ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 559 เสด็จพ่อผู้ไม่เอาไหน
จวนอี้อ๋อง ณ เวลานี้
หลังจากที่หนานหว่านเยียนตื่นจากบรรทมแต่เช้า ก็ไปรักษาหยีเฟย
ไม่กี่วันก่อนหน้า นางได้ฝากให้คนทำเก้าอี้รถเข็นให้หยีเฟยตัวหนึ่ง ตั้งใจว่าจะสามารถพาหยีเฟยออกไปเดินเล่นได้บ่อยๆ ให้นางได้รับสิ่งเร้าจากภายนอกบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูเรื่องภาษาและการเคลื่อนไหวของนาง
ทั้งนางและหวางหมัวมัวเข็นหยีเฟยที่อยู่บนเก้าอี้รถเข็นไปพักผ่อนที่สวนหลังบ้าน
หนานหว่านเยียนรู้ว่าหวางหมัวมัวเป็นห่วงนาง จึงพูดกับหวางมัวมัวอย่างเบาๆ ว่า “หมัวมัว เจ้าพูดคุยเรื่องท่านอ๋องกับเสด็จแม่เยอะๆก็ได้นะ หากเป็นเช่นนี้คงจะพอที่จะกระตุ้นประสาทของพระองค์ได้ คงช่วยในเรื่องฝึกฝนและฟื้นฟูการพูดของนางได้บ้าง ”
“เพคะ บ่าวรับทราบเพคะ” หวางหมัวมัวก้มหน้า และสีหน้าดูประทับใจขึ้นเล็กน้อย
จากการรักษาของพระชายาในสองสามวันนี้ หยีเฟยก็สามารถเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆได้บ้างแล้ว
เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ยังไม่สามารถพูดออกมาได้
แต่นับจากครั้งก่อน หลังจากที่นางได้ “เชิญ” พระชายาออกเรือนจิ้งฉาน ดูเหมือนกับว่าหยีเฟยไม่ได้แสดงกริยาที่รุนแรงต่อพระชายาขนาดนั้นแล้ว แค่ยังคงจ้องมองพระชายาไม่หยุดทุกวัน
นางตบที่นอนเป็นบางครั้ง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่านางกำลังจะทำอะไร
วันนี้ จู่ ๆ พระชายาก็พูดขึ้นมาจะพานางออกไปเดินเล่น นางพูดว่าเช่นนี้จะทำให้นางฟื้นตัวเร็วขึ้น นางไม่ได้มีข้อสงสัยใด แล้วก็รีบช่วยพระชายาพาหยีเฟยไปยังเก้าอี้รถเข็น
ทั้งสามคนเดินไปรอบๆ สวน หนานหว่านเยียนเข็นหยีเฟยไปอย่างใจเย็นและไม่พร่ำบ่น
จู่ๆ หวางหมัวมัวก็เกิดความรู้สึกสลดใจขึ้นมา
พระชายาเป็นคนดี เลยรู้สึกเสียดาย ยิ่งพระชายาเป็นคนของจวนเฉิงเซี่ยงด้วย
แต่ไม่นานนางก็ตั้งสติได้ นางย่อตัวลงพร้อมกับกล่าวกับหยีเฟยด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงจำปีที่ท่านอ๋องอายุครบหนึ่งเดือนได้หรือไม่เพคะ ที่เหนียงเหนียงบอกว่ายังไงก็จะพาบ่าวไปด้วย เหนียงเหนียงบอกว่าจะเสด็จไปเก็บดอกพลัมที่สวนดอกไม้เพื่อเอามาวางไว้ที่หัวเตียงของท่านอ๋อง”
“เหนียงเหนียงบอกว่าอยากจะให้ท่านอ๋องเติบโตมาเช่นดอกพลัม ผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้อย่างสวยงาม แล้วยังบอกอีกว่าไม่อยากให้ชีวิตนี้ของท่านอ๋องต้องทุกข์ยากลำบาก”
“แต่ในเมื่อต้องอยู่ในวังแห่งนี้ จะอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไรกัน นับตั้งแต่หลังจากที่เกิดเรื่องกับเหนียงเหนียง ตกค่ำท่านอ๋องก็นอนไม่หลับ อยู่ในวังก็ยิ่งทรมาน บ่าวเห็นแววตาอันแสนเจ็บปวด แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ทุกๆวันทำได้แต่เพียงภาวนาให้ท่านฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน”
“ในปีที่ท่านอ๋องอายุสิบสามขวบ ต้องต่อสู้กับเหล่านักรบในสนามฝึกรบ ร่างกายของท่านอ๋องเต็มไปด้วยความบาดแผลและความเหน็ดเหนื่อย เวลานั้นองค์ชายองค์อื่นๆ ล้วนแล้วแต่มีเสด็จแม่ค่อยดูแลอยู่ข้างกาย แต่ท่านอ๋องกลับอยู่อย่างโดดเดี่ยว ใบหน้ามีเพียงความสับสนและงงงัน”
“จากนั้นท่านอ๋องได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่จากการออกรบ ดีดขิมอยู่บนหัวเตียงท่าน ดนตรีแสนอบอุ่น หนาวเหน็บหัวใจ……”
หวางหมัวมัวพูดจนสะเทือนต่อมอารมณ์ เสียงก็เริ่มแหบและสั่นเครือขึ้นมา
หยีเฟยฟังอยู่อย่างเงียบๆ แล้วดวงตาของนางก็เปียกแฉะขึ้นมา
หนานหว่านเยียนถือโอกาสนี้ออกห่างจากเก้าอี้รถเข็น แล้วหันตัวเดินออกไปด้านนอก
นางรู้ว่าสิ่งเดียวที่สามารถกระตุ้นความรู้สึกของหยีเฟยได้ มีเพียงแค่เรื่องความผูกพันในครอบครัวที่ลึกซึ้งที่สุด ในการฝึกการฟื้นฟูเรื่องภาษานี้นางคงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ นอกเสียจากจะต้องพึ่งหวางหมัวมัวให้ช่วยพูดช่วยทำให้มากๆ
เป็นธรรมดาที่ว่าทำไมนางต้องเร่งรักษาหยีเฟยให้เร็วขึ้น นั่นเป็นเพราะในใจของนางรู้สึกอยู่เสมอว่าการแสดงท่าทีในวันนั้นของหยีเฟยมีอะไรบางอย่างที่จะพูดกับนาง
หากหยีเฟยสามารถพูดได้แล้ว ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดของนางสรุปแล้วจะถูกหรือผิด
ทันทีที่หนานหว่านเยียนเดินออกไป กู้โม่หานก็กลับมา
เขาไม่เห็นหนานหว่านเยียน ตอนที่กำลังเดินเข้าไปใกล้เรือนจิ้งฉาน ก็ได้ยินหญิงรับใช้สองคนที่อยู่บนถนนกำลังกระซิบกระซาบบางอย่าง
“ข้ารู้สึกว่านะถึงแม้เสี่ยวจวิ้นจู่ทั้งสองจะมีชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ก็น่าสงสารมากๆ เลยนะ เจ้าไม่รู้หรอกเหรอ หลายวันนี้ข้าเห็น……”
เกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อยทั้งสองรึ
ขณะนั้น กู้โม่หานเงียบลง เขากำลังจะพูด แต่ก็กลับฟังหญิงรับใช้ทั้งสองพูดต่อ “ข้าเห็นเสี่ยวจวิ้นจู่ทั้งสองอยู่ในจวนอ๋องทุกวัน ข้าเนี่ยรู้สึกอึดอัดแทนพวกนางเลยล่ะ”
“นี่ก็เป็นเทศกาลอีก แล้วพวกนางก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่ด้วย จริงๆนี่เป็นช่วงอายุที่เด็กควรได้ออกไปเล่นบ้าง แต่กลับถูกขังไว้ในจวนอ๋องทั้งวันซะงั้น ไปไหนก็ไม่ได้ ช่วงนี้พระชายากับท่านอ๋องก็ยุ่งอีก แล้วก็ไม่มีเวลาอยู่กับเสี่ยวจวิ้นจู่ทั้งสองด้วยสิ ช่างเวทนาเสียจริงๆ ”
หญิงรับใช้อีกคนรีบปิดปากนาง พลันพูดเสียงเบาๆ “ชู่! อย่าพูดเสียงดังมากนักสิ ถ้าพวกเจ้านายมาได้ยินพวกข้าซุบซิบนินทาลับหลังเดี๋ยวก็โดนลงโทษเอาหรอก!”
“แต่ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ตอนนี้ทุกๆ ที่ในเมืองหลวงครึกครื้นไปเสียทุกที่ ทุกคนต่างก็เตรียมตัวสำหรับเทศกาลโคมไฟกันทั้งนั้น ถ้าเสี่ยวจวิ้นจู่ทั้งสองได้ออกไปเล่นก็คงจะดีใจอย่างแน่นอนเชียวล่ะ”
“ใช่ๆ จริงๆไม่เพียงแค่คุณหนูน้อยทั้งสองเท่านั้นนะ ยังมีพระชายาที่สภาพจิตใจแย่อยู่เรื่อยๆเพราะเรื่องของท่านอ๋องกับพระชายารองหยุนอีก นี่หากพระชายาได้ออกไปทำใจให้สบายๆ ไม่แน่อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาก็ได้นะ”
กู้โม่หานที่แอบฟังอยู่มุมกำแพงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที นัยน์ตาลึกๆก็เกิดโทษตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย
หนานหว่านเยียนสภาพจิตใจไม่ดี เขาเองก็รู้มาตลอด และก็รู้เรื่องที่เขาและหยุนอี่ว์โหรวมีอะไรกัน นี่ได้สร้างผลกระทบที่มีต่อหนานหว่านเยียนไม่น้อยเลยจริง ๆ
ถึงแม้ตั้งแต่ต้นจนจบเขาจะยังไม่เชื่อว่าตัวเองกับหยุนอี่ว์โหรวมีอะไรกันแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถพูดความเป็นจริงที่เป็นอยู่ออกมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะคนเป็นพ่อ ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้ให้การดูแลเด็กน้อยทั้งสองเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังกังวลใจเรื่องหนานหว่านเยียนจิตใจย่ำแย่อีก หลายครั้งที่เดินผ่านเรือนเซียงหลินก็ไม่เคยเดินเข้าไปด้วยซ้ำ
ตอนนี้ แม้แต่คนรับใช้ของจวนอ๋องต่างก็ดูออกว่าเด็กน้อยทั้งสองรู้สึกเบื่อหน่าย เขาเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนเอาเสียเลย
กู้โม่หานเม้มปากแล้วมองไปทางห้องนอนของเสด็จแม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไป แล้วเขาก็หันตัวเดินออกห่าง
สักพัก ในเรือนเซียงหลินก็มีคนรับใช้มาทูลรายงาน
กล่าวว่าวันนี้กู้โม่หานจะพาหนานหว่านเยียนและเด็กน้อยทั้งสองออกไปเที่ยวข้างนอก แล้วให้พวกนางเตรียมตัวไปยังหน้าประตูจวนอ๋อง ท่านอ๋องจะรออยู่ที่นั่น
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วอย่างสงสัย กล่าวตอบคนรับใช้ว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
หมู่นี้กู้โม่หนานน่าจะยุ่งเอาเรื่องเลยมากๆอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับมีเวลาพาพวกนางออกไปเที่ยวได้กันล่ะ?
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดยึดอำนาจแล้วมีอะไรเปลี่ยนไปกันนะ?
เด็กน้อยทั้งสองตื่นเต้นมากๆ เกี๊ยวน้อยตะโกนเรียก “ท่านแม่ๆ ในที่สุดก็ออกไปเที่ยวได้แล้วใช่ไหมเพคะ”
ซาลาเปาน้อยก็ตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน “ดีจริงๆเล้ย!ออกไปกินผลไม้เคลือบน้ำตาลกัน!”
หนานหว่านเยียนเห็นเช่นนี้ก็คิดว่าในช่วงนี้เด็กๆคงจะอยู่ในจวนจนอึดอัดแทบแย่แล้วจริงๆ นางละอายใจและลูบๆปลายจมูกของเด็กน้อยทั้งสอง “เอาล่ะ วันนี้พวกข้าออกไปสนุกกันเถอะนะ”
ในเมื่อกู้โม่หานเป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเอง เขาก็น่าจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว และไม่น่าจะมีอันตรายอะไร
หนานหว่านเยียนพาพวกนางเข้าไปแต่งตัวในห้องครู่หนึ่ง แล้วก็พาเด็กน้อยทั้งสองออกไป
ในเวลานั้น กู้โม่หานก็ยืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกจวน บนตัวคลุมด้วยเสื้อสีดำ ใบหน้าอันงดงาม รูปร่างสูงใหญ่ หล่อจนทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายาไปจากเขาได้เลย
ทั้งเกี๊ยวน้อยและซาลาน้อยต่างก็ตื่นเต้น เท้าน้อยๆ ก็ก้าวไปอย่างรวดเร็ว
กู้โม่หานหันกลับมาก็เห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง
เขาหันไปมองด้านข้างพวกนางอีกครั้ง และไปสบกับดวงตาคู่อันงดงามชวนดึงดูดของหนานหว่านเยียน
หนานหว่านเยียนพาเด็กน้อยทั้งสองมาเดินข้างๆ “ทำไมวันนี้ท่านอ๋องถึงอยากออกไปเที่ยวล่ะเพคะ”
กู้โม่หานโค้งตัว แล้วรับสองพี่น้องเข้าไปยังรถม้า
“ระหว่างเดินทางกลับจวนเมื่อครู่ ข้าได้ยินมาว่าดอกพลัมที่อยู่ข้างทะเลสาบหลิ่วกำลังบานพอดี อีกทั้งยังมีเทศกาลโคมไฟจัดขึ้นอีกด้วย และมีแผงขายประทีปลอยน้ำและปริศนาอักษรหลายร้านอยู่ตั้งอยู่ใกล้ๆ อีก”
“เลยคิดว่าพวกเจ้าอยู่ในจวนอ๋องเสียนานหลายวัน แล้วเด็กน้อยทั้งสองก็อยู่ในวัยกำลังซน ก็ควรจะพาออกไปผ่อนคลายเสียบ้าง”
นี่เป็นความตั้งใจของเขาจริงๆ แต่เขาไม่เพียงแต่อยากจะทำให้เด็กน้อยทั้งสองมีความสุขเพียงเท่านั้น แต่อยากให้หนานหว่านเยียนที่ช่วงนี้กำลังร้อนใจอยู่ได้ผ่อนคลายจิตใจอีกด้วย
พูดจบ เขาก็ยื่นมือไปยังนาง “ขึ้นรถเถอะ……”