บทที่ 515 บททดสอบพรสวรรค์
บทที่ 515 บททดสอบพรสวรรค์
ก่อนหน้านี้หลิวฮุ่ยเคยแนะนำฉู่เหินไว้แล้ว ดังนั้นฉู่เหินถึงรู้ว่าคนที่ช่วยตัวเองไว้เป็นใคร เขาก็คือ 1 ใน 8 วิปลาสจูเก๋อเหลียง สำหรับจูเก๋อเหลียงคนนี้ บางคนก็บอกว่าเขาเป็นลูกชายของบ้านวายุ ! บางคนก็บอกว่าจูเก๋อเหลียงเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกหัวหน้าบ้านวายุเก็บมาเลี้ยง !
แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ความสัมพันธ์ของศิษย์จูเก๋อเหลียงคนนี้กับหัวหน้าบ้านวายุก็สนิทสนมกันมาก ถ้าบอกว่าบ้านวายุมี 8 คนไม่นับรวมอาจารย์ และใครเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน คำตอบก็ต้องเป็นจูเก๋อเหลียงคนนี้แหละ ! ทุกครั้งที่รับศิษย์ใหม่ ก็มักจะเป็นจูเก๋อเหลียงนี่แหละที่เป็นคนมาด้วยตัวเองก่อนใคร
เพียงแต่ตอนรับศิษย์ กลับไม่มีใครยอมเข้าบ้านวายุกับพวกเขา นี้ทำให้พวกเขาจนปัญญามาโดยตลอด ! เรื่องในวันนี้เดิมทีเขาเพียงอยากมองอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น แต่ดูท่าแล้วฉู่เหินจะไม่สามารถเข้าอีก 4 บ้านนี้ได้แล้ว เพราะงั้นเขาเลยต้องชิงทำคะแนน
แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญก็คือเพราะสิ่งที่ฉู่เหินพูด ที่มันทำให้เขารู้สึกสะใจไม่ใช่น้อย ดังนั้นเขาจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย !
เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องราว ฉู่เหินก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปคาราวะจูเก๋เหลียงครั้งหนึ่ง เป็นการขอบคุณอีกฝ่าย !
หลังจากเรื่องวุ่นวายผ่านไป ก็ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องอีกแล้ว ส่วนหลิวอู่ชวงก็ได้แต่กล้ำกลืนความแค้นเอาไว้ ! เพราะสายตาที่จูเก๋เหลียงมองมานั้นมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าต้องการจะฆ่าเขาให้ตายยังไงยังงั้น ! ดังนั้นตอนนี้เขาเลยต้องทำตัวดี ๆ หน่อย ไม่งั้นเกิดเจ้าคนวิปลาสนี้เกิดลงมือฆ่าเขาขึ้นมาจริง ๆ จะซวยกันไปใหญ่ !
ถ้าพูดถึงพรรควายุอัสนี มีใครบ้างไม่กลัวตระกูลหลิวของพวกเขา แต่ถ้าจะมี มันก็คงเป็นพวก 8 วิปลาสนี่แหละ! เพราะทั้ง 8 วิปลาสนี้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา กระทั่งผู้เฒ่าของพรรควายุอัสนียังไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาเลย แล้วแบบนี้ตระกูลหลิวจะเหลือเหรอ
เมื่อเรื่องวุ่นวายผ่านไป การทดสอบก็เริ่มต้นขึ้นเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มอายุ 20 คนหนึ่งออกไปอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ใส่พลังภายในร่างใส่เข้าไปในเสาค้ำฟ้า ซึ่งทางศิลาหินก็รับเข้าไปอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน !
หลังจากเขาถูกศิลาหินดูดพลังเข้าไป เสาค้ำฟ้าตรงหน้าก็เริ่มเปล่งแสงสว่างออกมา ! เพียงพริบตาเดียวเสาค้ำฟ้าก็เปล่งแสงสว่างไปทั่วบริเวณ !
หลังจากชายหนุ่มที่เห็นว่าเสาค้ำฟ้าเปล่งแสงออกมา ก็อดที่จะภูมิใจไม่ได้ เพราะมีหลายคนที่ไม่สามารถทำให้เสาค้ำฟ้าเปล่งแสงได้ ! แต่หลังจากได้ยินประโยคต่อมา เขาก็ต้องยืนมองอย่างโง่งม
“พรสวรรค์ขั้น 1 ไม่ผ่าน กลับบ้านได้ ! ” ผู้ดูแลพูดก่อนจะส่งชายหนุ่มขึ้นเมฆและกลับไปอย่างน่าเศร้า ! ปากก็บ่นอย่างไม่เข้าใจว่า “ตามปกติแล้ว แค่ขั้น 1 ก็ถือว่าพอจะรับได้แล้วนะ แล้วทำไมปีนี้ไม่ได้กัน”
ไม่ผิดอย่างที่ชายคนนั้นพูด ทุกปี ขอเพียงสามารถทำให้เสาค้ำฟ้าเปล่งแสงได้สักขั้น ก็สามารถเข้าพรรควายุอัสนีได้แล้ว ! แต่ครั้งนี้ที่พรรคนั้นมีกฎว่าถ้าไม่ผ่านระดับ 4 ก็จะไม่สามารถเข้าพรรคได้ พอทุกคนได้ยินกฎนี้ต่างก็พากันกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว !
เมื่อคนที่ 2 ขึ้นไป คนคนนี้ถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่าคนแรกหน่อย เพราะว่าเสาค้ำฟ้าเปล่งแสงที่ขั้น 2 เพียงแต่น่าเสียดายที่พรสวรรค์ขั้น 2 นั้นไม่สามารถเข้าพรรควายุอัสนีได้ !
ที่จริงการจะทำให้เสาค้ำฟ้าเปล่งแสงขั้นที่ 4 ได้นั้น พวกผู้อาวุโสทุกคนเองต่างก็รู้กันดี ว่าคนที่สามารถผ่านระดับ 4 ได้นั้นมีน้อยแค่ไหน !
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าน่าจะรับมาได้สัก 500 คน แต่น่ากลัวว่าคงไม่ถึงแล้วละ ! แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องมากังวล ที่พวกเขาต้องกังวลมีเพียงต้องทำตามขั้นตอนรับศิษย์ใหม่ให้เรียบร้อย ไม่งั้นคงต้องเป็นเหมือนผู้อาวุโสก่อนหน้าที่ถูกทำลายจุดตันเถียนนั่น !
อันที่จริงพวกเขานั้นแอบดีใจ โชคดีที่คนที่ออกไปไม่ใช่ตัวเอง ไม่งั้นน่ากลัวว่าคนที่ซวยคงเป็นตัวเอง !
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาพากันคาดเดาว่าระหว่างจูเก๋อเหลียงและศิษย์ใหม่ฉู่เหินนี้ต้องมาความสัมพันธ์อะไรกันแน่ ! ถ้าบอกว่าทั้ง 2 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พวกเขาก็คงไม่เชื่อ
คนที่ 3 และ 4 ขึ้นทำการทดสอบตามลำดับ น่าเสียดายที่ทั้ง 2 ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้สว่างได้มากกว่า 2 คนก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่เสาค้ำฟ้ากลับไม่มีแสงสว่างออกมาเลย ! ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้จึงยังไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผ่าน ! พวกเขามีแต่ต้องดำเนินการทดสอบต่อไป ทว่าพวกผู้อาวุโสก็ไม่ได้ตั้งความหวังอีกต่อไปแล้ว !
ต่อมาเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มก็ได้กระโดดขึ้นมาบนแท่น หลังจากวางมือลงบนศิลาหินเบา ๆ เพียงครู่เดียวเสาค้ำฟ้าก็เปล่งสว่างขนาดใหญ่ขึ้น ! ต่อมาทุกคนก็ได้เห็นเสาค้ำฟ้าเปล่งแสงสว่างที่ขั้นที่ 4
นี้ก็เท่ากับหญิงสาวมีพรสวรรค์ที่ขั้น 4 ! ใบหน้าของผู้อาวุโสที่ดูแลเรื่องการรับศิษย์ใหม่ยกยิ้ม ในที่สุดก็ได้ศิษย์ที่เหมาะสมแล้วคนแรก ! ว่าแล้วชายชราก็ให้หญิงสาวไปลงทะเบียนและยืนรอด้านข้าง ! ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกตัวแทนบ้านต่าง ๆ พากันแนะนำผลประโยชน์ดี ๆ ของบ้านตัวเองให้แก่หญิงสาวเพื่อชักชวนให้เข้าบ้านของพวกเขา !
ทว่าหญิงสาวกลับพูดเพียงว่าขอตัวเองคิดดูก่อน และไม่ว่าใครจะยื่นข้อเสนอยังไง เธอก็ยังคงไม่รับปาก ! นี้ทำให้ตัวแทนบ้านที่ทำหน้าที่รับศิษย์จนปัญญา พวกเขาคิดว่าแต่ก่อนการรับศิษย์ใหม่มันไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย !
อย่างไรก็ตามหลังจากพวกเขาสงบสติอารมณ์และลองแนะนำใหม่อีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงไม่สนใจพวกเขา นี้ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าบนโลกนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ! และจากนั้นก็ราวกับว่าเป็นโชคชะตา เพราะ 4-5 คนต่อมาได้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด ! เมื่อเป็นแบบนี้พวกเขาจึงรีบเดินออกจากหญิงสาวคนนั้นในทันที
ผู้แทนทั้ง 4 บ้านมอง 4-5 คนที่เดินมา ก่อนจะพากันเดินเข้าไปหาพร้อมกับแนะนำข้อเสนอบ้านพวกเขา ! เพียงแต่หลังจากพวกเขาพูด ทั้ง 4-5 คนนั้นกลับเอาแต่ก้มศีรษะไม่พูดไม่จา พอเห็นฉากนั้นเข้าไป พวกเขา 4 คนก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมปีนี้ถึงได้โชคร้ายแบบนี้
ด้วยความสงสัย พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไล่ถามคนที่มีพรสวรรค์ผ่านข้อกำหนดพวกนี้ทันที ซึ่งคนที่กล้าหน่อยก็บอกมาว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากเข้า ที่จริงพวกเราอยากจะเข้าบ้านของพวกคุณทั้ง 4 นั่นแหละ แต่ก่อนหน้านี้มีคนพูดว่า ความสามารถของน้องชายเมื่อกี้เป็นได้แค่เพียงคนทำความสะอาดห้องน้ำพวกเขา พวกเราเทียบไม่ได้กับน้องชายเมื่อกี้ด้วยซ้ำ หรือก็หมายความว่าพวกเราไม่เหมาะกระทั่งเป็นคนล้างห้องน้ำบ้านพวกคุณน่ะสิ ! ”
พอได้ยินดังนั้น ในที่สุดทั้ง 4 ก็เข้าใจแล้ว แท้จริงแล้วทั้งหมดก็เกี่ยวเนื่องมาจากตัวพวกเขาเอง ! ต่อมาพวกเขาก็คิดถึงผลลัพธ์ที่น่ากลัวว่า ถ้าวันนี้เด็กเหล่านี้ไม่เข้าบ้านพวกเขาล่ะก็ พวกเขาได้ซวยจริง ๆ แน่ !
พอคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น พวกเขาก็เริ่มกลัวขึ้นมา ถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้จริง ๆ ถ้างั้นมันก็น่ากลัวกว่าเภทภัยต่าง ๆ แล้ว ! และด้วยความจนปัญญา ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะลองชักชวนให้เข้าบ้านด้วยข้อเสนอที่ดีกว่าเดิม ! ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมไปว่าที่พูดไปก่อนหน้านั้น ขออย่าได้เก็บมาใส่ใจ
เมื่อได้ยินแบบนั้น คนที่ผ่านการทดสอบถึงได้เลือกพวกเขาอย่างลังเล ! พอเห็นที่พวกเขาแสดงออกมา ตัวแทนบ้านทั้ง 4 บ้านก็คิดในใจว่ากับข้าวกินมั่ว ๆ น่ะกินได้ แต่คำพูดของคนจะพูดซี้ซั้วไม่ได้เด็ดขาด !
ผู้คัดเลือกขึ้นไปทดสอบอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งจำนวนก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสคาดเดา มีคนถูกคัดออกเยอะมากกว่ายังอยู่ ทว่ามันก็พอจะเป็นที่เข้าใจได้ เพราะคนที่มีความสามารถเกินกว่าขั้น 4 นั้นนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว !
อย่าว่าแต่ 400-500 คน ตอนนี้คนที่ผ่านการทดสอบมีไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ ! นี้ทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่า คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ แล้วนั้นไม่น้อยเลย ทว่าคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งกลับน้อยมาก !
แต่เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไป ก็ปรากฏคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งมาอีก 2-3คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพรสวรรค์ถึงขั้น 6 เลยทีเดียว ! เมื่อเห็นแบบนี้พวกผู้อาวุโสก็ตกใจ แม้แต่ตอนเข้าไปพูดกับชายหัวล้านที่ได้ขั้น 6 คนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความเคารพ !