ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 565 เนี่ยพาน
วินาทีแรกหนานหว่านเยียนยังไม่ได้สติกลับมา “อ๋อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านกับข้าเป็นคนที่อยู่ยุค……”
เสียงพูดขาดหายไป หนานหว่านเยียนมองดูหยีเฟยอย่างประหลาดใจอย่างยิ่ง
คนที่อยู่ยุคเดียวกัน?!
หยีเฟยเองก็เป็นผู้ข้ามมิติมา?!
หนานหว่านเยียนเข้าใจในทันที ว่าเหตุใดหยีเฟยถึงได้ยินนางพูดแก้วรักษาอุณหภูมิ แล้วตื่นเต้นดีใจเช่นนั้น
ที่แท้ก็เป็นคนที่มาจากที่เดียวกัน!
ทันใดนั้น นางก็น้ำตาเอ่อล้นที่ดวงตาเล็กน้อย แล้วก็จับมือหยีเฟยเอาไว้ “ท่าน ท่านมาจากปัจจุบันจริงๆหรือ? ท่านมาได้อย่างไร?”
หยีเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอกราวกับยกภูเขาออกจากอก “ยี่สิบ กว่าปี ก่อน ข้า……”
หนานหว่านเยียนฟังหยีเฟยเล่าประสบการณ์ชีวิตของนางทีละคำ และอดไม่ได้ที่จะกังวลหยีเฟยอยู่ภายในใจ
ที่แท้หยีเฟยก็คือนักศึกษาปริญญาโทวิชาโบราณคดีที่จบการศึกษาในตอนนั้น ครั้งหนึ่งในระหว่างขั้นตอนสำรวจวัตถุโบราณ ก็บังเอิญข้ามข้ามมิติมาที่นี่ กลายเป็นจวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ย
ต่อมา นางมาอภิเษกสมรสที่แคว้นซีเหย่ แต่งงานกับกู้จิ่งซานที่ยังเป็นท่านอ๋องอยู่
หลังจากนั้น นางก็อยู่กับกู้จิ่งซาน จนกระทั่งเขาขึ้นครองบัลลังก์ และให้กำเนิดกู้โม่หานให้เขา
เรื่องราวหลังจากนั้น หนานหว่านเยียนเองก็รู้ดี
แต่นางมักจะรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ ที่มาอภิเษกสมรสในตอนแรก ใช่จวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ยหรือไม่?
ดูเหมือนจะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นต้าเซี่ยกระมัง?
แต่หนานหว่านเยียนก็ไม่ใช่ว่าเข้าใจเรื่องราวของชาติก่อนมากนัก คิดว่าตัวเองจำผิดแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินหยีเฟยเอ่ยถามนาง “ข้า รู้ว่า เจ้า อยาก ไปจาก โม่หาน ใช่หรือไม่?”
หยีเฟยจ้องหนานหว่านเยียนไม่ละสายตา จิตใจปั่นป่วนอย่างยิ่ง
นางรู้อยู่แก่ใจว่ากู้โม่หานมีความผิด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากช่วยกู้โม่หานเจ้าเด็กบ้านั่น ให้เอาหัวใจของหนานหว่านเยียนคืนมา
บางทีนี่อาจจะเป็นความรับผิดชอบของแม่กระมัง นางมักจะเสียเปรียบลูกอยู่เสมอ
หนานหว่านเยียนประหลาดใจ มองดูหยีเฟยอย่างไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
พวกนางเพิ่งจะเริ่มคุยกัน นางยังไม่ทันพูดเรื่องนี้กับหยีเฟยเลยนะ
เมื่อครู่นี้โม่หลีบอกกับนางแล้ว ว่าหนานหว่านเยียนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับฐานะของตัวเอง หยีเฟยเองก็เอ่ยถึงมากไม่ได้
“ข้า ได้ยิน มาว่า เขา ไม่ดี กับเจ้า ยิ่งนัก”
“เขายัง แต่งงาน กับพระชายารอง รังแกเจ้า! เขามันเลว! เขา! มันสารเลว!”
หนานหว่านเยียนได้ยินหยีเฟยด่ากู้โม่หานอย่างเจ็บแสบเช่นนี้ ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างระบายความโกรธเล็กน้อย แต่หลังหัวเราะไป นัยน์ตาเปล่งประกายคู่นั้นของนาง ก็ปกคลุมไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
“ในเมื่อท่านรู้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังท่าน ตอนนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติตัวกับข้าไม่ดีนัก แต่……ข้าไม่เหมาะสมกับเขา ดังนั้นข้าเลยอยากพาหนูน้อยทั้งสองคนไปจากที่นี่ ไม่กลับมาตลอดกาล”
แม้ว่าในประโยคจะไม่ได้เอ่ยถึงความไม่ดีของกู้โม่หาน แต่หยีเฟยก็รู้สึกได้ถึงความแน่วแน่ของหนานหว่านเยียน
นางเสียใจอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงวันเหล่านั้นที่กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนอยู่ด้วยกัน นางมักจะรู้สึกว่าเจ้าเด็กบ้านั่นน่าจะเสียใจ นางมองดูหนานหว่านเยียนอย่างคาดหวัง “ข้า เข้าใจ แต่ ข้า อยากรู้ ว่า ไม่มี โอกาส เลยสักนิด จริงๆ หรือ?”
“เด็ก นั่น เขา……”
“ขอโทษ เสด็จแม่” หนานหว่านเยียนไม่อยากให้หยีเฟยพูดต่อ
นางมองหยีเฟยด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้าทำไม่ได้”
“ข้าเองก็เป็นแม่ ข้ารู้ว่าเหตุใดท่านถึงรั้งข้าแทนเขา แต่อันที่จริงที่ข้าอยากไปจากที่นี่ กู้โม่หานเป็นเพียงหนึ่งในมูลเหตุเท่านั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาทั้งหมด ข้าแค่ไม่รักเขา อยู่กับคนที่ไม่ได้รักไปชั่วชีวิตมีความทุกข์ใจมากเพียงใด ท่านน่าจะเข้าใจ”
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือลูกทั้งสองของข้า หากเป็นคนของราชวงศ์ก็จะทำได้เพียงผูกมัดอยู่ในที่แห่งนี้เท่านั้น จะไม่สามารถมีอิสรเสรีและความสุขได้อย่างอิสระ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ พออนาคตโตแล้ว ไม่แน่ว่าต้องไปที่ใดเพื่ออภิเษกสมรส เหมือนกับท่านก็ได้”
“ข้าทำไม้ได้ ข้าเห็นแก่ตัวยิ่งนัก ข้าเพียงคิดถึงความสุขของตัวเอง เพียงคิดถึงความสุขของลูกข้า ส่วนคนอื่น ข้าไม่มีเวลาสนใจแล้ว”
หยีเฟยมองดูหนานหว่านเยียนอย่างเงียบสงบเช่นนี้ ทันใดนั้นภายในใจก็เกิดความเศร้ารันทดและความเสียใจเล็กน้อย
นางเข้าใจดี ว่าจะเกลี้ยกล่อมอีกกี่ครั้ง ก็ไม่ช่วยอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้น นางเข้าใจความทุกข์ของหนานหว่านเยียนยิ่งกว่าใครๆ เพราะถึงอย่างไรเสีย นางเองก็เคยหลงรักกู้จิ่งซานอย่างสุดซึ้ง……
นางปล่อยวางแล้ว และเอ่ยขึ้นเบาๆ “อืม ข้า รู้ ความต้องการ ของเจ้า แล้ว ข้าเอง ก็จะ สนับสนุน เจ้า”
หนานหว่านเยียนเห็นหยีเฟยเข้าอกเข้าใจและมีเหตุผลเช่นนี้ ภายในใจก็ยิ้มงามดั่งดอกไม้ขึ้นมาทันที “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เข้าใจ”
หยีเฟยมองดูหนานหว่านเยียน และพยายามยิ้มเช่นกัน
“หว่านเยียน ข้า จะช่วย เจ้า หย่า กับโม่หาน ทำให้ เจ้า กับหลาน ทั้งสอง ไปได้ อย่าง ราบรื่น ที่สุด”
เมื่อครู่นี้ โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงอธิบายแผนง่ายๆ กับนางแล้ว นางเองก็ตัดสินใจเข้าร่วมเช่นกัน
ในเมื่อเรื่องราวตัดสินชี้ขาดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดยืดยาดอีกต่อไป ทำให้หนานหว่านเยียนกับหนูน้อยทั้งสองไปอย่างไม่มีภาระถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
หัวใจของหนานหว่านเยียนไหวสั่น มองดูหยีเฟยอย่างไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย
แววตาของนางเต็มไปด้วยคำถาม “แล้วท่านจะช่วยข้าอย่างไรหรือ?”
ดูตามสภาพร่างกายของหยีเฟยในตอนนี้ เกรงว่าคงทำได้ยาก?
หยีเฟยคิดไปมา แล้วเอ่ยเหตุผลที่กุขึ้นมาทันที
“แม่ของเจ้า ตอนนี้ สบายดี หรือไม่?”
นิสัยของหนานหว่านเยียน เหมือนพี่หวิ่นชิงจริงๆ นางอยากจะเจอพี่หวิ่นชิงสักหน่อยแล้ว
พอพูดเกี่ยวกับแม่ของเจ้าของร่างเดิม จู่ๆ หนานหว่านเยียนก็ยากที่จะเริ่มพูดเล็กน้อย
นางรู้จากการพูดคุยกันกับหยีเฟยเมื่อครู่นี้ ว่าความสัมพันธ์ของหยีเฟยกับแม่เจ้าของร่างเดิมนั้นไม่เลวเลย
แรกเริ่มเดิมที ที่หยีเฟยมีปฏิกิริยากับนางอย่างรุนแรงนั้น เป็นเพียงเพราะว่านางหน้าตาเหมือนแม่ของนางก็เท่านั้น
แต่นางไม่เคยบอกหยีเฟย ว่าแม่ของเจ้าของร่างเดิม เสียชีวิตไปนานแล้ว
ตอนนี้พอหยีเฟยถามขึ้น หนานหว่านเยียนจึงเอ่ยปากอย่างลังเล “หลังจาก ท่านนอนป่วยเป็นผักได้ไม่นาน นางก็จากโลกนี้ไปแล้ว”
นัยน์ตาของหยีเฟยเบิกกว้างทันที “เสียชีวิต แล้ว? เกิด อะไรขึ้น?”
เป็นไปได้อย่างไรพี่หวิ่นชิงจะเสียชีวิตได้อย่างไร!
ตอนที่พี่หวิ่นชิงให้กำเนิดหนานหว่านเยียน นางยังตั้งใจแอบติดตามเป็นเพื่อนพี่หวิ่นชิง ออกจากวังมาอยู่เลย ทุกอย่างราบรื่นดี แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?
หนานหว่านเยียนหวนคิดถึงเรื่องอดีตอย่างละเอียด “เหมือนจะป่วยหนัก ในตอนที่ข้ายังเด็กมาก ก็จากไปแล้ว”
“ป่วยหนัก? เหตุใดในระยะไม่กี่ปีสั้นๆ ถึงป่วยหนักเล่า?”
หยีเฟยได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก ไม่นานน้ำตาก็ไหลออกมา
นึกถึงเมื่อครานั้นที่อยู่แคว้นต้าเซี่ย ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพี่หวิ่นชิงดีมากเพียงใด ต่อมาทั้งสองคนยังมาที่แคว้นซีเหย่เหมือนกันอีก ไม่คิดเลยว่านางนอนป่วยเป็นผักมาสิบกว่าปี แต่พี่หวิ่นชิงกลับจากโลกมนุษย์ไปนานแล้ว……
ทันใดนั้นหนานหว่านเยียนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ความรักผูกพันระหว่างหยีเฟยกับท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิมดีถึงเพียงนี้เลยหรือ?
แม้นางจะเคยสงสัยว่าตัวตนของท่านแม่เจ้าของร่างเดิมจะไม่ธรรมดา แต่ว่า สามารถทำให้จวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ยสนใจได้ถึงเพียงนี้ ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของนางเช่นกัน
หยีเฟยไม่ยอมแพ้ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง แล้วรีบเอ่ยขึ้น “เช่นนั้น ก่อน ที่แม่เจ้า จะเสียชีวิต ได้ ให้ โอปอล กับ เจ้า หรือไม่ ก็คือ ทั้งชิ้น เป็นสีแดง แต่ สี ด้านใน มี เจ็ดสี”
“โอปอล เม็ดนั้น เรียกว่า เนี่ยพาน……”