บทที่ 352 ทำให้พลังสายฟ้าบริสุทธิ์
บทที่ 352 ทำให้พลังสายฟ้าบริสุทธิ์
ทางเลือกแรกคือเข้าไปช่วยคนเหล่านี้ ต้านการโจมตีจากสายฟ้า ส่วนทางเลือกที่สองคือไม่ยื่นมือเข้าช่วย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉู่เหินคงเลือกที่จะช่วยคนพวกนี้ แต่ฉู่เหินจะเลือกทางนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?
แม้ฉู่เหินจะฆ่าคนไปมากมาย แต่ทุกคนก็เป็นคนที่สมควรตายทั้งนั้น แต่คนพวกนี้ไม่ได้มีความผิดถึงตายอะไร เขาทำไม่ลงจริง ๆ ดังนั้นฉู่เหินเลยได้แต่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ เพราะเขาไม่อยากทำลายคุณธรรมของตัวเอง
“พวกนายอดทนไว้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพลังมันถึงเพิ่มขึ้นแบบนี้ เหมือนมันมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองเลย ฉันไม่อาจควบคุมมันได้” ทันทีที่ฉู่เหินตะโกนออกมาพร้อมกับช่วยเป็นเกราะป้องกันของอีกฝ่ายไปด้วย จากนั้นเขาก็นำพลังดวงดาวออกมาใช้อย่างบ้าคลั่ง
เดิมทีคนร้อยคนนี้รู้สึกแค้นเขามาก แต่เมื่อเห็นว่าฉู่เหินช่วยเหลือพวกเขาทำให้พวกเขาต่างก็พากันมึนงง พวกเขามึนงงกับคำพูดของฉู่เหิน เจ้าของพลังจะไม่สามารถควบคุมพลังได้ยังไง หลอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย แต่ทว่า ยิ่งเห็นเขาช่วยเหลือสุดกำลัง พวกเขาก็ตกใจมาก ถ้าชายหนุ่มตรงหน้านี้พูดจริง มันก็เหนือสามัญสำนึกเกินไปแล้ว ทำไมเขาเทพเกินไปหรือเปล่า
การที่คนเราสามารถสร้างการโจมตีให้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองได้นั้นไม่ใช่ว่าไม่มี แต่มันจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับพลังโจมตี ไม่งั้นก็ไม่สามารถทำได้ แต่พลังวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกฝนกันได้ง่าย ๆ ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อปล่อยพลังออกไปแล้ว จำเป็นต้องมีการสื่อสารกับพลังวิญญาณ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจะสื่อสารพลังวิญญาณของตัวเองได้ยังไง
จริง ๆ แล้วฉู่เหินก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับพลังของตัวเองได้อย่างไรเหมือนกัน แต่พัดวิเศษในมือของเขามันเป็นของวิเศษ หลังจากที่เขาโจมตีออกไปแล้ว อยู่ ๆ เขาก็ได้รับข้อความจากสวรรค์ หรือเพราะแบบนี้เขาถึงได้สร้างการโจมตีแบบสื่อสารพลังวิญญาณได้
ทว่า หลังจากที่เขาปล่อยวิชานี้ออกไป เขาก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ถ้าให้เวลาเขาสักหน่อย เขาเชื่อว่าจะสามารถรู้ถึงวิธีการโจมตีแบบสื่อสารพลังวิญญาณได้อย่างน่นอน พอถึงเวลานั้นแม้จะไม่ใช้พัดวิเศษ เขาก็สามารถใช้วิชานี้ได้ตลอดเวลา
เพียงแต่ตอนนี้เวลามันกระชั้นชิดมาก เขาไม่มีเวลาจะไตร่ตรองอะไรขนาดนั้น ฉู่เหินโคจรพลังดวงดาวเข้าช่วยเกราะป้องกันอย่างบ้าคลั่ง ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงพลังสายฟ้าของเขากำลังยิ่งใหญ่และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาเชื่อว่าถ้าคนเหล่านี้ไม่สามารถสร้างเกราะไว้ได้ตลอด เกรงว่าคงรอดยากแล้ว
สายฟ้านั้นไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลังลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีทีท่าว่าจะเพิ่มพลังไม่หยุดอีกด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคนเหล่านี้คงต้านเอาไว้ไม่อยู่ เจ้าเมืองที่มีพลังวรยุทธสูงสุดในที่นี่ร่างกายของกำลังสั่นไหว แม้จะยังไม่ปล่อยพลังออกมาเต็มที่ แต่ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
ทำไงดี? ในหัวของฉู่เหินเต็มไปด้วยคำเหล่านี้ แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ตัวเขาต้องรับคิดหาวิธีโดยด่วน ไม่งั้นอันตรายแน่ ๆ เสี่ยวชิงที่มองอยู่ด้านนอกรู้สึกร้อนรน ตอนนี้ฉู่เหินสูญเสียพลังไปเยอะแล้ว เธอเลยวิ่งเข้าไปยังเกราะป้องกันและใช้พลังของตัวเองช่วยอีกแรง
ฉู่เหินพยายามใช้ความคิด เขาคิดว่าสายฟ้านั้นน่าจะเป็นพลังงานแบบหนึ่งเหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นพลังงานงั้นถ้าเขากักเก็บมันไว้ในร่างของตัวเองละ! ถ้าได้ล่ะก็งั้นก็มีทางรอดแล้ว
หลังจากคิดได้ดังนั้น ฉู่เหินก็โคจรพลังตัวเองอย่างรวดเร็วทำให้ก่อนหน้านี้ด้านนอกเกราะป้องกันเต็มไปด้วยพลังสายฟ้า แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยพลังดวงดาวอันมหาศาล
วิธีนี้อันตรายมาก ถ้าพลังที่ด้านนอกแข็งแกร่งกว่าพลังด้านในร่างกายของฉู่เหิน ร่างกายของเขาอาจจะระเบิดได้เลย แต่ถ้าไม่ทำ คนนับร้อยในที่นี่ต้องตายแน่ ๆ
พวกเขาไม่คิดเลยว่าฉู่เหินจะกล้าเก็บพลังสายฟ้านั้นไว้ในร่างกายตัวเอง การรับสายฟ้าเข้าสู่ร่างกายตัวเอง มีโอกาสทำให้ร่างกายของฉู่เหินระเบิดได้เลย ตอนแรกยังมีบ้างคนคิดว่าฉู่เหินก็แค่ทำเป็นข่มไปงั้นแหละ
แต่ตอนนี้ไม่มีคนที่มีความคิดแบบนั้นอีกแล้ว ใครจะกล้าเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น ทุกคนพากันมองฉู่เหินด้วยสายตาเลื่อมใสและรู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไป
ฉู่หินนำสายฟ้าเอาอันบ้าคลั่งเข้ามาในร่างกายตัวเอง จึงทำให้ร่างกายของฉู่เหินเริ่มขยายอย่างช้า ๆ เดิมทีเขาก็ค่อนข้างอ้วนอยู่แล้วทำให้ตอนนี้ร่างกายของเขาราวกับลูกบอลลูกหนึ่ง ความสูงความยาวของร่างกายเขานั้นเกือบจะเท่ากันทุกด้านแล้ว!
แต่ฉู่เหินทำสำเร็จ เพราะสายฟ้าอันบ้าคลั่งเหล่านั้นค่อย ๆ สงบลง สุดท้ายสายฟ้าในอากาศก็สลายหายไปจนหมดและฉู่เหินก็ได้กลายร่างเป็นลูกบอลยักษ์ไปเลียแล้ว
เมื่อเห็นสภาพของตัวเอง ฉู่เหินก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา ครั้งก่อนที่เขาก็รับพลังมายังไม่ทันได้ดูดซับจนหมดเลย ตอนนี้ยังรับเข้ามาอีก เขาไม่รู้จริง ๆ ว่ากี่เดือนเขาถึงจะกลับมาผอม
“ดูเหมือนร่างอ้วน ๆ ของฉันจะอยู่อีกนานเลย แต่ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงตอนอยากใช้พลังเยอะ ๆ” ฉู่เหินพูดปลอบใจตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เหินแต่ละคนก็รู้สึกอมย้ิมหน้าแดงไปตาม ๆ กัน ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าทำไมฉู่เหินถึงอ้วนแบบนี้ เกรงเขาคงกักเก็บพลังเอาไว้ในร่างกายมากเกินไปสินะ พวกเขาคิดไม่ออกว่าทำไมร่างกายของฉู่เหินถึงได้เก็บพลังได้มากมายขนาดนี้
“คุณชายฉู่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ล่วงเกินท่าน โปรดรับการคำนับของพวกข้าด้วย ขอท่านอย่าได้ถือสาผู้น้อยเลย ครั้งถ้าไม่ใช้เพราะคุณชายฉู่รับอันตรายแทน เกรงว่าพวกเราคงจะไม่รอดแล้ว” ตงซวี่เป็นหนึ่งในร้อยคน ที่วิ่งเข้าใส่ฉู่เหิน เขายืนขึ้นและคำนับขอโทษแก่ฉู่เหิน
“อย่าพูดอย่างนี้เลยที่ทุกคนต้องได้รับอันตรายก็เป็นเพราะฉัน การที่ฉันเอามันกลับมาก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว อีกทั้งฉันมาที่นี่ก็เป็นเพราะสวรรค์กำหนด ถือว่าเป็นบทลงโทษที่สาสมเถอะ ทุกท่านอย่าได้คิดมาก!” ฉู่เหินถอนหายใจ เขากระทำสิ่งใดก็ต้องยอมรับสิ่งนั้น ถ้าไม่ปล่อยวางทำเรื่องให้มันใหญ่โตไปกว่านี้ เขาคงเป็นไอ้โง่เต็มทน
เมื่อทุกคนได้ฟังคำพูดของฉู่เหิน พวกเขาก็พากันยิ้มออกมา แต่ตอนนี้ฉู่เหิน ร่างกายราวกับไอ้อ้วนโง่ ๆ คนหนึ่ง พวกเขาเลยไม่กล้าประจบเท่าไร
“น้องฉู่ ความสามารถของท่านยิ่งใหญ่เทียมฟ้า พวกข้าได้รับบทเรียนแล้ว มา ๆ ๆ พวกเราไปที่ห้องโถงพูดคุยเสียหน่อย” เป็น เจ้าเมืองที่มีแซ่ว่า ฟู่ หรือเรียกกันว่าอาจารย์ฟู่ พูดออกมา เขาชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าอาจารย์ เพราะคำว่าฟู่ แปลว่า การใฝ่เรียนใฝ่รู้ มีการศึกษา แต่คนเป็นเจ้าเมืองจะให้เรียกว่าอาจารย์เฉย ๆ ก็ดูไม่เหมาะสม ทุกคนเลยเรียกเขาว่า อาจารย์ฟู่
หลังจากที่ฉู่เหินบอกให้คนร้อยคนไม่ต้องขอโทษแล้ว เขาก็พาร่างใหญ่ ๆ ของตัวเองเดินตามเจ้าเมืองไปยังห้องโถงใหญ่อย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ใช่ว่าเขาอยากแกว่งพุ่งไปมาอย่างนี้แต่เพราะว่าเขาอ้วนเกินไป ทำให้ตอนเดินถ้าไม่แกว่งขา แกว่งตัวก็จะก้าวไม่ออก
เห็นท่าทางน่าขันของฉู่เหิน คนร้อยคนด้านหลังก็พากันหัวเราะกันยกใหญ่ หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะ ฉู่เหินก็กลุ้มใจยิ่ง ตอนนี้เขาไม่รู้จะทำยังไงถึงจะเอาไขมันพวกนี้ออกไปได้ สารรูปแบบนี้ส่งต่อภาพลักษณ์ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ เหลือเกิน
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดถามใครหรอก ต่อให้พูดมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี!