ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 246 เจ้ามิได้ชอบกอดข้าหรือ

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 246 เจ้ามิได้ชอบกอดข้าหรือ

ความรู้สึกมิพึงพอใจของชายหนุ่มถูกกดดันเอาไว้ทันที

สีหน้าของเขาดูสงบลง จากนั้นผลักประตูเข้าไปด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบราวกับเงา

หนานหว่านเยียนกำลังนั่งกล่อมบุตรสาวทั้งสองคนอยู่ที่ข้างเตียง สีหน้าของนางดูเหนื่อยล้า แววตากลับดูอบอุ่น นางอ้าปากหาวขึ้นมาเป็นครั้งคราว “นอนเถิด ดวงใจของแม่……”

จู่ๆ นางก็เห็นมือที่เต็มไปด้วยข้อกระดูกอันชัดเจนยื่นเข้ามาทัดผมบริเวณหูให้กับนางและห่มผ้าห่มให้เจ้าหนูน้อยทั้งสองคน

หนานหว่านเยียนตกตะลึง น้ำเสียงอันต่ำทุ้มของเขาราวกับกำลังตำหนินางดังขึ้นจากทางเหนือศีรษะว่า

“อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เหตุใดจึงมิห่มผ้าดีๆ ให้พวกนาง เจ้าเป็นแม่คนได้อย่างไร!”

หนานหว่านเยียนตกตะลึง ก่อนจะรู้สึกตัว นางรีบหยิบเข็มเงินออกมาจากหน้าอกแล้วหันไปแทงเขาอย่างรวดเร็ว กระซิบน้ำเสียงต่ำ

“กู้โม่หาน เจ้ามาที่นี่ทำไม!”

เจ้าคนหน้าด้านหน้าทน เมื่อเช้าเพิ่งทำกับนางเช่นนั้น แต่ในตอนนี้ยังมีหน้ามาหานางถึงที่ห้องได้

เข็มเงินในมือของนางยังมิทันพุ่งไปแทงร่างของเอก ก็ถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้อย่างง่ายดายด้วยนิ้วทั้งสองข้าง เขาดึงมันออกไปอย่างรวดเร็ว ขยี้ในมือจนกลายเป็นผง

สีหน้าของกู้โม่หานดูมิค่อยดีนัก เขามองไปยังใบหน้าอันสวยงามไร้ที่ติของหนานหว่านเยียน แต่เมื่อนึกถึงนางอยู่ตามลำพังกับโม่หวิ่นหมิง แววตาของเขาก็จมดิ่งลง “ไปค่ายทหารกับข้า”

หนานหว่านเยียนหัวเราะเยาะ “เจ้าสั่งให้ข้าไป ข้าก็ต้องไปหรือ? กู้โม่หานเจ้าคิดว่าตนสำคัญเกินไปแล้ว!”

หนานหว่านเยียนหันศีรษะหนี มิอยากสนใจเขาอีก ตอนนี้เมื่อนางเห็นหน้ากู้โม่หานก็จะคิดถึงแม่นางดอกบัวขาวนั่นที่นางมิอาจกำจัดทิ้งไปได้ แล้วรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก

ขณะที่กู้โม่หานกำลังจะเอ่ยปากก็เห็นว่าลำคอของหญิงสาวที่ตนทิ้งรอยเอาไว้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ดวงตาของเขาสั่นคลอนอย่างแรง แล้วดึงตัวนางเข้าไปไว้ในอ้อมกอด เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไปไหนแล้ว?”

“อะไรกัน ไปไหน……” หนานหว่านเยียนมิทันได้ตั้งตัวจากการโจมตีของเขา นางเผลอไปเตะเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้างจึงทำให้เกิดเสียงดังมิน้อย

กู้โม่หานกลั้นหายใจ ยกมือขึ้นปิดปากของหนานหว่านเยียนไว้ ด้วยเกรงว่านางจะกรีดร้องออกมาและทำให้แม่หนูทั้งสองที่กำลังนอนกลางวันตื่นขึ้น

เขามองไปบนเตียง พบว่าเกี๊ยวน้อยขมวดคิ้วขึ้น ทำปากขมุบขมิบแต่ยังมิได้ตื่นขึ้นมา

กู้โม่หานจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

หนานหว่านเยียนกัดมือของเขาด้วยความหงุดหงิดใจแล้วจ้องมองไปด้วยแววตาอันดุเดือด

กู้โม่หานมิได้ขมวดคิ้วแสดงถึงความเจ็บปวด เขาดึงมือนางด้วยความโมโหเช่นกัน แล้วลากออกไปจากห้องอย่างนุ่มนวล

เขาพาหนานหว่านเยียนเดินไปออกไปสักพัก ก่อนจะปล่อยนางลง “หากจะทะเลาะกันก็ออกมาทะเลาะกันข้างนอก อย่าทำให้แม่หนูทั้งสองต้องตื่นขึ้น”

“เรื่องแค่นี้ต้องให้เจ้าบอกหรือ?” หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้นแล้วตะคอกไปทางเขาอย่างเย็นชา “กู้โม่หาน เจ้าอย่ามาเสแสร้งแกล้งทำเป็นพ่อของลูกสาวข้า อีกอย่างข้าจะมิไปไหนทั้งนั้น”

เขาให้ความสำคัญและเอาใจใส่แม่หนูน้อยทั้งสองมาก จึงทำให้นางรู้สึกตื่นตระหนก

“ข้ามิอยากเอ่ยเรื่องนี้กับเจ้า ดวงตาของกู้โม่หานเต็มไปด้วยความโมโห เขาดึงตัวหนานหว่านเยียนเข้ามากอดนางเอาไว้มิให้ดิ้นหนี แล้วเปิดคอเสื้อของนางออก พบว่ามีแต่ผิวอันขาวผ่องของนาง มิมีรอยอะไรทั้งสิ้น

“รอยประทับที่ข้าทิ้งเอาไว้ให้เจ้า ไปที่ไหนแล้ว?”

หนานหว่านเยียนจึงได้รู้ว่ากู้โม่หานกำลังกล่าวถึงรอยกัดของเขา นางหัวเราะออกมาด้วยความโกรธแล้วผลักชายหนุ่มออกไป

“ข้าเพียงรู้สึกว่ามันขัดหูขัดตา จึงปกปิดเอาไว้ อีกอย่างนี่มิใช่รอยประทับอะไรที่เจ้าว่า มันคือการใช้ความรุนแรงต่างหาก!”

กู้โม่หานมิเชื่อ เขายื่นมือออกไปบีบคางของหนานหว่านเยียนแล้วเช็ดบริเวณที่คาดว่ามีรอยกัดทิ้งเอาไว้ เมื่อคอนซีลเลอร์ถูกเช็ดออกจึงพบกับรอยฟันปรากฏขึ้นสองแถว

เมื่อเห็นรอยฟันนั่น จึงทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและวางใจอย่างยากจะอธิบาย

หนานหว่านเยียนโมโห นางใช้ศอกกระแทกเข้าที่หน้าอกของกู้โม่หาน แต่กลับรู้สึกเจ็บเสียเองเนื่องจากชุดเกราะของเขาแข็ง

นางอ้าปากขึ้น สูดลมหายใจเข้า ดวงตาแข็งกระด้างมองไปที่เขาด้วยความตกใจเล็กน้อย

เมื่อครู่อยู่ในห้องมืดนางมิทันได้ดู บัดนี้เพิ่งจะพบว่าตามปกติแล้วชายหนุ่มที่มักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าฉูดฉาด กลับดูเป็นผู้เป็นคนบ้างเล็กน้อย

“สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าทุบตีข้า?” กู้โม่หานปล่อยนางออกพร้อมด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นเพราะเห็นว่านางเจ็บ “เจ้าเป็นสตรีของข้า สิ่งใดที่ข้าให้อย่าไปปิดบังมัน”

“อีกอย่าง พวกเหล่าเสิ่นนั้นเป็นเจ้าที่ช่วยเขา ในเมื่อเจ้าช่วยพวกเขาเอาไว้ก็ควรจะรับผิดชอบจนถึงที่สุด ไปที่ค่ายเสินเชื่อกับข้าเดี๋ยวนี้!”

แม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วกู้โม่หานต้องการกีดกันโม่หวิ่นหมิง

เขามิอยากให้หนานหว่านเยียนอยู่กับโม่หวิ่นหมิง แม้แต่วินาทีเดียวก็มิได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามดึงหนานหว่านเยียนให้มาอยู่ข้างกาย มิอนุญาตให้ไปไหนทั้งสิ้น

แววตาของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ใบหน้าอันงดงามของนางเคร่งขรึม ใครเป็นผู้หญิงของเขา? นางเป็นตัวของนางเอง! กู้โม่หานช่างน่าสะอิดสะเอียน

แต่เมื่อกล่าวถึงพวกเหล่าเสิ่น นางก็มิได้ปฏิเสธใดๆ

ในฐานะของหมอ นางควรเดินทางไปดูคนไข้จริงๆ อีกอย่างเมื่อนับจำนวนวันแล้ว พวกเหล่าเสิ่นก็ควรจะได้รับการฝึกฟื้นฟูทางกายภาพ

หนานหว่านเยียนมองไปที่เขา น้ำเสียงของนางดูมิแยแส “การเดินทางไปดูแลคนไข้นั้นเป็นหน้าที่ของข้า ข้าสามารถไปได้ แต่หากเจ้ายังตุกติกแตะเนื้อต้องตัวข้าอีก ข้าจะมิเกรงใจเจ้าอย่างแน่นอน”

เมื่อกล่าวจบนางก็ทำท่าเชือดคอไปทางเขา “บัดนี้ร่างกายของเจ้าเต็มไปด้วยบาดแผล หากข้าต้องการฆ่าเจ้าก็เต็มไปด้วยโอกาส ทางที่ดีเจ้าควรสงบเสงี่ยมเจียมตนเข้าไว้”

กู้โม่หานตะคอกออกมาว่า “ต่อให้ข้าถูกแทงอีกครั้ง เจ้าก็มิมีโอกาสฆ่าข้าได้หรอก มือและแขนขาอันบอบบางของเจ้าช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน แม้แต่เกี๊ยวน้อยก็ยังเก่งกว่าเจ้าเลย”

“เจ้า เจ้าว่าใครอ่อนแอกัน!” นางก็เพียงแค่มิมีความสามารถด้านการใช้กำลัง แต่ละคนมีจุดเด่นเป็นของตนเอง เจ้าหมอนี่ใช้จุดแข็งของเขามาเยาะเย้ยจุดอ่อนของนาง

ต่ำช้า ต่ำช้าจริงๆ!

“ข้ามิอยากสนใจเจ้า”

หนานหว่านเยียนหัวเราะเย้ยหยันแล้วเดินตรงออกไป แต่ทันใดนั้นที่เอวของนางก็ราวกับถูกใครบางคนมาจับเอาไว้ โลกหมุนชั่วพริบตา กู้โม่หานอุ้มนางขึ้นมาในแนวนอน ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาลอยตัวออกไปนอกจวนอ๋อง

หนานหว่านเยียนดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา มองไปด้วยความตกใจ

“กู้โม่หานเจ้าบ้าไปแล้วหรือ วางข้าลงเดี๋ยวนี้ ข้าจะนั่งรถม้า!”

ยิ่งนางดุด่าเขามากเท่าไร กู้โม่หานก็จงใจกอดนางให้แน่นยิ่งขึ้น ดวงตาอันเฉียบคมมีสีสันบางอย่างซ่อนไว้

“หากเจ้ายังพยายามดิ้นรนก็อาจจะตกลงไปตายได้ แน่นอนว่าข้าจะเตรียมโลงศพอย่างดีไว้ให้เจ้า ส่งเจ้าฝังลงดิน”

หนานหว่านเยียนโมโหเสียจนกัดฟันกรอด นางมิกล้าก้มศีรษะมองลงไปด้านล่าง ได้แต่ตะเบ็งเสียงแข็งว่า “กู้โม่หาน หากข้าตกลงไปตาย ลูกสาวของข้าจะต้องแก้แค้นเจ้าแน่ และให้เจ้าตายไปพร้อมกับข้า!”

นางอยากจะกัดกู้โม่หานให้ตายไปเสียจริงๆ

คิ้วของกู้โม่หานเลิกขึ้นเล็กน้อย เขามิอยากทะเลาะกับนาง เขาพานางไปที่ประตูจวนอ๋อง พ่อบ้านกาวจัดเตรียมรถม้าไว้แล้วก่อนหน้า

กู้โม่หานก้มหน้าลงมองไปทางหนานหว่านเยียนที่อยู่ในอ้อมกอด ซึ่งบัดนี้หนานหว่านเยียนโมโห แต่มิอาจดื้อรั้นได้อีกต่อไป

นางจ้องมองมาที่เขาด้วยความโกรธ โมโหเสียจนบรรยายมิถูก

ยิ่งหนานหว่านเยียนเป็นเช่นนี้ในใจของกู้โม่หานก็รู้สึกสบายใจ

ใครใช้ให้นางไปอยู่ใกล้ชิดกับโม่หวิ่นหมิงเล่า ทำให้เขารู้สึกมิพึงพอใจ

เขาพาหนานหว่านเยียนกระโดดขึ้นหลังม้า เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความแน่น แววตาขี้เล่น

“นั่งให้ดี”

กล่าวจบเขาก็ยกแส้ขึ้นแล้วควบม้ามุ่งหน้าออกไปนอกเมือง

หนานหว่านเยียนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาโยกขึ้นโยกลง แต่นางก็มิอยากสัมผัสร่างกายของเขาแม้แต่น้อย นางยินดีที่จะทำตัวให้เป็นตอไม้ไร้ความรู้สึกเสียดีกว่า

“เจ้าขี่ช้ากว่านี้หน่อยมิได้หรือ?”

นางบอกกับเขาตั้งหลายร้อยครั้งแล้วว่านางจะนั่งรถม้า เหตุใดเขายังยืนกรานที่จะขี่ม้าเล่า

ชายหนุ่มเหลือบตามองเขา “หากเจ้ากอดขาก็จะมิรู้สึกอึดอัดใจเช่นนี้”

แต่หนานหว่านเยียนจะมิทำเช่นนั้น นางกัดฟันแน่นทำตัวแข็งทื่อ

เมื่อกู้โม่หานเห็นดังนั้นก็รู้สึกมิพึงพอใจ บาดแผลที่ศีรษะและบ่าของเขาเริ่มปวดขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขานึกถึงท่าทีอันใกล้ชิดกับหนานหว่านเยียนเมื่อช่วงเช้า

เขาเลียริมฝีปากโดยมิรู้ตัว จากนั้นขี่ม้าเร็วขึ้น ทำเอาเสียหนานหว่านเยียนพุ่งเข้ามาชนอ้อมกอดของเขา

กู้โม่หานส่งเสียงออกมาหัวเราะเบาๆ

“เจ้าจะดื้อด้านอะไรนักหนา เจ้าอยากกอดข้ามิใช่หรือ?”

หนานหว่านเยียนโมโหมิรู้จะทำอย่างไรดี แต่ตอนนี้นางถูกกู้โม่หานกลั่นแกล้งทั้งยังถูกบังคับให้เข้าไปอยู่อ้อมอกของเขา

นางกัดฟันกรอด แล้วระเบิดโมโหออกมา “กู้ โม่ หาน!”

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท