ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 296 หนานหว่านเยียน ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง
กู้โม่หานเห็นดังนั้น ก็ใจอ่อนลง สงสารเด็กผู้หญิงทั้งสอง
“หนานหว่านเยียน เรื่องมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีทางไถ่ถอนคืนมาได้ สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือการแก้ปัญหา เจ้าวางใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงท่านพ่อและคนอื่นๆ ข้าก็ยังมีความสามารถปกป้องพวกเจ้าไหว”
ในใจของกู้โม่หาน เขาก็ไม่อยากให้ลูกๆ ถูกรู้จักในลักษณะนี้ แต่หากสวีหว่านหยิงกับน้องสิบไม่มีสัจจะ นำเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจริงๆ เขาก็สามารถปกป้องเด็กน้อยทั้งสองได้อยู่ดี
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยจ้องมองที่เขาอย่างตะลึงงัน ในสายตาที่เพิกเฉยของเด็กทั้งสอง มีความคาดหวังเล็กน้อยและความสบายใจที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน
หนานหว่านเยียนได้ยินเช่นนั้นกลับรู้สึกเฉยเมย กล่าวตามตรงนางรังเกียจพวกคนในราชวงศ์เป็นอย่างมาก แต่ละคนล้วนน่ากลัวไม่น้อยหน้ากัน
รู้หน้าไม่รู้ใจ คำนี้สามารถใช้กับคนในราชวงศ์ได้เป็นอย่างดี
กู้โม่หานก็ไร้หนทาง บอกกับเขาไปตั้งเป็นร้อยรอบแล้วว่าไม่ใช่ลูกของเขา แต่เขาก็ยังคิดว่าเป็นลูกของเขาอยู่อย่างนั้น ตอนนี้เขาบอกจะปกป้องเป็นเพราะความเป็นพ่อจริงๆ หรือเพราะมีแผนการอื่น นางก็ยังเดาไม่ออก
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน พวกเราไม่ต้องการให้ท่านมาปกป้อง”
หนานหว่านเยียนแย่งเด็กหญิงทั้งสองออกมาจากอ้อมแขนของกู้โม่หาน แล้วเอ่ยกับเขาอย่างเอาจริงเอาจัง
“ท่านแม่มีเรื่องมากมายที่ปิดบังพวกเจ้าอยู่ อยากจะพูด แต่พวกเจ้ายังเด็กนัก ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่พวกเจ้าต้องเชื่อใจท่านแม่ ว่าจะไม่มีทางให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บแน่นอน เข้าใจไหม?”
เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยพยักหน้าด้วยความโศกเศร้า แต่ในใจกลับอึดอัดอย่างทรมานเล็กน้อย
“อืม อืม……”
ความไม่ไว้วางใจของหนานหว่านเยียน ทำให้หัวใจกู้โม่หานราวถูกทิ่มแทง เขากำมือแน่น
“หนานหว่านเยียน คำพูดของข้าเจ้าฟังเข้าใจหรือไม่? ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครแตะต้องพวกเจ้าได้เด็ดขาด!”
เสด็จแม่นอนอยู่ในตำหนักอู๋ขู่มาสิบกว่าปี เขายังสามารถปกป้องได้ แต่หนานหว่านเยียนกับลูกๆ ทั้งสองอยู่ในสายตาเขา ไยเขาจะปกป้องไม่ได้ ถึงแม้จะบาดเจ็บ เขาก็จะพยายามปกป้องพวกนางสามแม่ลูกอย่างสุดชีวิต
เขามีชีวิตในวัยหนุ่มอันยากลำบาก เขาจะไม่ยอมให้พวกนางสองพี่น้องได้รับความลำบากเช่นนี้ เขาต้องการให้พวกนางมีแต่ความสุข ใช้ชีวิตอย่างอิสระไร้พันธนาการ
เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองจ้องมองกู้โม่หานอย่างว่างเปล่า แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้น คล้ายกับมีเมล็ดพันธุ์บางอย่างเริ่มต้นงอกเงยขึ้นมา
ดวงตาสดใสของหนานหว่านเยียนจ้องมองกู้โม่หานอย่างเย็นชา “ข้าบอกแล้ว น้ำใจของท่าน พวกเราไม่ต้องการ”
หากต้องการจะจัดการเรื่องประสบการณ์ชีวิตของเด็กน้อยทั้งสองอย่างหมดจด ก็คือต้องเปิดเผยเรื่องการหย่าร้าง นางจะพาเด็กน้อยทั้งสองให้หนีห่างออกจากเรื่องราวถูกๆ ผิดๆ
กู้โม่หานจะปกป้องพวกนางหรือไม่เกี่ยวอะไรด้วย เดิมทีตัวเขาก็คือคนที่เกี่ยวโยงเรื่องถูกๆ ผิดๆ เอาไว้เต็มตัวอยู่แล้ว
ตอนนี้นางสั่งสอนเด็กน้อยทั้งสองให้ระมัดระวังตัว อย่างไรเสียก็ไม่แน่ว่าจะมีคนมาจวนอ๋องอีกหรือไม่ ให้พวกนางรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มีจิตใจระแวดระวังไว้ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
น้ำเสียงของหนานหว่านเยียนเย็นชาอย่างที่สุด หัวใจกู้โม่หานราวถูกน้ำแข็งเข้าไปเกาะกุมสะสมอยู่ในใจ
ชายหนุ่มจดจ้องไปที่ใบหน้าอันงดงามไร้ที่เปรียบของหนานหว่านเยียน เขาขมวดคิ้วแน่น และไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่อยากมาทะเลาะกันต่อหน้าลูกๆ เพียงแค่ถกประเด็นกันเบาๆ แค่นั้น
หนานหว่านเยียนมองไปที่เด็กน้อยทั้งสองอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้พวกนาง
“เด็กดี ไม่เป็นไรแล้วนะ” นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วลูบไปที่ใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองอย่างอ่อนโยน “อดทนผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไป ต่อไปพวกเราจะโบยบินกันอย่างอิสระ ท่านแม่จะพาพวกเจ้าไปขึ้นเขาล่องน้ำ อยากไปที่ใดก็ไปที่นั่น ไม่ถูกกักขังอยู่ในข้อจำกัดเหล่านี้อีกต่อไป”
“ตอนนี้ พวกเจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังท่านแม่ก่อน ได้ไหม?”
ซาลาเปาน้อยกับเกี๊ยวน้อยกะพริบตาทั้งน้ำตา พยักหน้า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
“เช่นนั้นตอนนี้ไปหลังสวนทบทวนการบ้านก่อนดีไหม?”
สองพี่น้องมองหนานหว่านเยียนอย่างเชื่อฟัง แล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
หนานหว่านเยียนจูงพวกนางจากไป กู้โม่หานตามมา
ข้างนอกประตูเซียงเหลียนและเสิ่นอี่ว์กำลังรออย่างกระวนกระวายใจ เมื่อพวกเขาเห็นคราบน้ำตาที่มุมดวงตาของสองพี่น้อง ก็รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก มองดูสภาพอารมณ์ของหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก
เสิ่นอี่ว์กับเซียงเหลียนเข้าใจทันทีว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้วเป็นแน่
เซียงเหลียนรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับผิดทันที
“บ่าวผิดไปเองเจ้าค่ะ ปล่อยให้คุณหนูทั้งสองออกไปด้วยความใจอ่อนชั่วขณะ……”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วแน่น “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เป็นข้าที่ดูแลไม่ดีเอง พาพวกนางไปหลังสวนเถิด”
เซียงเหลียนกัดฟันพยักหน้า รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “เจ้าค่ะ พระชายา”
เมื่อครู่ก็โทษนาง ทั้งที่รู้ว่าหยุนเหิงมาหาเรื่อง แต่สองพี่น้องก็ทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจกับนาง นางคิดว่าเดินเล่นอยู่ในสวนของตนคงไม่มีปัญหาอันใด จึงไม่ได้ห้ามไว้
“ท่านแม่พวกข้าไปทบทวนการบ้านแล้วนะเจ้าคะ” เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยจูงมือเซียงเหลียนคนละข้าง เดินไปหลังสวน
หนานหว่านเยียนกำลังจะตามไป แต่กลับถูกกู้โม่หานคว้าเอาข้อมือไว้กะทันหัน
น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเย็นชา “หนานหว่านเยียน เรามาคุยกันหน่อย”
เสิ่นอี่ว์กลืนน้ำลาย มองดูบรรยากาศอันอึดอัดของทั้งสองคนด้วยความประหม่าเล็กน้อย
ก็รู้สึกได้ว่า คงเกิดเรื่องไม่ปกติขึ้นแน่……