ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 302 ท่านอ๋องคิดได้แล้ว
เดิมคิดอยากที่จะบีบคั้นเขา คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาย้อนกลับมาทำร้าย
“อื้อ….” หัวสมองหนานหว่านเยียนมึนชา เบิกตาโตอย่างไม่คาดคิด วินาทีต่อมาเมื่อนางได้สติ ก็ทุบตีไหล่ขวากู้โม่หาน พร้อมดิ้นรนไม่หยุด
กู้โม่หานกอดรัดเอวของนางไว้ เมื่อนางดิ้นรน เขาก็ปล่อยมือ ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้
แต่รู้สึกว่ารสชาติดีกว่าที่ผ่านมา ทำให้เขายิ่งไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้
เขาลืมตามองดูหนานหว่านเยียนที่โกรธโมโห ภายในลูกตาดำฉายแววอมยิ้ม
หนานหว่านเยียนโกรธจนหน้าแดง พร้อมพูดขึ้นว่า “กู้โม่หาน เจ้า ใครให้เจ้าจูบข้า”
ทำไมเขาไม่เป็นเหมือนอย่างที่คิด
สายตากู้โม่หานยิ่งยิ้มหวาน เอียงหัวหรี่ตามองดูนางพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่า อยากที่จะลวนลามข้า? หากรู้สึกว่าขาดทุน เจ้าจูบคืนก็ได้”
ดี
เดี๋ยวนี้กู้โม่หานรู้จักคิดทันเกมส์ของนาง ทำให้นางไปต่อไม่ได้
“ถือว่าเจ้าแน่ ลงมือโหดได้กว่าข้า” หนานหว่านเยียนรู้สึกว่ากู้โม่หานไม่เหมือนเดิม ตอนนี้เขาไม่ชอบถูกเอาเปรียบแล้ว ยอมที่จะเสียสละตนเอง ก็ต้องชนะศึกครั้งนี้
นี้มีความพัฒนาขึ้นหลังจากถูกลอบฆ่าหรือ?
นางกัดฟันแน่น เดินออกไป เสียงเตือนที่ต่ำและแหบห้าวของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง….
“บาดแผลของข้ากำเริบได้ทุกเมื่อ วันนี้เจ้าอยู่แต่ในจวนอ๋องก่อน ห้ามไปไหน”
หนานหว่านเยียนชะงักฝีเท้า ยิ่งรู้สึกว่ากู้โม่หานตั้งใจวางแผนให้นางอยู่ต่อ
นางหันไปถลึงตาใส่เขา แล้วหันเดินจากไปไวยิ่งกว่าเดิม
อดทนกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้หากยังวางแผนชั่วอีก นางก็จะเขียนจดหมายให้ไทเฮามีรับสั่งให้นางเข้าวัง
เสิ่นอี่ว์ที่อยู่ด้านนอกเห็นหนานหว่านเยียนหน้าแดง เสื้อผ้ายุ่งเหยิง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ดูจากปฏิกิริยานี้ ท่านอ๋องฉลาดขึ้นแล้วหรือ?
หนานหว่านเยียนไม่สนใจเสิ่นอี่ว์ กลับเรือนไปอย่างไม่หันกลับมามองอีก เพิ่งกลับมาถึงประตู ก็ได้ยินอวี๋เฟิงพูดรายงานว่า หยุนอี่ว์โหรวฟื้นแล้ว
หนานหว่านเยียนพูดขึ้นด้วยสายตาเย็นชาว่า “ทางด้านจวนแม่ทัพมีใครมาซักไซ้เอาความไหม?”
อวี๋เฟิงส่วยหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่มี คงเพราะสุขภาพลูกของแม่ทัพไม่ค่อยดี จึงยังไม่มีเวลามา”
ใช่หรือ ซักไซ้เอาความต้องมาอันดับแรก หากไม่มาในทันที งั้นก็คงไม่มาแล้ว
เห็นทีนางดอกบัวสีขาวเป็นแมลงสาบที่ตีไม่ตายจริงๆ ตีล้มลงแล้วก็ยังลุกขึ้นมา นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเลยทีเดียว
แต่ว่าจะทำอย่างไร นางเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับความอดทนที่จะชอบเอาชนะแมลงสาบ
“มีข่าวแล้วค่อยมาบอกข้า”
อวี๋เฟิงน้อมรับคำสั่งว่า “ขอรับ พระชายา”
หนานหว่านเยียนเดินไปยังเรือนด้านหลัง สาวน้อยสองคนขยี้ตาอยู่อย่างง่วงนอน ถูกเซียงอวี้เซียงเหลียนพาออกมาสูดอากาศ
นอนพักกลางวันนานเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ
เกี๊ยวน้อยลืมตาสดใสขึ้นมา มองเห็นหนานหว่านเยียนเดินมาแต่ไกล ก็ร้องเรียกขึ้นว่า “ท่านแม่”
หนานหว่านเยียนรวบรวมอารมณ์ ยิ้มรับอย่างอ่อนหวาน พร้อมพูดขึ้นว่า “สุดที่รัก เมื่อกี้นอนหลับกันหรือ?”
ตอนนี้นางยังเข้าวังไม่ได้ กู้โม่หานคนบ้าคนนั้นไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก นางต้องรอให้สถานการณ์ของเขาดีขึ้นก่อน ไม่อย่างนั้นข้อตกลงกับฮ่องเต้ก็จะสูญเปล่า
เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยโอบกอดหนานหว่านเยียนไว้ ถูกไถอยู่อย่างคิดถึง ใบหน้าแดงๆทั้งยังอ่อนหวานนุ่มนวล จนหนานหว่านเยียนกับเซียงอวี้ใจอ่อน
“อืมๆ พวกเราลืมดีมาก ยังนอนฝันหวานด้วย”
หนานหว่านเยียนลูบผมของพวกเขาอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นว่า “ฝันว่าอะไรหรือ?”
เซียงอวี้แอบหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้คุณหนูสองคนนอนหลับฝันยังน้ำลายไหล คุณหนูเกี๊ยวน้อยยิ่งแล้วใหญ่ นอนหลับฝันยังร้องหาเนื้อแพะย่าง”
เซียงเหลียนก็ผงกหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนที่พวกบ่าวไปอุ้มคุณหนู พวกนางยังไม่ยอมปล่อยมือ แทบจะเห็นพวกบ่าวเป็นเนื้อแพะย่าง”
เกี๊ยวน้อยหน้าแดง ขาสั้นน้อยๆอยากกระโดดขึ้นมาปิดปากเซียงอวี้ไว้
“พี่เซียงอวี้เซียงเหลียน ข้าเปล่านะ ข้าไม่ใช่คนเห็นแก่กิน ข้าก็แค่ ไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่มานานมากแล้ว”
ซาลาเปาน้อยก็ก้มหน้าบิดนิ้ว พร้อมพูดขึ้นอย่างเอียงอายว่า “คิดคำนึงถึงช่วงกลางวัน พอถึงตอนกลางคืนก็เก็บเอาไปฝันถึง ข้ากับพี่สาวคิดถึงฝีมือของแม่มาก ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เห็นแก่กิน….”
หนานหว่านเยียนอึ้ง ความรู้สึกผิดพลุ่งพล่านภายในใจ
นับวันเวลาแล้ว ก็นานพอสมควร ที่ไม่ได้ลงครัวทำกับข้าวให้ลูกทั้งสองทานด้วยตนเอง
เวลามีงานยุ่งแม้แต่จำนวนครั้งที่ได้เล่นกับพวกนาง ยังนับครั้งได้เลย
ถึงว่าพวกนางคิดที่จะไปหากู้โม่หาน ทั้งผู้ชายคนนั้นจะไม่สมบูรณ์ ถึงจะงานยุ่ง แต่ก็มีแก่ใจหาอาจารย์หาหมัวมัวมาให้พวกนาง ยังเล่นกับพวกเขาอย่างอดทน
นางที่เป็นแม่ละเลยเกินไปแล้ว
สายตาหนานหว่านเยียนแดงขึ้นมา คุกเข่าลงจับมือลูกน้อยทั้งสองคน พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากกิน งั้นวันนี้แม่ทำให้พวกเจ้ากินนะ ให้ตะกละน้อยในท้องของพวกเจ้าได้พอใจ เป็นไง?”
เซียงอวี้ยิ้มหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า
“พระชายาเข้าครัวด้วยตนเอง คุณทั้งสองต้องดีใจแน่ บ่าวก็จะได้ฉวยโอกาสนี้ เรียนรู้ฝีมือจากพระชายา”
เกี๊ยวน้อยซาลาเปาน้อยตบมือร้องเต้นอย่างดีใจ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยดวงดาวดวงน้อย ส่องประกายระยิบระยับ
แต่นาทีต่อมา ซาลาเปาน้อยกลับไม่รู้เป็นอะไร ถามขึ้นมาอย่างระแวดระวังว่า “ท่านแม่ พูดจริงๆหรือ?”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ เซียงอวี้เซียงเหลียนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
พวกนางรู้เป็นอย่างดี ช่วงนี้หนานหว่านเยียนงานยุ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ก็รู้ว่า พวกคุณหนูคิดถึงและรอคอยการดูแลเอาใจใส่จากหนานหว่านเยียนอย่างมาก
ยังไงก็ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ต้องการให้แม่เอาใจใส่
หนานหว่านเยียนยิ่งรู้สึกถูกโจมตีอย่างยับเยิน ราวกับคลื่นซัดรุนแรง เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อทั้งสองพี่น้อง
นางผงกหัว บีบแก้มกลมของทั้งสองพี่น้อง พร้อมพูดขึ้นว่า “แน่นอน ครั้งนี้ต่อให้มีดาบหล่นมาจากฟ้า แม่ก็จะทำตามคำพูด”
ในเมื่อออกไปไม่ได้ งั้นก็อยู่ในจวนกับลูกอย่างมีความสุข พักผ่อนคลายสักพัก
เกี๊ยวน้อยขมวดคิ้ว โบกมือพร้อมพูดขึ้นว่า “เพ้ยๆเพ้ย ดาบหล่นมาจากฟ้าอะไร ขนมสายไหมตกลงมาสิถึงจะถูก หวานๆนุ่มๆ เหมือนอย่างตอนนี้”
ซาลาเปาน้อยก็ยิ้มหวาน ใช้แขนทั้งคู่วาดรูปวงกลมโตๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ต้องตกลงมาใหญ่…..ขนาดนี้ ถึงจะเพียงพอการแสดงออกถึงความดีใจของเราสองคนพี่น้อง”
ความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ทั้งสองพี่น้องแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกไป
“ดี” หนานหว่านเยียนลุกขึ้น บิดข้อมือให้เรียบร้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “ในเมื่อลูกสุดที่รักอยากทาน งั้นข้าก็จะแสดงฝีมือ เซียงเหลียน ไปบอกห้องครัว พวกเขาไม่ต้องเตรียมอาหารค่ำ”
“เซียงอวี้ เจ้าไปบอกทุกคน เย็นนี้ข้าจะทำของอร่อย เชิญทุกคนรับประทานร่วมกัน บอกท่านน้าข้าด้วยนะ”
“เพคะ พระชายา” เซียงอวี้ผงกหัวถี่รัว รีบแยกทางกันกับเซียงเหลียน ไปจัดการตามคำสั่งอย่างมีความสุข
หนานหว่านเยียนพาลูกทั้งสองคนเล่นซ่อนแอบอยู่ในลาน
เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยไม่ได้เล่นสนุกแบบนี้มานานมากแล้ว
สามแม่ลูกเล่นกันจนเหงื่อแตก สนุกสนานมีความสุขมาก
แต่ซาลาเปาน้อยก็อดคิดไม่ได้ว่า คืนนี้ทุกคนจะได้ทานข้าวด้วยกันแล้ว แต่ไม่ได้เรียกท่านพ่อนิสัยไม่ดี
ไม่รู้ว่าหากเขารู้ภายหลัง จะ…..โกรธไหม?