจะเป็นเพราะฉู่เหินใกล้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเต๋าแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะยังเหาะเหินเดินอากาศเหมือนเทพเซียนไม่ได้ แต่ถ้าไม่นานมากฉู่เหินในตอนนี้ทำได้แล้ว!
เพราะการซึมซับสายฟ้าทำให้พลังของเขาทะลุถึงขีดจำกัด แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีพลังดวงดาวมาตั้งแต่กำเนิด เหมือนคนอื่นๆ แต่ตอนนี้เขาเริ่มแซงหน้าผู้สืบทอดจากตระกูลจอมยุทธ์ได้หมดแล้ว!
พัฒนาทางด้านร่างกายของฉู่เหินเองก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้แม้สายฟ้าจะยังมีความรุนแรงอยู่มากแต่มันก็แทบไม่มีผลกับเขาแล้ว
หลังจากฉู่เหินเกือบจะทะลวงขั้นพลัง เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจึงมีสายฟ้าอยู่ที่นี่ มันคือค่ายกลห้าธาตุ มันไม่ได้มีไว้เพื่อขัดขวางศัตรู แต่เพื่อช่วยฝึกฝนให้ผู้อื่นได้เข้ามาทะลวงขั้นพลัง แต่สิ่งนี้ถูกปิดกั้นและทิ้งร้างมานาน มากแล้วแต่เป็นฉู่เหินที่บังเอิญเจอมันเข้าพอดี
ฉู่เหินมั่นใจว่าในเมื่อเขาได้รับประโยชน์แบบนี้ คนอื่นๆ เองก็น่าจะได้รับเหมือนกัน ฉู่เหินเริ่มซึมซับสายฟ้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ทะเลทราย สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรหรือสัตว์ต่างๆ ในป่า หลังจากฆ่าไปแล้วพลังงานมหาศาลจะถูกปล่อยออกมา สิ่งนี้จะทำให้ทุกคนมีโอกาสได้ทะลวงขั้นพลัง
เหตุผลที่ฉู่เหินยังไม่ทะลวงพลังเพราะมันมีสิ่งกีดขวางบางอย่าง หากเขาใช้ยาทะลวงขอบเขต เขาจะทะลวงเข้าสู่ขั้นเต๋าได้ทันที แต่ฉู่เหินไม่อยากใช้ยาทะลวงขอบเขต เขากังวลเกี่ยวกับอนาคตของเขาหลังจากนั้นเพราะการใช้ยาเพิ่มระดับพลังจะทำให้รากฐานไม่แข็งแรงพอนานวันเข้ามันจะกลายเป็นจุดอ่อน ดังนั้นเขาจะไม่ใช้มันจนกว่าจะหมดหนทางจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เหินยังมีความเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานถ้าเขาฝึกตนด้วยตัวเอง อย่างหนักเขาจะเข้าสู่ขั้นเต๋าได้เอง แถมตอนนี้พลังดวงดาวในร่างกายของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่ทะลวงขั้น เขาขาดแค่เวลาเท่านั้นเอง!
ฉู่เหินเชื่อว่าเหตุผลที่เขาไม่สามารถทะลวงพลังเป็นเพราะพลังดวงดาวในค่ายกลห้าธาตุนั้นยังไม่เพียงพอ
ที่นี่เป็นดั่งดินแดนสวรรค์สำหรับขั้นปราชญ์ก็ว่าได้ หากยังทะลวงไม่ถึงขั้นเต๋าแล้วมาฝึกที่นี่ก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าอยู่ขั้นเต๋าแล้วการมาที่นี่ก็ไม่มีผลอะไร
ในยุทธภพอันกว้างใหญ่นี้ ฉู่เหินสามารถกล่าวได้เลยว่าเป็นคนโดดเดี่ยวและไม่มีพันธมิตรเลย เขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อนแต่ตอนนี้มันไม่เหมือน เดิมแล้ว เขามีศัตรูมากมายแถมแต่ละคนยังเก่งกาจเหนือฟ้าดิน ดังนั้นเขาจึงต้องคิดให้รอบคอบยิ่งกว่านี้
หากต้องการเป็นอิสระไร้ซึ่งความกังวล นอกจากต้องฝึกตนอย่างหนักแล้วยังต้องสร้างพันธมิตรขึ้นมา ซึ่งเมื่อมองไปที่พันธมิตรของเขาก็จะมีบรรพบุรุษของนางเงือกในมหาสมุทร อันนี้น่าจะพอได้อยู่แต่บนบกนี้นอกเหนือจากตระกูลซ่างกวงแล้ว เขาก็ไม่มีเลย
“หวังว่าพวกเงือก 20 คนกับตระกูลซ่างกวงจะทะลวงขั้นพลังได้แล้วนะ” หลังจากคิดแบบนี้ฉู่เหินก็โทรศัพท์ไปหาโป๋อีกู่และซ่างกวงชิงเฟิงตามลำดับ ซึ่งฉู่เหินนัดหมายให้พวกเขามาที่นี่เพื่อฝึกวิชาจากนั้นฉู่เหินก็ออกจากที่นี่อย่างเงียบๆ และเขาก็เจอกับโม่เจียวและคนอื่นๆ ข้างนอก
ไม่มีใครสงสัยการนัดหมายของฉู่เหินกับพวกซ่างกวงชิงเฟิง ฉู่เหินเชื่อว่าถึงแม้จะมีใครบางคนสงสัยแต่ก็คงไม่กล้าที่จะเข้ามาหรอก นอกจากนี้เขายังวางกับดักเอาไว้ด้วย แต่ถ้าหากมีพวกปรมาจารย์ขั้นเต๋าโผล่ออกมา เขาก็แค่ดูดมันลงหม้อซะ! ฮ่าๆๆๆ!
“พี่ชาย ฉันคงต้องไปนานหน่อยนะ อาจารย์บอกว่าถ้าฉันเข้าสู่ขั้นเต๋าแล้วให้กลับไปหาทันที ถ้าพี่ชายต้องการตามหาพี่เฉินเจียน พี่ต้องรอฉันก่อนนะ! เข้าใจไหม?” โม่เจียวรู้สึกลังเลขณะที่มองฉู่เหิน แต่ก็ค่อยๆ เดินจากไป
เด็กหญิงจากไปแล้ว แต่ฉู่เหินกลับโล่งใจ สิ่งต่อไปที่เขากำลังจะทำนั้นอันตรายเกินไปและเขาไม่อยากให้เธอมีส่วนร่วมด้วย
หลังจากที่ฉู่เหินมาถึงจุดนัดหมายกับซ่างกวง เขาก็เปิดถ้ำขึ้นมาและเข้าไปฝึกตนในนั้น
วัตถุประสงค์หลักของฉู่เหินในครั้งนี้คือการยกระดับของฉู่เฟิง เพราะเมื่อพลังของฉู่เหินเพิ่มสูงขึ้น ฉู่เฟิงก็ถูกฉู่เหินเรียกออกมาน้อยลง ดังนั้นเวลานี้ฉู่เหินต้องขัดเกลาฉู่เฟิงให้แข็งแกร่งกว่าเดิม!
ตอนนี้หุ่นฉู่เฟิงได้รับการขัดเกลาใหม่ โดยเฉพาะของที่ใช้นั้นเป็นสมบัติระดับห้าที่ฉู่เหินเก็บเกี่ยวได้ในครั้งล่าสุด…หรือปล้นมานั่นแหละ! มองจากภายนอกฉู่เฟิงแทบไม่แตกต่างจากเดิมเลย แม้สมบัติระดับห้าเหล่านี้จะดี แต่คุณสมบัติก็ไม่ได้แตกต่างจากของก่อนหน้านี้มากเท่าไร
แต่ที่แน่ๆ การที่ฉู่เหิงใช้วัสดุพวกนี้เพื่อเพิ่มระดับของฉู่เฟิงนั้นคุ้มค่ามาก ในระหว่างที่กำลังปรับแต่งหุ่นเชิดอย่างฉู่เฟิง หน้าปากถ้ำก็จะมีพี่เสือและแรดคอยเฝ้าอยู่ แถมสัตว์ร้ายทั้งสองก็ซ่อนตัวเองอย่างดีไม่ให้โดนสังเกตได้ง่ายๆ
ตอนนี้ฉู่เฟิงแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ฉู่เฟิงเริ่มมีสติปัญญาแล้วแต่ว่า IQ ของเขาค่อนข้างต่ำ ท่ามกลางการขัดเกลาด้วยเปลวไฟทำให้ฉู่เฟิงรู้สึกเจ็บปวด แต่ฉู่เหินรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญสำหรับฉู่เฟิงเพราะถ้าไม่สำเร็จฉู่เฟิงจะถูกทำลาย
ในที่สุดฉู่เฟิงก็อดทนจนสามารถเปิดสติปัญญาได้เต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถพูดได้เหมือนคนทั่วไปแถมความทรงจำบางส่วนในชีวิตก่อนหน้านี้ก็ยังฟื้นฟูขึ้นมาทีละน้อย ถ้าผ่านไปเรื่อยๆ เขาจะไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปเลย!
หุ่นชนิดนี้อันตรายมาก เพราะเมื่อเขาตื่นขึ้นพร้อมความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้ เขาอาจทรยศเจ้านายของตัวเอง แต่ก็มีหุ่นเชิดที่มีความทรงจำของร่างเดิมอยู่แต่ยังเต็มใจที่จะอยู่ใต้อาณัติของเจ้านาย แน่นอนว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาการทรยศของหุ่นนี้ แต่วิธีการนั้นโหดร้ายมากคือต้องทำลายวิญญาณของอีกฝ่าย ลบทิ้งไปทุกอย่างเหลือไว้เพียงแค่ทักษะยุทธ์!