ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 383 หนานหว่านเยียน เข้ามานี่
หนานหว่านเยียนตกตะลึง
ทันใดนั้น มีเสียงพิณที่แผ่วเบาเสนาะหูดังมาจากศาลากลางทะเลสาบ
หนานหว่านเยียนเหล่มองไปตามทิศทางของเสียงพิณ
ในศาลากลางทะเลสาบที่อยู่อีกแห่งหนึ่ง กู้โม่หานสวมเสื้อคลุมสีดำ ขนตาของเขาปรือลงครึ่งหนึ่ง เส้นผมปลิวไสวไปตามสายลมอยู่หลังศีรษะ นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องร่ายรำบนสายพิณ ดูสง่างามยิ่งนัก
ลูกสาวคนโตของนางยืนอยู่ข้างกายกู้โม่หาน มือทั้งสองเท้าแก้มมองมาที่นาง
เสียงพิณมีเสน่ห์ไม่สิ้นสุด ยาวนานลึกซึ้ง
หนานหว่านเยียนยืนใจลอยตกตะลึงอยู่กับที่
ยามกู้โม่หานดีดพิณเขาดูแตกต่างออกไปมากขฌ ไม่มีรัศมีความชั่วร้ายที่อาฆาตเด็ดเดี่ยวและท่าทีครอบงำเหมือนปกติ สีหน้าของเขาดูอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชามีความจริงจัง
เมื่อเพลงจบลง กู้โม่หานค่อยๆ ถอนมือขึ้น ลุกขึ้นยืน มองไปที่หนานหว่านเยียน “มัวยืนอึ้งอะไรอยู่ มานี่สิ”
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยได้ยินดังนั้นก็ตะลึง
พวกนางไม่เข้าใจเสียงสัมผัสทางดนตรี แต่รู้สึกได้ว่าเพลงที่กู้โม่หานเล่นเมื่อครู่นั้นไพเราะมาก
เกี๊ยวน้อยกลับมาตั้งสติได้ก่อน วิ่งออกจากศาลากลางทะเลสาบไปจูงมือหนานหว่านเยียน พานางเดินไปหากู้โม่หานหญ “ท่านแม่!”
ซาลาเปาน้อยก็ตั้งสติได้เช่นกัน รีบผลักหนานหว่านเยียนให้เดินไปหากู้โม่หาน “เพลงนี้เล่นได้ไพเราะมาก! ท่านแม่ ท่านแม่ว่ายังไง?”
หนานหว่านเยียนถูกเด็กน้อยสองคนพาไปอยู่ตรงหน้ากู้โม่หาน ซาลาเปาน้อยยังจงใจผลักนางไปหากู้โม่หานด้วย
หนานหว่านเยียนชำเลืองมองเจ้าตัวเล็ก จากนั้นมองดูการจัดเตรียมที่หวานชื่นและเสียงพิณที่ไพเราะ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกไม่ปกติ
นางกระแอมไอ แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “มองไม่ออกเลยว่าท่านทำแบบนี้เป็นด้วย ข้านึกว่าเทพสงครามรู้แต่เรื่องปืนผาหน้าไม้เท่านั้น”
กู้โม่หานเห็นหนานหว่านเยียนตรงหน้าแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ เขาแย้มริมฝีปากบาง พลางจับมือเรียวบางของนางขึ้นมา
“ข้าทำอะไรเป็นหลายอย่าง พระชายาอย่ามองคนอย่างอคติ ค่อยๆ ทำความเข้าใจ กาลเวลาข้างหน้ายังอีกยาวนาน”
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยยืนอยู่ข้างหลังทั้งสอง ยิ้มอย่างมีความสุข
หนานหว่านเยียนชักมือกลับทั้งโกรธทั้งอาย พลางพูดพึมพำ
“ใครอยากจะอยู่กับท่านไปอีกยาวนาน แต่ว่า ไม่เคยเห็นท่านดีดพิณมาก่อน ใครเป็นคนสอนท่านหรือ?”
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นางก็ไม่รู้ว่ากู้โม่หานมีทักษะนี้ด้วย
กู้โม่หานหันหลังให้เอามือไพล่หลังชมผิวน้ำมีระลอกคลื่นเล็กๆ ระยิบระยับ สายตาทอดออกไปไกล
“ข้าเรียนรู้เอง เพราะเสด็จแม่ชอบฟังดนตรีเครื่องสาย ตอนแรกที่ข้าฝึกพิณ เสด็จแม่ยังไม่เกิดเรื่อง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานหว่านเยียนก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์ภายในใจ
ริมฝีปากบางของชายหนุ่มปิดลง “ในตอนนั้น ข้าฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน เพื่อเขียนเพลงให้เสด็จแม่ด้วยตัวเอง แล้วเล่นให้นางฟัง”
“เมื่อครู่เพลง ‘คิดถึงบ้าน’ ที่เจ้าได้ฟัง เป็นเพลงที่ข้าใช้เวลาว่างจากการยึดดินแดนคืนเขียนขึ้นมาญห หลังจากชนะสงครามกลับมา ข้าก็รีบวิ่งหอบพิณไปหาเสด็จแม่ แต่ลืมไปว่า นางไม่ได้ยินเสียงพิณของข้ามานานแล้ว…”
สิ่งที่ยากจะยอมรับมากกว่าการจากกันชั่วนิรันดร์ เกรงว่าจะเป็นการที่คนเรายังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่สามารถตอบโต้อะไรท่านได้เลย
ไม่รู้ว่าตอนแรกหยีเฟยประสบอุบัติเหตุได้อย่างไร หลายปีมานี้กู้โม่หานคงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก…
หนานหว่านเยียนหลุบตาลงอย่างลุ่มลึก ไม่รู้ว่าเพราะเห็นอกเห็นใจชีวิตที่ขมขื่นของกู้โม่หาน หรือว่าอย่างอื่น
นางถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เสด็จแม่ของท่านต้องดีขึ้น ไม่มีลืมเลือน ต้องขานรับ นางต้องได้ยินเสียงพิณของท่านอีกแน่”
สายตาของกู้โม่หานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็กอดนางไว้
คนในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อตามสัญชาตญาณ เขากระซิบข้างหูนางเบาๆ “ข้าแค่อยากกอด”
เดิมทีหนานหว่านเยียนต้องการผลักเขาออกไป แต่แล้วก็ทนห้ามใจไม่ไหว คิดๆ ดูแล้ววางมือลง ตอบเสียงแผ่วเบา “อืม”
แค่ครั้งนี้เท่านั้น ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนขอบคุณที่เขาดีดพิณให้ฟัง
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยจับมือกันแน่นด้วยความดีใจ ดวงตากลมโตทั้งสองจับจ้องกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนไม่วางตา รู้สึกประสบความสำเร็จ
ฮือฮือฮือ ความพยายามของพวกนางไม่สูญเปล่า!
หากท่านแม่คืนดีกับท่านพ่อได้ บางทีอาจไม่ต้องจากไปแล้ว
แต่วินาทีถัดมา เสียงอันวิตกกังวลก็ไล่หิ่งห้อยในศาลากลางทะเลสาบกระเจิดกระเจิง ความงดงามทั้งหมดพังทลายลงในทันที
“ท่านอ๋อง! องครักษ์เสิ่นถูกลอบสังหาร เป็นตายเท่ากัน!”
เสิ่นอี่ว์ถูกลอบสังหารหรือ?!
กู้โม่หานผละจากหนานหว่านเยียนบภ แล้วมองผู้ที่เข้ามา “เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย เสิ่นอี่ว์เป็นอะไร?”
เขาให้เสิ่นอี่ว์ไปสืบว่าใครอยู่เบื้องหลังการกระพือข่าวว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกนอกสมรส หรือว่าเสิ่นอี่ว์จะสืบได้แล้ว คนผู้นั้นจึงส่งมือสังหารมาฆ่าปิดปาก?
ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มเย็นชาลงเรื่อยๆ คิ้วและดวงตาอันลุ่มลึกถูกสลักด้วยไอน้ำแข็ง
เด็กน้องทั้งสองและหนานหว่านเยียนก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน
องครักษ์มีสีหน้าร้อนใจ ตอบด้วยความเคารพ “ทูลฝ่าบาท มีมือสังหารบุกเข้าไปในเรือนจู๋หลาน องครักษ์เสิ่นต้องการช่วยชีวิตคนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป พ่อบ้านกาวก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน มือสังหารถูกสอบสวนแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวใดๆ ในตอนนี้ ทูลเชิญฝ่าบาทรีบกลับจวนเพื่อควบคุมสถานการณ์!”
เรือนจู๋หลาน?
เมื่อหนานหว่านเยียนจับข้อมูลสำคัญนี้ได้ นางก็ขมวดคิ้วทันที
เสิ่นอี่ว์ไปอยู่ในเรือนจู๋หลานได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกลอบสังหารด้วย…