ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 165 กู้โม่หาน จากกันด้วยดีเถอะ
หนานหว่านเยียนรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างกายตนไว้ จ้องมองชายกู้โม่หานที่มีสีหน้าตะลึงงันที่ถูกเตะให้ตื่นอย่างไม่เชื่อสายตา
“กู้โม่หาน เจ้ามาอยู่บนเตียงข้าทำไม ทำอะไรข้า?!”
ให้ตายหนานหว่านเยียนก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ทั้งๆ ยาที่สามารถทำให้วัวห้าตัวนอนลงได้แล้ว แต่กลับปล่อยวางกู้โม่หานคนเดียวไม่ได้? เขาเคยตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วแอบขึ้นไปบนเตียงของนางหรือ?!
นางประเมินสมรรถภาพร่างกายของกู้โม่หานต่ำเกินไป ดูเหมือนว่าหากนางต้องการใช้ยากับเขาอีกในอนาคต ก็ต้องลงมือขั้นเด็ดขาด!
แต่นางไม่รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย ดูเหมือนว่ากู้โม่หานไม่ได้แก้แค้นนาง
“ข้าทำอะไรลงไปหรือ? ทำไมเจ้าไม่บอกว่าข้าทำอะไรลงไป?”
สีหน้าของกู้โม่หานบึ้งตึง เมื่อครู่เขายังฝันอยู่เลย ในความฝันเกี๊ยวน้อยและซาลาเปาถูกเขากอดไว้ ขนาบซ้ายขวาเรียกเขาว่า “พ่อ” ด้วยน้ำเสียงบ้องแบ๊ว
แต่ตอนนี้ หนานหว่านเยียนได้ถีบเขากลับสู่ความเป็นจริงอย่างไร้ความปรานี
หนานหว่านเยียนได้ทำสิ่งดีๆ มามากมาย เมื่อคืนนางตบเขาจนมือเจ็บ แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้ง่ายๆ ไม่พูดจาใดๆ
กู้โม่หานถอนสายตากลับ ไม่สนใจว่าเขาถูกหนานหว่านเยียนถีบลงจากเตียงไม่เป็นท่า เขาลุกขึ้นยืน จ้องมองสตรีที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ทำไมไม่พูดอะไรเลย รู้สึกผิดงั้นหรือ?”
เรื่องเมื่อคืน เขายังต้องสะสางกับหนานหว่านเยียนให้ถี่ถ้วน
หนานหว่านเยียนขยับกล่องเสียงในลำคอ พาร่างกายก้าวถอยหลัง “ข้าว่าเจ้าสบายดี พูดได้ เดินได้ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า…”
กู้โม่หานยิ้มเยาะทันที แสร้งทำเป็นพูดฉอดๆ กล่าวหาว่าหนานหว่านเยียนทำสิ่งผิดกฎหมายเมื่อคืนนี้
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนเจ้าทำอะไรลงไป แต่เจ้าทำให้ข้าหมดสติ แล้วยังแทงลำคอของข้าก่อน นี่คือการกระทำผิด”
“ประการที่สอง เจ้าถอดเสื้อผ้าของข้า ปล่อยให้ข้านอนเปลือยเปล่า นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความผิด”
ว่าแล้ว เขาก็ปีนขึ้นไปบนเตียงด้วยสายตาอันดุดัน เข้าประชิดตัวหนานหว่านเยียนทีละน้อย
“เจ้าไม่เพียงไม่ห่มผ้าห่มให้ข้า แต่ยังเปิดหน้าต่างเพื่อให้ข้าเป็นหวัด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความผิด”
“เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าหลับ เตะต่อยข้า นี่ยิ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่า!”
“เมื่อครู่เจ้าถีบข้าลงจากเตียงโดยไม่รีรอ ตอนนี้ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัว เจ้ากลับบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร?”
“หรือต้องให้ข้าแทงเจ้าด้วยมีด ถอดเสื้อผ้าจับโยนลงทะเลสาบในฤดูหนาวเดือนสิบสองสักคืนดี? เจ้าถึงจะรู้ความผิด?
สตรีผู้นี้จองหองเผด็จการ กระทำความผิดแล้วยังปากแข็งไม่ยอมรับ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ลูกสองคน เขาต้องทรมานนางอย่างหนักแน่
แม้ว่าสิ่งที่กู้โม่หานพูดจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่หนานหว่านเยียนฟังแล้วก็ไม่มีร่องรอยของความเกลียดชังและความโกรธแค้นเลย นางกลับรู้สึกว่า ตอนนี้กู้โม่หานเหมือนกำลัง…ตัดพ้อ?
หนานหว่านเยียนตกใจกับความคิดของตัวเอง สะดุ้งโหยงอย่างฉับพลัน พลางกล่าวว่า “ที่ข้าแทงเจ้าให้สลบ เป็นเพราะเวลานั้นเจ้าไม่มีสติ หากข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าต้องเสียใจแน่นอน”
กู้โม่หานได้ยินเช่นนี้ก็คิ้วขมวด ยื่นมือไปรวบหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน
“เรื่องถึงป่านนี้แล้ว เจ้ายังเล่นลิ้นอยู่อีกหรือ?”
นางไม่ยินยอมให้เขาสัมผัสหรือ? อยากเตะต่อยเขามากกว่า? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเมื่อห้าปีก่อนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยั่วยุเขา พยายามเข้ามาในจวนอ๋องให้ได้…
กู้โม่หานยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ “หนานหว่านเยียน ข้าต้องการให้เจ้าขอโทษ”
ขอโทษ? แค่ขอโทษเท่านั้นเองหรือ?
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ชายชั่วผู้นี้ควรจะเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟบีบคอนางแล้วไม่ใช่หรือ?
หนานหว่านเยียนเห็นชายที่อยู่ใกล้แค่คืบ ใบหน้าบอบบางดูแน่วแน่และอ่อนโยนท่ามกลางแสงไฟ
นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเป็นประกาย
“ที่ข้าทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าเองจริงๆ!”
“เมื่อคืนเจ้าดูหิวกระหายมาก หากข้าให้เจ้าจริงๆ…แล้วนางในฝันของเจ้าจะคิดเช่นไร หรือว่าเจ้าไม่เคยไตร่ตรองเรื่องนี้เลยหรือ? อีกอย่างเจ้าก็เกลียดข้า การแตะต้องคนที่เกลียดชังมันน่าสะอิดสะเอียนเพียงไร ในใจท่านอ๋องคงชัดเจนดีแล้วสินะ?”
“ข้าได้ควบคุมกรรมชั่วเอาไว้ตั้งแต่แบเบาะแล้ว ขัดขวางไม่ให้เจ้าแพร่เชื้อร้ายได้สำเร็จ ท่านอ๋อง เจ้าควรขอบคุณข้าต่างหาก”
“แต่ว่า ข้าลงมือกับเจ้าแรงไปหน่อย ดังนั้นจึงถือว่าเจ๊ากันไป ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณจากเจ้าแล้ว บัญชีของเราก็ถือว่าสิ้นสุดกัน เจ้าว่าไง?”
ขอโทษ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอโทษ หากไม่ยืนกรานเช่นนี้ต่อไป กู้โม่หานก็ต้องยอมแพ้แต่โดยดี ไม่ติดใจเอาความต่อ
แต่กู้โม่หานจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจของนางคิดการใดอยู่ เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้อาศัยส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว ไม่เห็นแก่เขาเลย
ผ่านไปครู่ใหญ่กู้โม่หานไม่พูดอะไรสักคำ เพียงจ้องเขม็งใส่หนานหว่านเยียนด้วยสายตาแวววาว
เขาได้กลิ่นหอมจากตัวนาง มันหอมแปลกๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อคืนนี้ สายตาก็ทอดไปบนร่างกายของนางโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปากของนาง
เมื่อทั้งสองสบประสานสายตากัน ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นในใจของหนานหว่านเยียน ความคิดที่ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังได้แล่นออกมาจากหัวของนางอย่างควบคุมไม่ได้
นางรู้สึกได้ว่า วินาทีถัดไปกู้โม่หานจะก้มศีรษะลงจูบนาง
ดวงตาดำเข้มลุ่มลึกของชายหนุ่มเปล่งประกายอ่อนๆ ประหนึ่งสระน้ำลึก
“เจ้าคารมคมคายขึ้นเรื่อยๆ ข้าแค่อยากจะได้คำขอโทษจากเจ้า แต่เจ้าเอามาเป็นข้ออ้างที่จะให้ข้ากล่าวคำขอบคุณเจ้างั้นหรือ?”
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้าจะเกรงใจเจ้ามากเกินไปแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ น้ำเสียงเย็นชาของชายหนุ่มก็ดึงความคิดของหนานหว่านเยียนกลับคืนมาทันที
ดูเหมือนว่านางจะคิดมากเกินไป กู้โม่หานจะสองจิตสองใจกับนางได้อย่างไรในขณะที่เขาได้สติกลับมาเป็นปกติแล้ว?
มันเป็นเรื่องที่ฟ้าดินไม่อาจให้อภัย!
นางอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “สิ่งที่ข้าพูดคือความจริง ไม่ได้พูดจาตลบตะแลงหาทางออกแน่นอน”
“ข้ารู้ว่าเมื่อวานเจ้ากินอะไรที่ไม่ควรกิน ไม่มีสติดี แต่ข้าในฐานะคนที่มีสติดี ก็ต้องหยุดการสูญเสียให้ทันเวลา เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้ามากก็ได้ แทบไม่ได้ทำอะไรเลย!”
นางทำเหมือนว่าไม่ใช่เรื่อง ท่าทีก็เฉยเมยมาก
“ทำไมข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วย?”
เขาบึ้งตึงและอึดอัดใจมาก รู้สึกเก็บกดอยู่ภายในใจไม่อาจระบายออกมาได้ คำพูดของหนานหว่านเยียนทำให้เขารู้สึกทรมาน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกทรมานถึงเพียงนี้
หากได้สัมผัสหนานหว่านเยียน เขาจะเสียใจทีหลังจริงหรือ?
หนานหว่านเยียนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ นางขี้เกียจทะเลาะกับเขา
“เจ้าจะซาบซึ้งหรือไม่ก็ตามใจ ครึ่งปีหลังเราต้องแยกย้ายไปตามทางเดินของตัวเอง ถึงเวลานั้นเจ้าจะไปตามทางของแสงตะวัน ส่วนข้าจะเป็นสะพานไม้ พวกเราจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข”
“กู้โม่หาน เราจากกันด้วยดีเถอะ…”