ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ ตอนที่ 409 เจ้ามีแผนอะไรกันแน่
สายตากู้โม่หานหรี่ลงซ่อนความดุร้าย รอบกายแผ่ไอเย็นเขย่าขวัญ แต่เขายังคงนิ่งเฉย จ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของจวนกั๋วกง
“รอดูก่อน”
อวี๋เฟิงร้อนรน ทำไมวันนี้ท่านอ๋องถึงสงบนิ่งเช่นนี้
หรือท่านอ๋องคิดว่าพระชายาแก้ไขเรื่องนี้เองได้
แต่เมื่อก่อนพระชายาเป็นคนไร้ประโยชน์จริง ถูกคุมขังในเรือนเย็นห้าปี ตอนนี้มีความรู้มากมาย แต่นอกจากคนในจวนที่เป็นพยานได้ ใครยังจะเชื่อพระชายาอีก
คุณชายจางนั้นถูกฮูหยินกั๋วกงเชิญมา ต้องมีความสามารถแน่ ทุกคนคงเชื่อเขาแน่นอน!
และเซียงอวี้กับหยุนเหิงแทบจะคลั่งแล้ว มองทางหนานหว่านเยียน “พระชายา…”
หนานหว่านเยียนสงบนิ่งมาก มองทางคุณชายชุดม่วง
คุณชายจางผู้นี้น่าสนใจจริงๆ จดชวเลขก็เก่งขนาดนั้น เซียงอวี้เพิ่งแค่ครั้งเดียว ไม่คิดว่าเขาจะจำทั้งหมดได้ ทั้งเข้าใจความหมาย และท่วงทำนองของคำด้วย
แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้าพูดโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย ว่าเขาเป็นคนแต่งบทกวีของซูซื่อผู้ยิ่งใหญ่
คนที่ไร้ยางอายเช่นนี้ นางเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก ขนาดนางยังไม่กล้าบอกว่านางเป็นคนเขียนเลย เพราะงั้นจึงจงใจลงนามนักกวีไว้ตอนท้ายของแต่ละบทกวี
แต่เขาเอ่ยโดยตรงว่าทั้งหมดนี่คือผลงานที่ยากลำบากของเขา ทั้งฉวยโอกาสรังแกนาง ด่าทอนาง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
“เจ้ากล่าวว่าข้าลอกงานเจ้า ข้าว่าเจ้าปั้นน้ำเป็นตัว เถียงข้างๆ คูๆ!”
คุณชายจางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “พระชายา วันนี้ฮูหยินกั๋วกงอยู่ที่นี่ ทั้งปัญญาชนผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมากมายต่างกำลังมองดูอยู่ ท่านอย่าได้สำบัดสำนวนอีกเลย มันน่าละอายจริงๆ ข้าจะพูดอีกครั้ง นี่คืองานชิ้นเอกที่ข้าเขียนมาอย่างยากลำบาก ท่านไม่เพียงแต่ชี้แจงที่มาไม่ได้ ยังเพิ่มนามแฝง ‘ซูซื่อ’ อะไรนั้นส่งเดชฉีกหน้าข้าอีก ช่างเป็นสิ่งน่าอับอายของปัญญาชน!”
ทันใดนั้น คนอีกครึ่งหนึ่งก็แตกฮื่ออีกครั้ง
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกับหนานชิงชิงเห็นสายตาของผู้คนต่างดูแคลนหนานหว่านเยียน ส่งเสียงซุบซิบรังเกียจต่างๆ นานา ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
เหอะ ต่อให้หนานหว่านเยียนจะมีความสามารถจริงๆ ก็ไม่มีใครเชื่อถือ เพราะชื่อเสียงของนางแย่เกินไปไง!
และพวกนาง ก็ไม่มีทางให้หนานหว่านเยียนได้หน้าได้ตา โด่งดังไปทั่วแน่!
เยี่ยมมาก คุณชายจางผู้มีตาหามีแววไม่มาจากไหน ถึงกล้ากล่าวว่านามของซูซื่อผู้ยิ่งใหญ่เป็นการดูถูกเขา?
วันนี้นางจะต้องใช้พลังอำนาจของเหล่าบุคคลสำคัญให้เป็นประโยชน์ แฉกลโกงของเขา ช่วยล้างแค้นให้เหล่าบุคคลสำคัญกับตนเอง!
หนานหว่านเยียนเย้ยหยัน นัยน์ตาสุกสกาวประกายแววเย็นชา
“ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าข้าลอกเจ้า งั้นตอนนี้ เจ้าสุ่มกำหนดหัวข้อที่เจ้าไม่เคยเขียนสักอัน แข่งแต่งบทกวีกับข้าสักรอบ ข้าจะให้เจ้าแต่งก่อน เพื่อไม่ให้เจ้าพูดใส่ร้ายว่าข้าลอกอีก”
คุณชายจางก็ไม่อ่อนข้อ “ข้าน้อยรับคำท้า!”
การแต่งบทกวีสด ยกเว้นอ๋องเจ็ดกับหนานชิงชิงที่สู้ไม่ได้ ก็ไม่มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว
แต่คนคนนั้นบอกว่า ชื่อเสียงหนานหว่านเยียนไม่ดี ต่อให้ทำผลงาน ออกมาได้ดี เพียงแค่มีคนใส่ร้าย ก็ไม่มีใครเชื่อว่านางมีพรสวรรค์จริงๆ
และผลงานชิ้นเอกที่เขียนนาง ก็กลายเป็นของเขาทั้งหมด! เขาจะต้องโด่งดังไป ได้รับความสนใจ!
เขามองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่หนึ่งเอ่ยว่า “งั้นก็ใช้กลุ่มผีเสื้อสองสามตัวในเรือนนี้ เป็นหัวข้อ”
“งั้นก็เชิญคุณชายจางเริ่มเถอะ” หนานหว่านเยียนหัวเราะเยาะ นัยน์ตานิ่งสงบ
ขณะนั้น ความสนใจของทุกคนต่างพลุ่งพล่าน
ต้องรู้ว่าการประชันบทกวีสดเช่นนี้ ไม่ใช่จะพบเจอที่ไหนก็ได้!
คุณชายจางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างทรงพลัง พลางเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
เวลาแต่ละวินาทีผ่านไป ใกล้จะครึ่งก้านธูปแล้ว ในที่สุดเขาก็ขยับริมฝีปาก “ตาปีกงดงามส่งวสันต์มา สวยสด…”
เพิ่งพูดได้ประโยคหนึ่ง เขาก็หยุดค้าง ขมวดคิ้วครุ่นคิด
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงแต่งกวีออกมาได้บทหนึ่ง
“ไม่เลว” กู้โม่หลิงพยักหน้า แสดงความคิดเห็นตามความเป็นจริง “ท่วงทำนองได้แล้ว แต่วาทศิลป์ไม่สง่างามพอ เสียงสัมผัสก็ไม่ประณีตนัก คงเพราะเร่งรีบเกินไป แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็แต่งกวีออกมาได้เช่นนี้ ก็ไม่เลวนัก”
คุณชายจางผู้นั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ประสานมือให้หนานหว่านเยียน “พระชายา ตาท่านแล้ว”
หนานหว่านเยียนที่สวมชุดสีแดงสดดูเร่าร้อนโอหังท่ามกลางแสงแดด “ในเมื่อคุณชายจางกล่าวว่าข้าลอกเจ้า งั้นคนที่แต่งผลงานชิ้นเอกสิบบทออกมาได้ ก็น่าจะแต่งได้มากกว่านั้นนะ ไม่คิดว่าเวลาหนึ่งก้านธูป จะคิดตั้งนานได้มาแค่หนึ่งบท”
“หากเจ้าคิดไม่ออกจริงๆ งั้นข้าจะเริ่มให้…ยามบุปผาโหมโรงไออุ่นเมฆาวสันต์ ฉากบังลมฉลุกระดองเต่าพริ้งเพรา ผีเสื้อบูรพาโผบินประจิม ยุวชนขี่ม้าขาวหวนคืนวันนี้”
บางคนตอบสนองกลับมา อุทานตกใจทันที “แม่เจ้า ยอดเยี่ยมมาก พระชายาไม่ได้ครุ่นคิดเลย แต่งออกมาโดยตรง! ทั้งยังเป็นบทกวีที่ดี!”
แม้แต่กู้โม่หลิงก็ตกใจเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย “ดี ช่างเป็นบทกวีที่ดีจริงๆ!”
เทียบกับที่คุณชายจางแต่งเมื่อครู่ ช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน!
จู่ๆ หนานหว่านเยียนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“แลโบตั๋นหน้ากระไดเศร้าสร้อย ครั้นพลบค่ำเพียงสองดอกคงพลิสะพรั่ง รำพึงวันรุ่งยามลมกระโชกมวลผกาคงปลิวหายไป คืนราตรีข้าเวทนาเหล่ามวลผกาอ่อนแอผันแดงดุจอัคนี จึงถือคบเพลิงและโบตั๋นเอย”
ท่อนแล้วท่อนเล่า ถูกหนานหว่านเยียนพูดออกมาเป็นน้ำไหลไฟดับ…
ทุกครั้งที่นางหยุด หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน แววตายิ่งตกตระหนก ตกใจ จนบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์!
กระทั่งบทกวีทั้งสิบเสร็จสิ้น ทั้งจวนกั๋วกงตกอยู่ในความเงียบสนิท
สิบบทกวีในอึดใจเดียว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ แต่ละบทล้วนสอดคล้องกับหัวข้อ และเป็นบทกวีดี นี่! นี่มัน! นี่มันแทบเป็นการปลิดชีพคุณชายจางเลยนะ!
แม้แต่หนานชิงชิงก็หมดคำจะพูด สีหน้าตะลึงงัน
ทันใดนั้น เสียงเยินยอดังสนั่นจากหลังเรือน
“พระชายาอี้ช่างเป็นปราชญ์กวีมาโปรดจริงๆ! ไม่ว่าท่วงทำนอง เสียงสัมผัส ล้วนสูสีกับสิบบทกวีเมื่อครู่นั้น!”
“ทั้งยังใช้เวลา คิดเร็วกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย! มันใช่เรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้จริงหรือ”
“สุดยอดมาก สุดยอดมากๆ! ทั้งระดับ และฝีมือด้านวรรณกรรม ข้าเลื่อมใสพระชายาอี้จริงๆ เลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง!”
หนานหว่านเยียนไม่สนใจคำเยินยอของคนรอบข้าง จ้องมองคุณชายจาง “เป็นอย่างไร ข้างในนั้น มีบทกวีของเจ้ากับสหายร่วมเรียนของเจ้าหรือไม่”
คุณชายจางอ้าปากหวอด้วยความตกใจ หนานหว่านเยียนมีความสามารถ แต่งบทกวีสด! สิบบทติด! ใครมันจะทำได้กัน? !
แม้แต่อ๋องเจ็ดกับหนานชิงชิงก็ทำไม่ได้!
ยังจะกล้าพูดว่าผลงานของนางเป็นของเขาได้อย่างไร เขาเอาหน้ามาจากไหนกัน
จู่ๆ เขาก็หน้าแดงด้วยความอับอาย “ข้าน้อย…”
หยุนเหิงชี้ทางคุณชายจางเอ่ยว่า “เจ้ามันคนไร้ยางอาย เจ้าอย่าได้บอกว่านี่ก็เป็นเจ้าแต่งล่ะ แล้วทำไมเมื่อครู่เจ้าไม่แต่ง เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังรังแกพระชายา! แล้วตระกูลนักปราชญ์หลายชั่วอายุคนอะไรนั้น หรือการเลี้ยงดูของพวกเจ้าคือการใส่ร้ายป้ายสีคน!”
เซียงอวี้ด่าทออย่างเห็นพ้องต้องกัน “จริงด้วย! เจ้าใส่ร้ายพระชายาเช่นนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่…”