ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 521 ความรู้สึกของเขา
ลงโทษกู้โม่หานหรือหนานหว่านเยียนตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม กลับไม่รู้จะทำยังไง
เวลานี้ ท่านอ๋องเจ็ดกู้โม่หลิงก็คุกเข่าลง เขามองดูกู้จิ่งซาน พร้อมพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า
“เสด็จพ่อ เรื่องลอบฆ่าในทะเลสาบเนี่ย ท่านพี่หกไม่ได้เตรียมการปกป้องเป็นอย่างดี ถือว่ามีความผิด แต่ทูตแคว้นเทียนเซิ่งก็ไม่ได้ถือสาว่าความ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นำมาใส่ใจ”
“ตอนนี้พวกทูตยังอยู่ในแคว้นซีเหย่ ต่อจากนี้ยังมีกิจกรรมทำความร่วมมือกันอีกไม่น้อย หากเสด็จพ่อปรับเปลี่ยนไท่จื่อในตอนนี้ เป็นการทำให้แคว้นเทียนเซิ่งเข้าใจแคว้นซีเหย่ผิดไปว่า สภาพจิตใจประชาชนไม่มั่นคง ขอเสด็จพ่อ ให้โอกาสท่านพี่หกอีกครั้ง”
กู้โม่หานกวาดสายตามองดูกู้โม่หลิง อย่างไม่พูดไม่จา
กู้จิ่งซานได้ยินแบบนี้ ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย สีหน้าก็ค่อยๆดีขึ้นไม่น้อย
โชคดีที่เขายังมีเจ้าเจ็ด ไม่มีความคิดเจ้าเล่ห์เป็นอื่น ทำตามที่เขารับสั่งทุกอย่าง
มีกู้โม่เฟิงกับกู้โม่หลิงเป็นคนนำ เหล่าขุนนางก็พูดร้องขอแทนกู้โม่หานอีกครั้ง
สีหน้าชี่กุ้ยเฟยเป็นปกติ จ้องมองดูทุกคนในห้องโถง แล้วก็มองดูกู้โม่เฟิงที่กำลังคุกเข่าอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังและลึกซึ้ง
มีเหล่าขุนนางร้องขอ ต่อให้เป็นกู้จิ่งซาน ก็จำใจต้องปล่อยไป
ถึงแม้ในใจของเขาจะเกลียดชังกู้โม่หาน แต่กู้โม่หานเป็นที่ถูกใจของทุกคน เผชิญหน้ากับนักฆ่า เขาก็ปกป้องฉินอี้หรานสองพี่น้องได้เป็นอย่างดี ไม่มีเหตุผลที่จะลงโทษสถานหนัก
ตอนนี้กู้โม่หลิงช่วยพูดให้กับเขาแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมา ด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหก วันนี้ข้าไม่ลงโทษเจ้าก็ได้”
“แต่ก่อนที่ทูตของแคว้นเทียนเซิ่งจะกลับไป เจ้าต้องลากตัวคนที่อยู่เบื้องหลังสำนักอู๋หยิ่ง มาตรงหน้าให้ข้าสอบสวนด้วยตนเอง ไม่อย่างงั้น ข้าจะลงโทษเจ้าสถานหนัก”
กู้โม่หานพูดขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น ราวกับน้ำแข็งว่า “ลูกน้อมรับคำสั่ง”
กู้จิ่งซานมองเมินหนานหว่านเยียนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรมากอีก แล้วก็พูดกับทุกคนว่า “พรุ่งนี้ ข้าจะเชื้อเชิญทูตของแคว้นเทียนเซิ่ง จัดงานแข่งขันเตะบอลในพระราชวัง วันนี้พวกเจ้าพักอยู่ในวัง ในขณะนั้น ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อย่าทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นแตกร้าวอีกเด็ดขาด”
พูดเสร็จ เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
เหลือเพียงทุกคนในห้องโถง ที่ต่างพูดขึ้นมาอย่างเสียงดังว่า “ขอรับ”
ฮ่องเต้ไปแล้ว ทุกคนต่างก็ค่อยลงออก แล้วก็ต่างพากันแยกย้าย
กู้โม่หลิงก็ตามชี่กุ้ยเฟยออกไปก่อนแล้ว
ส่วนกู้โม่เฟิงหันไปมองกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียน อยากพูดว่าอะไรบ้าง กลับเห็นหลี่หมัวมัวในตำหนักไทเฮาเดินมา อารมณ์ในสายตาเขาจางหายไป ไม่พูดว่าอะไรอีก พร้อมหันเดินจากไป
กู้โม่หานจูงมือหนานหว่านเยียน เดิมอยากไปพูดคุยกับกู้โม่เฟิง กลับถูกหลี่หมัวมัวรั้งไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีก กู้โม่เฟิงก็ไปแล้ว
เอาขมวดคิ้ว มองดูหลี่หมัวมัว
“หลี่หมัวมัว ท่านมาได้อย่างไร?”
หลี่หมัวมัวเห็นกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนต่างไม่เป็นไร จึงค่อยโล่งอก ตั้งใจทำเสียงสูง หันไปพูดกับทั้งสองคนว่า
“บ่าวถวายบังคมท่านอ๋องพระชายา คือว่า หลายวันมานี้สุขภาพไทเฮาค่อนข้างดีขึ้น สั่งให้บ่าวชงชาผูหย่าให้ทุกวัน แล้วนี้ เมื่อสุขภาพดีแล้ว ก็กระปรี้กระเปร่าสดชื่นแจ่มใสขึ้นมา”
“วันนี้ไทเฮาเหนียงเหนียงได้ยินท่านกับพระชายาเข้าวัง จึงรีบให้บ่าวมาตามท่านทั้งสองไปเข้าเฝ้า บอกว่าอยากจะคุยกับท่านกับพระชายาเรื่องฤทธิ์ยาอันอัศจรรย์ของชาผูหย่า”
เกรงว่าคงไม่แค่นั้นแน่
ที่นี่เป็นตำหนักหย่างซิน ล้วนเต็มไปด้วยเป็นคนของกู้จิ่งซาน หลี่หมัวมัวร้องพูดแบบนี้ จะต้องเป็นความจงใจอย่างแน่นอน ต้องการที่จะยับยั้งความสงสัยของฮ่องเต้
ไทเฮาต้องมีเรื่องสำคัญ
กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนมองตากัน แล้วต่างก็รู้ขึ้นมาทันที
หนานหว่านเยียนก็ไม่ถามกู้โม่หาน ทำไมเมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องโถงถึงได้พูดจาเฉียบคม เป็นเพราะเตรียมความพร้อมแล้วใช่ไหม กลับผงกหัวอย่างยิ้มแย้ม แล้วก็ควงแขนกู้โม่หานไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ข้ารู้แล้ว ข้ากับท่านอ๋องจะตามท่านไปเดี๋ยวนี้ จะได้ตรวจชีพจรให้กับเสด็จย่าด้วย”
กู้โม่หานถูกนางควงแขนไว้แบบนี้ ร่างกายแข็งทื่อพร้อมหันไปมองนาง อย่ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดอะไร จึงพูดขึ้นมาเพียงว่า
“ไปเถอะ ไปพบเสด็จย่า”
หนานหว่านเยียนพูดตอบว่า “อืม”
ทั้งสามคนเดินมุ่งไปยังตำหนักของไทเฮา
“ท่านอ๋อง พระชายา เชิญ” ผ่านไปสักพัก หลี่หมัวมัวพาทั้งสองคนมาถึงตรงหน้าไทเฮาแล้ว ตนเองก็ปิดประตูอย่างเงียบๆ แล้วถอยออกไป
หนานหว่านเยียนมองไปในห้อง เห็นไทเฮากำลังหลับตานวดขมับอยู่ ได้ยินความเคลื่อนไหว นางจึงลืมตาขึ้นมา เห็นทั้งสองสามีภรรยาควงแขนกัน ท่าทีสนิทสนมกันอย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะสบายใจขึ้นเยอะเลย
“เยียนเอ๋อร์กับเจ้าหกมาแล้ว” นางตบที่นั่งด้านข้าง พร้อมพูดขึ้นว่า “มา พวกเจ้ารีบมานั่ง”
หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานเดินไปข้างหน้า นั่งลงด้านข้างไทเฮา หนานหว่านเยียนกำลังจะพูดขึ้นมา กลับเห็นไทเฮาส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้ารู้ว่าที่ฮ่องเต้เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้นั้น เพื่ออะไร”
ทูตถูกลอบทำร้าย เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้ไม่สร้างความลำบากใจให้กับกู้โม่หาน นางล้วนเข้าใจ
เดิมยังวางแผนไว้ว่า หากครั้งนี้กู้โม่หานจัดการไม่ได้ นางก็จะไปด้วยตนเองสักครั้ง พูดขอร้องต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยตนเอง แต่หลี่หมัวมัวกลับไม่สามารถพาคนมาหานาง แสดงว่าเรื่องราวเป็นไปอย่างเรียบร้อย
ไทเฮาพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ เห็นได้ชัดว่า จากครั้งที่แล้วที่นางถูกลอบทำร้าย ก็เริ่มป้องกันตัวจากกู้จิ่งซานบ้างแล้ว
กู้โม่หานขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นที่เสด็จย่าตามพวกเรามา ก็เพื่อเรื่องนี้หรือ?”
ไทเฮาผงกหัว นางดึงมือของหนานหว่านเยียนมาจับไว้ สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวล
“พวกเจ้าบอกข้ามาก่อน ในทะเลสาบเนี่ยวันนั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่ และคนที่อยู่เบื้องหลัง เป็นสำนักอู๋หยิ่งจริงหรือ?”
หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานอึ้งไปพร้อมกัน ทั้งสองต่างตกใจในความรอบคอบของไทเฮา
แต่ในขณะเดียวกัน ทั้งสองคนต่างก็ลังเลอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าจะพูดกับไทเฮายังไงดี
กู้จิ่งซานเป็นลูกชายของนาง หากนางรู้ความจริง เหล่าไท่ไท่จะสามารถรับได้จริงๆหรือ?
ไทเฮาดูออกว่าทั้งสองคนลำบากใจ จึงผงกหัวอย่างใจกว้าง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าอายุขนาดนี้แล้ว มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่เคยผ่านมาบ้าง พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล พูดมาได้เลย”
สายตากู้โม่หานเยือกเย็นลง สุดท้ายเขาก็เล่าทุกอย่างให้ไทเฮาฟัง รวมทั้งเรื่องป้ายคำสั่งเสวียนอู่ด้วย
หนานหว่านเยียนมองดูท่าทีไทเฮา จากหนักอึ้งกลายเปลี่ยนเป็นไม่คาดคิด จนถึงโกรธโมโหเจ็บปวด
ไทเฮาตบโต๊ะอย่างแรง ใบหน้าแดงก่ำไปหมด สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและผิดหวังในตัวกู้จิ่งซาน พร้อมพูดขึ้นว่า “บ้าไปแล้ว เขาบ้าไปแล้วจริงๆ”
กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนไม่พูดอะไร ทั้งสองคนต่างรู้ดีแก่ใจว่า ตอนนี้ไทเฮารู้สึกยังไง
ยังไงตอนนั้นพวกเขาก็เป็นแบบนี้
ไทเฮาโกรธโมโหอย่างมาก แต่จู่ๆ เหมือนนางจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ค่อยๆสงบสติลง แล้วหันไปมองกู้โม่หานกับหนานหว่านเยียน
“เจ้าหก ข้าคิดอยากให้เจ้ากับเยียนเอ๋อร์ดีกันมาตลอด เพราะข้าหวังว่ารอเมื่อเจ้ามีอำนาจมีชื่อเสียงแล้ว แก่ตัวแล้ว จะมีคนรักเดียวใจเดียวต่อเจ้า เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้า”
“เสด็จพ่อของเจ้า กระทำเรื่องผิดอย่างมากมาย และไม่รู้จักรักษาคนที่อยู่ข้างกาย ทำให้กระทำผิดแล้วผิดเล่า ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินซ้ำทางเดินของเขา”
ได้ยินแบบนี้ กู้โม่หานรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ แล้วก็หันไปมองหนานหว่านเยียนที่ตั้งใจมองไทเฮาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ตอนนี้เขารู้ใจตัวเองแล้ว ถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะซับซ้อนไม่สงบสุข แต่เขาจะรู้จักรักษาทะนุถนอมคนที่อยู่ข้างกายเขา
กู้โม่หานก้มหน้าก้มตา พร้อมพูดตอบรับว่า “ขอรับ หลานเข้าใจ”
ไทเฮาเห็นว่าวันนี้เขาเชื่อฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้ม นางมองดูหนานหว่านเยียนอย่างรักใคร่
“ข้ารู้สึกกระหายแล้ว เยียนเอ๋อร์ ช่วยรินน้ำชามาให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ผงกหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้เพคะ”
นางหันไปที่โต๊ะด้านข้าง เห็นว่าน้ำชาเย็นแล้ว จึงเตรียมที่จะไปหาหลี่หมัวมัวที่อยู่ด้านนอก
รอเมื่อหนานหว่านเยียนออกไปแล้ว ไทเฮาก็หันมามองกู้โม่หานด้วยสีหน้าหนักแน่น พร้อมกระซิบพูดขึ้นมา
ทันใดนั้น สายตากู้โม่หานสั่นไหวอย่างรุนแรง มองดูไทเฮาอย่างไม่อยากเชื่อ…..