กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
กู้โม่หานยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าก็ลองดูสิ!”
เมื่อเห็นว่ากู้โม่เฟิงกำลังจะเดินทางเข้าวังจริง ๆ รองแม่ทัพกวนก็มองไปทางกู้โม่หานอย่างเป็นห่วง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ อ๋องเฉิงอาจจะทำให้ท่านลำบากใจหากเขาเดินทางเข้าพระราชวังได้นะพ่ะย่ะค่ะ?”
กู้โม่หานเห็นแก่พี่น้องทหารจึงออกหน้า ทำให้อ๋องเฉิงขุ่นเคืองใจ ด้วยนิสัยของกู้โม่เฟิงแล้ว ดูเหมือนกู้โม่หานจะมิมีจุดจบที่ดีนัก
ดวงตาของกู้โม่หานยังคงเย็นชา “เรื่องอื่นนั้นข้ามิสู้กับเขาก็ได้ ข้าก็ขี้เดียดที่จะสู้กับเขา แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องทหาร ข้าต้องต่อสู้เพื่อสิ่งสำคัญในการปกป้องพี่น้องในค่ายค่ายเสินเชื่อของเรา!”
“กู้โม่เฟิง หยิ่งยโสมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว หากข้ามิเดินทางมาที่ค่ายทหาร เขาก็คงจะทำร้ายพี่น้องทหารของข้าเช่นนี้ หากข้ามัวแต่ยอมเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าก็มิรู้ว่าเขาจะทำเรื่องใดอันย่ำแย่ขึ้นมาอีก!”
เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง รองแม่ทัพกวนและทหารอีกหลายคนที่อยู่ใกล้เขาก็พากันน้ำตาไหล
พวกเขามิได้เห็นท่าทางของท่านอ๋องดุจดั่งทวยเทพแห่งสวรรค์เช่นนี้มานานมากแล้ว!
แต่ทันใดนั้นกู้โม่หานก็ขมวดคิ้วและมองกลับไปที่กระโจมข้างหลังเขา สายตาดูเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
มิรู้ว่าหนานหว่านเยียนจัดการได้อย่างไรบ้างแล้ว……
ภายในกระโจม หลังจากกู้โม่หานและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว หนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งที่หนานหว่านเยียนส่งมาช่วยเป็นหมอทหาร
หนานหว่านเยียนชำเลืองมองพวกเขา “ประเดี๋ยวข้าให้พวกเจ้าทำสิ่งใด พวกเจ้าก็จงทำตาม อย่าสงสัยหรือประหลาดใจใดๆ เกี่ยวกับวิธีการรักษาของข้า เข้าใจหรือไม่?”
พวกเขาทั้งสามมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะมิค่อยเชื่อหนานหว่านเยียนที่อ่อนแอผู้นี้ แต่พวกเขาก็ยังพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พ่ะย่ะค่ะพระชายา”
ในเมื่อกู้โม่หานกล่าวไว้ว่าให้พวกเขาทำตามคำสั่งของหนานหว่านเยียน ดังนั้นคงจะมีเหตุผล
หนานหว่านเยียนแอบนำยาสลบและผ้าพันแผลห้ามเลือดออกมาจากห้วงเวลา
แม้ว่าหนานหว่านเยียนจะได้ฉีดวัคซีนให้พวกเขามาก่อน แต่พวกเขาก็ยังคงแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นกระบอกเล็กๆ นี้
หนานหว่านเยียน มิสนใจพวกเขา นางขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนเดินมาด้านข้างเสิ่นจวิน เอาที่หยุดเลือดรัดไว้ทั้งข้อมือข้อเท้า แล้วพันรอบบาดแผลกระบี่ของเขา
นางดำเนินการอย่างรวดเร็วโดยมิลังเลใด ๆ กำลังของนางนั้นควบคุมได้ดียิ่ง
จากนั้นนางก็หยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา ฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไปในเส้นเลือด 5 เส้นบนร่างกายของเสิ่นจวินที่ตรงสายรัด
หนานหว่านเยียนรู้สึกกังวลมากในระหว่างขั้นตอนนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม นางมิมีเวลามากพอสำหรับการวางแผนการผ่าตัดและเป็นการยากที่จะประเมินปริมาณของยาชา
หลังจากที่นางให้ยาชาแก่เสิ่นจวินแล้ว ในที่สุดนางก็เช็ดเม็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของตน ยืดตัวขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ
เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่จึงเริ่มการผ่าตัดได้
ระหว่างรอให้ยาสลบออกฤทธิ์นั้น หนานหว่านเยียนก็ทำการรักษาบาดแผลของทหารอีกคนสองคน
นางถือน้ำเกลือมาทางเฉินจวินอีกครั้ง บอกให้ทหารทั้งสองช่วยถอดเสื้อออกแล้วล้างแผลด้วยน้ำเกลือ
เฉินจวินกัดฟันแน่นด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด
หนานหว่านเยียนรู้ว่าน้ำเกลือมิได้แสบมากนัก แต่เมื่อสัมผัสเข้ากับบาดแผลเหวอะหวะก็ทำให้เจ็บปวดจนแทบขาดใจได้
หลังจากทำความสะอาดบาดแผลเรียบร้อยแล้วก็หยิบเชือกหยุดเลือดออกมา กดลงไปตรงแผลของเฉินจวิน จากนั้นหันไปพูดกับหมอทหารว่า “เจ้าเป็นหมอทหารใช่หรือไม่? มาช่วยจัดการบาดแผลหน่อย บาดแผลภายนอกเนื่องจากถูกมีดกระบี่ เจ้าจัดการได้ใช่หรือไม่?”
หมอทหารตกตะลึง หนานหว่านเยียนทำการรักษาด้วยท่าทีอันชำนาญและสงบนิ่ง ทำให้เขาถึงกับตกตะลึง!
เมื่อนางเรียกเขา เขาจึงได้สติกลับคืนมา รีบเข้ามาช่วยหนานหว่านเยียนกดบาดแผลไว้ ” ทูลพระชายา กระหม่อมเป็นหมอทหาร กระหม่อมทำได้พ่ะย่ะค่ะ สามารถรักษาบาดแผลเช่นนี้ได้”
“อือ เจ้าช่วยจัดการตรงนี้ด้วย” เมื่อมือของหนานหว่านเยียน ว่าง นางก็รีบหันมาเตรียมของสำหรับผ่าตัด แล้วหันมาดูสถานการณ์ของเสิ่นจวิน
สีหน้าของเสิ่นจวินซีดเผือดไร้เส้นเลือดฝาด ลมหายใจอ่อนแรง ต้องรีบช่วยเหลือเขาโดยเร็ว!
แต่โชคดีที่ฤทธิ์ยาสลบเริ่มออกแล้ว คิ้วของเขาที่ขมวดเข้าหากันด้วยความเจ็บปวดก็เริ่มผ่อนคลายลง
ทางด้านหมอทหารก็มิได้รีรอ เขารีบที่หยุดเลือดและยาแก้อักเสบที่หนานหว่านเยียนให้มา สาดลงไปบนบาดแผลของเฉินจวิน
ทหารอีกสองคนที่อยู่ด้านข้างมองดูแต่มิกล้ายื่นมือเข้ามา ท่าทางเหมือนจะหวาดกลัว
ภายในกระโจมนั้นเงียบกริบในทันควัน บรรยากาศอันตึงเครียดแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจของทุกคน
หนานหว่านเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า “หมอทหาร จงจำวิธีการรักษาที่ข้าสั่งไว้เมื่อครู่ อีกประเดี๋ยวจงไปต้มยาให้กับเฉินจวินและเซียวลี่ดื่ม
ท่าทางของหมอทหารดูกระวนกระวายทำตัวมิถูก ปลายเท้ามีเหงื่อเม็ดโตเท่าถั่วหยดลง ทหารสองคนนั้นรีบเดินเข้ามา “ได้โปรดสอนวิธีการใส่ยาให้แก่พวกเราเถิดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนท่านไปช่วยพระชายา”
การใส่ยานั้นถือว่ายังเป็นเรื่องง่าย หมอทหารจึงได้ชี้แจงให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง ก่อนที่จะรีบนำกระดาษปากกามา “พระชายาจงตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หนานหว่านเยียนหยิบมีดผ่าตัดออกมา แววตาดูแน่วแน่ “ผู่กงอิง ไป้เจี้ยงเฉ่า(หญ้าชนิดหนึ่งนำมาทำเป็นนา) จงนำแต่ละอย่างไไปต้มเพื่อใช้เป็นยาแก้อักเสบ”
จากนั้นนางก็หยิบเข็มเย็บโพลิเอทานอลที่เสิ่นอี่ว์เคยใช้ในการรักษาครั้งก่อนออกมา “ปู๋กู่จือ ตู้จ้ง นวี่เจินจื่อและจิงกู่เฉ่า นำมารวมกันเพื่อทำยาต้มชามที่สอง มันสามารถส่งเสริมการไหลเวียนเลือดและหยุดเลือดได้ เป็นการช่วยเร่งฟื้นตัว”
“จงสั่งให้คนให้นำตำราตามยานี้ไปซื้อยามาก่อน แล้วนำมาต้มให้พวกเขากิน”
เมื่อกล่าวจบ หนานหว่านเยียนก็หยิบอุปกรณ์การให้สายน้ำเกลือออกมา พร้อมกับเฝือกเท้า 2 อันและเครื่องตรึงฝ่ามือ
หมอทหารรีบนำกระดาษพู่กันออกมาจด เมื่อเขาจดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้นำส่งไปให้ทหารคนหนึ่ง “รีบไปเสีย!”
ทหารผู้นั้นรับกระดาษไปแล้วก็รีบเดินทางออกจากกระโจมทันที เขามิทันแม้แต่จะหันมาคารวะกู้โม่หาน
ในใจของหมอทหารยังประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความสงบของหนานหว่านเยียน เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าสลดใจเช่นนี้ เขายังสามารถรักษาสติของนางและพูดคำสั่งที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน
ความกล้าหาญและสติเช่นนี้ นอกจากท่านอ๋องแล้วคงมิมีใครเกิน
ภายในกระโจม หนานหว่านเยียนสวมถุงมือและหน้ากากอนามัย ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วเอ่ยกับหมอทหารว่า “ทางด้านของเสิ่นจวินจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
หมอทหารยกมือขึ้นตบศีรษะของตนเองเบาๆ จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เขารีบสั่งให้นายทหารอีกคนติดตามเข้าไปแล้วรีบรับน้ำเกลือจากมือของหนานหว่านเยียน เพื่อทำความสะอาดแผลให้แก่เสิ่นจวิน
เมื่อหนานหว่านเยียนเห็นว่าลมหายใจของเสิ่นจวินเริ่มเป็นปกติ นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นหัวใจของนางก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง
บาดเจ็บที่ข้อมือและข้อเท้า หากจะกล่าวอย่างบ้านๆ นั่นก็คือเอ็นร้อยหวาย หากต้องผ่าตัดละก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเป็นสามเท่าตัว หากไม่ระวัง อาจจะได้รับบาดเจ็บอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้แขนขาของเสิ่นจวินหักจนสิ้น ระยะเวลาในการผ่าตัดหากจะควบคุมให้ได้อยู่ภายในสองชั่วโมงคงจะยาก
นี่เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสนามรบ ทั้งนางและเหล่าเสิ่นจะต้องให้ความร่วมมือร่วมใจต่อกัน
นางใช้ผ้าพันบริเวณบาดแผลของเฉินจวินและเซียวลี่ หลังจากที่ทำแผลอย่างระแวดระวังแล้วก็ได้หันไปเอ่ยกับทหารผู้นั้นว่า “แบกพวกเขาออกไปเถอะ เสิ่นจวินจะต้องใช้เวลาในการผ่าตัด อีกประเดี๋ยวเมื่อต้มยาเสร็จแล้วจงเอามาให้พวกเขาดื่ม”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารผู้นั้นตอบรับด้วยท่าทีอันนอบน้อม เขารู้สึกชื่นชมเทิดทูนหนานหว่านเยียนเป็นที่สุด
ว่ากันว่าในงานเลี้ยงนั้น การที่พระชายาช่วยองค์ชายสิบเอาไว้ได้เพราะว่ามีแผนการล่วงหน้า บัดนี้มองดูแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีคนใส่ร้ายนาง
พระชายาช่างเก่งกาจแท้!
หนานหว่านเยียนสั่งให้หมอทหารอยู่ก่อน จากนั้นได้กำชับเรื่องราวอันสำคัญแก่เขา
“อีกประเดี๋ยวข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เนื่องจากเวลามีจำกัด บัดนี้ชีวิตของเสิ่นจวินอยู่บนเส้นด้าย ข้ามั่นใจประมาณเก้าสิบว่าจะสามารถช่วยเขาได้ แต่ว่าในอนาคตที่เหลือเขาจะต้องนอนติดเตียงหรือสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ก็ต้องดูว่าข้าและเจ้าให้ความร่วมมือกันดีเพียงไร”
หมอทหารพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขากล่าวด้วยความเทิดทูนว่า “กระหม่อมนั้นรู้เพียงแค่ทักษะการรักษาเบื้องต้น แต่หากพระชายากำชับสิ่งใด กระหม่อมก็จะทำตามคำสั่งอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมดีมาก” หนานหว่านเยียนมิหันไปมองเขาอีก นางหันไปทำแผลให้กับเสิ่นจวินอย่างตั้งอกตั้งใจ
เอ็นร้อยหวายที่ขาของเขาถูกทำร้ายเสียจนทั้งกระดูกและหนังเผยให้เห็นออกมา บัดนี้สามารถใช้การผ่าตัดแบบเปิดเท่านั้น โดยต้องผ่าข้อมือทั้งสองข้าง เปิดกระดูกสีขาวออกมา และใช้การเย็บเข้าหากัน น่าจะดีต่อเอ็นร้อยหวาย
แม้ว่าตอนนี้จะสามารถหยุดเลือดได้แล้ว แต่บาดแผลที่ปรากฏอยู่ภายนอกเรียกได้ว่าเกินจะเยียวยา
หากมิทันระวังละก็คงจะอักเสบได้ และจะเพิ่มความยากในการผ่าตัด
หัวคิ้วของหนานหว่านเยียนขมวดจนแทบจะติดกัน
หมอทหารเห็นดังนั้น ในใจก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
เขาเอ่ยถามหนานหว่านเยียนด้วยความกระสับกระส่ายว่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เราจะสามารถรักษาเขาได้จริงหรือ?”