ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 201 ให้ท่านอ๋องศึกษาคุณธรรมชาย
ในมิช้า หนานหว่านเยียนก็สงบลงได้ นางจะมิยอมให้ชายต่ำช้าคนนี้มาย่ำยีนางเด็ดขาด
นางกัดฟันกรอดแล้วตะโกนออกมาประโยคหนึ่งว่า “กู้โม่หาน ข้ามีระดู เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำสงครามเลือดกับข้า!”
กู้โม่หานชะงักท่าทีของเขาลงทันใด
สติปัญญาที่มิอาจควบคุมได้ก่อนหน้านี้ก็ได้กลับคืนมา
แววตาของเขาส่องแสงแวววาวขึ้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มเห็นหนานหว่านเยียนที่อยู่ในอ้อมกอด ริมฝีปากของนางถูกเขาจูบจนแดงเรื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาก็ตกใจและรู้สึกเจ็บปวด
เขาทำอะไรอยู่นี่?
เหตุใดเขาจึงทำเรื่องเช่นนี้กับหนานหว่านเยียน เพียงเพราะผู้ชายกลุ่มนั้นทำให้สับสน?
กู้โม่หานยังมิทันได้สติกลับคืนมา หนานหว่านเยียนก็อดมิได้ที่จะเอ่ยปากด่า
“ชายชั่วก็ควรจะมีขีดจำกัดบ้าง กู้โม่หาน เจ้ามันทั้งต่ำช้าและสกปรก ชอบฉวยโอกาส ชอบความตื่นเต้นเร้าใจหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางคนนั้นที่มีที่ระดูมามิขาดที่อยู่ในจวนอ๋อง คงจะเหมาะสมกับเจ้าสินะ!”
“หรือเป็นเพราะว่าตอนเจ้าอยู่กับหยุนอี่ว์โหรว เจ้ามิอาจแสดงความสามารถของตนได้ เพราะเจ้ามันไร้น้ำยา จึงได้มาทรมานข้าเช่นนี้!”
น้ำเสียงของหนานหว่านเยียนแฝงไปด้วยความดุเดือดโมโห แต่ละคำของนางที่กล่าวออกมาเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของกู้โม่หาน
“ตึกตักๆ ” ใบหน้าของกู้โม่หานแดงเรื่อไปถึงหู
เขากระโดดออกมาจากข้างกายหนานหว่านเยียน แล้วหันหลังให้กับหนานหว่านเยียนที่เสื้อผ้าหน้าผมยุ่งเหยิงรุงรัง
“เจ้ากล่าวไร้สาระอะไรกัน ข้าจะสนใจในตัวเจ้าได้อย่างไร เจ้าอย่าได้คิดฝันไป!”
“แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสามีของเจ้า หากข้าอยากจะแตะต้องตัวเจ้าจริง มีสิ่งใดที่ทำมิได้?”
แม้แต่ตัวเขาเองก็มิรู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาจึงขาดสติไปเช่นนั้น เขาเห็นหนานหว่านเยียนยักคิ้วหลิ่วตาหัวเราะอยู่กับชายอื่น เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายเหล่านั้นหรือแม้แต่บรรดาบ่าวรับใช้ผู้ชายที่นางอยากจะซื้อตัวมา ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นใจอย่างถึงที่สุด
หนานหว่านเยียนเห็นว่าเขาหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น จึงได้รีบคว้าเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างว่องไว
“งั้นหรือ ท่าทางของเจ้าเมื่อครู่ ดูมิเหมือนต้องการทำร้ายลงโทษข้าอย่างแท้จริง เจ้าเอาแต่บอกว่ามิสนใจในตัวข้า จากที่ข้าดู เจ้าอยากได้ร่างกายขาจนแทบขาดใจ!”
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ความคิดของกู้โม่หานยุ่งเหยิง ราวกับถูกใครมองออกถึงความคิดในใจ แล้วรีบหันกลับมามองดูหนานหว่านเยียนที่เสื้อผ้ามิเรียบร้อยนัก ใบหน้าของเขาแดงเรื่อขึ้นอีกครั้งแล้วก้มหน้าลง หัวใจยังคงเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย “หากเจ้ายังเอ่ยวาจากล่าวร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ข้าจะตบปากเจ้าให้ฉีกเชียว!”
“เจ้าแบนราบอย่างกับทุ่งหญ้าโล่งเตียน ข้ามิอยากแม้แต่จะชายตามอง!”
……ทุ่งหญ้าโล่งเตียน?
หนานหว่านเยียนกำมือแน่นกัดฟันกรอด น้ำเสียงดูเยาะเย้ยถากถาง
“ทางที่ดี เจ้าควรจำคำของตนเองวันนี้ไว้ อย่าได้กลืนน้ำลายตัวเองเล่า มิเช่นนั้นคงจะน่าขัน!”
กู้โม่หานถึงกับสำลัก
ให้ตายเถอะ ดูเหมือนเขาจะมีความรู้สึกมิธรรมดากับแม่นางคนนี้ แต่เฉพาะกับร่างกายนาง มิใช่จิตใจของนาง
คนจากตระกูลหนาน ต่อให้เขาเป็นบ้าเสียสติไป ก็จะมิคิดเป็นอื่นได้อย่างแน่นอน!
เขาเงยหน้ามองดูหนานหว่านเยียนด้วยความดุเดือด บัดนี้หญิงสาวได้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่กระโปรงนั้นถูกฉีกขาด เผยให้เห็นบ่าอันขาวผ่องยองใยของนาง
เขารู้สึกหงุดหงิดใจแล้วถอดเสื้อคลุมของตนเองออกยื่นให้แก่นาง “สวมใส่เสื้อผ้าอะไรของเจ้า ใส่ให้มิดชิด!”
หนานหว่านเยียนมองไปยังเสื้อผ้าที่โยนมาทางนาง ท่าทีของนางดูรังเกียจและเอี้ยวตัวหลบ
ราวกับนางรังเกียจแม้กระทั่งจะต้องสัมผัสกับเสื้อคลุมของเขา
กู้โม่หานโมโหเสียจนไร้คำบรรยาย เขาวิ่งตรงเข้ามาเก็บเสื้อคลุมของตนขึ้นแล้วสวมไปบนร่างของนาง
กู้โม่หานเยือกเย็นลง นางพยายามดิ้นรน “เจ้าทำอะไร ข้ามิต้องการใส่เสื้อผ้าของเจ้า!”
แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง เรี่ยวแรงมิอาจสู้กับกู้โม่หานได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงถูกเขาห่อเอาไว้อย่างแน่นหนา กัดฟันจ้องมองไปที่กู้โม่หาน
กู้โม่หานมองไป เห็นว่าหนานหว่านเยียนมีดอกกุหลาบทัดอยู่ที่หู หัวใจราวกับถูกทิ่มแทง เขาอดมิได้ที่จะเอื้อมมือไปดึงดอกไม้เหล่านี้ “ช่างดูมิเหมาะสมกับขนบธรรมเนียม!”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็โยนดอกไม้ไปที่พื้นแล้วใช้เท้าขยี้
บัดนี้เขาเพิ่งจะตระหนักว่ามีกลีบกุหลาบพร่างพราวอยู่ทุกหนทุกแห่งในห้อง ทำให้เขาดูกระวนกระวายใจ
กู้โม่หานชักดาบออกมา ปลายดาบของเขาชี้ตรงไปที่กลีบดอกไม้เหล่านั้น ให้พลังภายในไล่ตามไปยังทิศทางของดาบ
ดวงตาของหนานหว่านเยียนมืดมนลง นางต้องการจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขา “กู้โม่หาน เจ้ากล้าหรือ ข้ามิอนุญาตให้เจ้าทำลายดอกไม้เหล่านี้ของข้า!”
แต่ยิ่งนางกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของชายหนุ่มก็ยิ่งบึ้งตึง
เขาเข้ามาจับข้อมือของหนานหว่านเยียนไว้ มืออีกข้างหนึ่งควบคุมดาบจัดการกับดอกไม้เหล่านั้น สุดท้ายที่สุดก็ได้ส่งพลังดาบออกไปที่นอกห้อง
“โครม!” หน้าต่างของห้องถูกเปิดออก กระเด็นออกไปพร้อมกับประตูไม้อันทรุดโทรม
กลีบดอกไม้ร่วงหล่นลงมาจากหอเซิงหนานที่ชั้นสองโปรยปราย
หนานหว่านเยียนโมโหยิ่งนัก “กู้โม่หาน!”
แต่กู้โม่หานมิเปิดโอกาสให้หนานหว่านเยียนได้ลุกขึ้นต่อสู้เลย เขาก้าวไปข้างหน้ากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน “กลับจวนพร้อมกับข้า กักบริเวณ และศึกษาคุณธรรมหญิงกับแม่นางทั้งสอง”
หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป สามแม่ลูกคงจะมิเห็นแก่หน้าใครแล้ว
กลีบดอกไม้ร่วงโรยลงมาทีละกลีบ ผู้ที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ที่ชั้นหนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้ก็หยุดท่าทางการรับประทานอาหารของตน พวกเขาวางตะเกียบลงด้วยความประหลาดใจ
ผู้ใดกันมั่งคั่งเช่นนี้?
ท่ามกลางสายฝนกลีบกุหลาบสีแดงเรื่อ จู่ๆ จุดสนใจของทุกคนก็หวนกลับไปยังชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่เดินลงมาจากบันได
หากจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว คือชายหนุ่มคนหนึ่งแบกหญิงสาวลงมาต่างหาก
การแสดงออกของทั้งสองดูมิน่ามองนัก เต็มไปด้วยความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีนางนั้น ราวกับนางต้องการจะสังหารชายผู้นี้เสีย
ใครบางคนจำขึ้นได้จึงตะโกนว่า “อ๋องอี้ นั่นคืออ๋องอี้!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ความโกลาหลก็บังเกิด ทุกคนละสายตาไปมองกู้โม่หานและสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเขา
พวกเขาได้ยินมาว่ามีใครบางคนยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจะครอบครองชั้นสองของหอเซิงหนานในวันนี้ เมื่อถามไปถามมาก็ได้รู้ว่าเป็นชายที่มีนามว่า “คุณชายอู๋ฮวา”
ที่แท้เทพเจ้าแห่งสงครามผู้ที่มีชื่อเสียงและสง่างามของพวกเขากู้โม่หาน ยังมีอีกชื่อเรียกหนึ่งนั่นก็คือคุณชายอู๋ฮวา ชั้นสองของหอเซิงหนานในวันนี้ถูกจองไว้ เพียงเพื่ออยากได้รอยยิ้มของแม่นาง
แต่เมื่อทุกคนมองไปอีกครั้ง สตรีที่อยู่ในอ้อมกอดของกู้โม่หานมิใช่พระชายารองที่เขาทะนุถนอมมาโดยตลอดหยุนอี่ว์โหรว
แม่นางผู้นั้นหน้าตางดงามรูปร่างอ่อนช้อย มองไปก็รู้ได้ว่าสูงส่งเกินจะไขว่คว้า ช่างเหมาะสมกับอ๋องอี้ผู้หล่อเหลามิมีใครเปรียบ เป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมาอย่างแท้จริง
“นางคือผู้ใดกัน?”
ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากที่อ๋องอี้อุ้มนางลงมาจากชั้นสอง ท่าทีมิธรรมดา
บางทีในอีกมิกี่วันข้างหน้า ในจวนอ๋องอี้อาจจะมีบุคคลยิ่งใหญ่เพิ่มเข้ามาอีกคนก็ได้
หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานมิรู้ว่าพวกคนที่อยู่ด้านล่างกำลังสนทนาเรื่องใด ในสายตาของคนอื่นนั้น รอบกายทั้งสองเต็มไปด้วยความสดชื่นสีชมพู
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด
หนานหว่านเยียนเอื้อมมือออกไปหยิกที่เอวของกู้โม่หานอย่างแรง นางกัดฟันกล่าวว่า “จะให้ข้าไปศึกษาสิ่งใดกัน เจ้าอ๋องหน้าด้านหน้าทน เหตุใดเจ้ามิไปศึกษาคุณธรรมชายเองเล่า ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้!”
เจ้าต่างหากชายหน้าด้านหน้าทน เขาต่างหากที่ไร้คุณธรรม แล้วยังจะมีหน้ามาบีบบังคับให้นางไปศึกษาคุณธรรมหญิง!
เหอะๆ เขามีคุณสมบัตินั้นหรือ?
กู้โม่หานรู้สึกเจ็บ คิ้วอันได้รูปของเขากระตุกเล็กน้อย กัดฟันเย้ยหยันว่า “หากเจ้ายังดิ้นอยู่ละก็ ข้าจะเหวี่ยงเจ้าลงไปเดี๋ยวนี้
แต่หนานหว่านเยียนมิสนใจคำข่มขู่จากเขา มือทั้งสองข้างของนางจับไปที่เอวและหยิกอย่างแรง
มิรู้ว่าบัดนี้บนร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมากเท่าไร
กู้โม่หานพยายามอดทนกับความเจ็บปวดบนร่างกาย เพราะความเจ็บปวดเหล่านี้เทียบมิได้กับหนึ่งในล้านของความเจ็บปวดในใจ
ทั้งสองเดินออกมาจากหอเซิงหนานท่ามกลางความอิจฉาริษยาจากทุกคน ก่อนที่เสิ่นอี่ว์จะเดินทางจากไป เขาได้เรียกรถมาเอาไว้ให้ทั้งสองแล้ว ซึ่งบัดนี้กำลังรออยู่ที่ปากประตู
กู้โม่หานโยนหนานหว่านเยียนเข้าไปในรถม้าอย่างดุเดือด แล้วเอ่ยเตือนว่า “หนานหว่านเยียน ข้าจะขอเตือนเจ้าอีกเพียงหนึ่งครั้ง อย่าได้ผิดข้อตกลงของเรา และอย่าออกไปหาผู้ชายเหล่านั้นอีก มิเช่นนั้น ข้อตกลงของเราจะเป็นโมฆะ!”
ผู้ใดกันให้นางหยิบยกเรื่องหย่าร้างออกมาทุกครั้ง ทำให้เขารำคาญใจ มิเช่นนั้นก็ลองดูสิ!
คราวนี้เขาขึ้นขี่บนหลังม้าแล้วไล่คนขับรถลงไป มือจับไปที่บังเหียน
เขามิอยากจะนั่งอยู่ที่เดียวกันกับหนานหว่านเยียนคนนั้นอีกแล้ว
หนานหว่านเยียนลุกขึ้นด้วยความโมโห นางลูบคลำไปที่แขนซึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย “กู้โม่หาน เจ้าคนน่ารังเกียจ เจ้าคนเสแสร้ง!”
แต่กู้โม่หานราวกับว่าฟังมิได้ยิน และรีบบังคับรถม้าแล่นออกไป
ในมิช้า ทั้งสองคนก็กลับมาที่จวนอ๋อง
กู้โม่หานลงจากรถม้า ขณะที่กำลังจะก้าวขาเข้าไปในจวน ก็เห็นหวางหมัวมัววิ่งเข้ามาหาอย่างกระวนกระวายใจ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา
“ท่านอ๋อง ในวังเกิดเรื่องขึ้นแล้วเพคะ! หยีเฟยเหนียงเหนียง ท่าน ท่านจะมิไหวแล้ว……”