ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 606
กู้โม่หานจ้องมองไปที่หนานหว่านเยียนอย่างเย็นชาและลึกซึ้งด้วยนัยตาที่เป็นประกาย
“ข้ารู้หลักการของเจ้า หว่านเยียน ทั้งวังของข้าจะไม่มีนางสนม ข้าจะอยู่แค่กับเจ้าไปทั้งชีวิต”
เขาไม่ได้พาหยุนอี่ว์โหรวเข้ามาในวังด้วย เพราะต้องการรอจนกว่าจะจัดการงานทุกอย่างในวังให้เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงค่อยคุยกับหยุนอี่ว์โหรวอย่างถูกต้อง
ความจริงแล้วเขาไม่ต้องการจะทะเลาะเบาะแว้งกับหยุนอี่ว์โหรว แต่นางก็เป็นผู้มีพระคุณของเขามาโดยตลอด และเด็กในครรภ์ก็ยังเป็นลูกของเขา เขาไม่อาจฆ่านางได้ด้วยน้ำมือของเขา แต่จะให้เก็บนางไว้ข้างกาย ก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน
หวังว่าหนานหว่านเยียนจะให้เวลาเขาได้จัดการกับเรื่องนี้สักหน่อย
อยู่กับนางไปตลอดชีวิตงั้นหรือ?
ดวงตาเรียวสวยของหนานหว่านเยียนสั่นระริก แต่ทว่าริมฝีปากกลับเผยยิ้มเย็นชาออกมา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางก็อยู่ร่วมกันกับเขามาเป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่อาจรับรู้ได้ถึงความรับผิดชอบของกู้โม่หาน
ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในฐานะพ่อที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อลูก และในฐานะแม่ทัพที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อเหล่าทหาร นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อเขาได้ เหล่าทหารและเด็กทั้งสองคนก็คงไม่สามารถรักเขาได้เช่นกัน
ในตอนนี้ หยุนอี่ว์โหรวก็กำลังตั้งครรภ์ลูกของเขา เขาจะทอดทิ้งนางไปง่าย ๆ ได้อย่างไรล่ะ? เขาก็เพียงแค่ต้องการเอาอกเอาใจนาง และผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยก็เท่านั้น
น้ำเสียงของหนานหว่านเยียนติดจะเย็นชาและเมินเฉย “ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเจ้าอีกแล้ว”
เมื่อกู้โม่หานเห็นว่านางไม่เชื่อถือกันแล้ว ริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากัน แต่ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ รอให้เขาทำได้แล้วค่อยมาพูดก็ยังไม่สาย ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้แล้วกล่าวกับนางว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า”
“เมื่อสองวันก่อน หนานชิงชิงเสียชีวิตอยู่ที่วัดชิงอัน ว่ากันว่านางผูกคอตายและทิ้งจดหมายลาตายไว้หนึ่งฉบับ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หนานหว่านเยียนก็ประหลาดใจอย่างมาก “หนานชิงชิงน่ะหรือจะฆ่าตัวตาย?”
“อืม” ดวงตาเรียวยาวราวกับเหยี่ยวของกู้โม่หานไม่ได้แสดงความเสียใจใดๆที่มีต่อหนานชิงชิงออกมา
หนานชิงชิงวางแผนฆ่าเขาและหนานหว่านเยียน ถึงตายไปก็ไม่มีค่าพอให้อาลัยอาวรณ์
เพียงแต่ว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นพี่สาวของหนานหว่านเยียน ดังนั้นเขาจึงต้องนำเรื่องราวในวันนั้นมาอธิบายให้หนานหว่านเยียนฟัง
หนานหว่านเยียนฟังอย่างนิ่งสงบ แววตาก็เริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันคล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
นางคิดไม่ถึงว่าหนานชิงชิงที่เข้มแข็งมาทั้งชีวิต สุดท้ายแล้วจะเลือกฆ่าตัวตายด้วยวิธีการลวก ๆ เช่นนี้ คงจะหมดหนทางแล้วกระมัง
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้นางสนใจก็คือ หนานชิงชิงเสียชีวิตก่อนที่กู้โม่หานจะก่อกบฏหนึ่งวัน และในวันนั้น หยุนอี่ว์โหรวก็ยังไปที่วัดชิงอันอีกด้วย
ในอดีต นางคาดเดาในใจมาตลอดว่าหนานชิงชิงและหยุนอี่ว์โหรวร่วมมือกันลับหลังนาง แต่ว่าหญิงสาวสองคนนี้ล้วนไม่ใช่คนที่จะจัดการได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจึงไม่เคยหาหลักฐานได้
ตอนนี้หนานชิงชิงตายไปแล้ว ก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ของหยุนอี่ว์โหรวพังทลายลง ดอกไม้ที่อ่อนแอเช่นนางก็ไม่อาจพลิกกลับมาเอาชนะได้เช่นกัน……
กู้โม่หานเห็นว่าหนานหว่านเยียนเงียบไปนาน นัยตาสวยคู่นั้นแสดงออกถึงความเยือกเย็นและน่าหวาดกลัว
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน คิ้วรูปดาบของเขาขมวดเข้าหากันอย่างกังวลใจ “หว่านเยียน?”
หนานหว่านเยียนตั้งสติได้ สบตากับกู้โม่หาน นัยตาของเขาปรากฏความทุกข์ใจออกมาอย่างแท้จริง แต่ทว่านั่นทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
เขาคิดว่าข่าวการตายของหนานชิงชิงจะทำให้นางเสียใจอย่างนั้นหรือ?
น่าขันยิ่งนัก ทำไมนางต้องเสียใจด้วยล่ะ เมื่อตอนยังเด็ก หนานชิงชิงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับความรักของหนานฉีซาน
เริ่มแรกของมีคุณค่าของจวนเฉิงเซี่ยงถูกขโมย และนำมาใส่ร้ายป้ายสีว่านางเป็นคนขโมย ทำให้นางเจ็บปวดอย่างมากที่ต้องทนแบกรับชื่อเสียงความอัปยศเอาไว้ ในขณะที่หนานชิงชิงแสร้งทำเป็นพี่สาวที่แสนดีออกมารับผิดแทนนาง
หลังจากท่านแม่เสียชีวิต หนานชิงชิงและฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็เริ่มกระทำการรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นท่าทีที่หนานฉีซานมีต่อนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ฮูหยินเฉิงเซี่ยงและหนานชิงชิงก็ยังฉวยโอกาสนี้มากดขี่นาง
ถึงแม้ว่านางจะออกจากจวนและมาเข้าร่วมกับกู้โม่หาน หนานชิงชิงก็ยังคงติดตามมา หนานชิงชิงมีความรู้ความสามารถมากกว่าคนอื่นแต่นางก็ไม่เคยออกหน้าทำอะไรด้วยตนเอง ตอนเป็นเด็กหนานชิงชิงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามขึ้นมา และยังมีผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ ทำให้นางมีพรรคพวกที่โง่เขลาอยู่กลุ่มหนึ่ง
ดังนั้นเพียงแค่คำพูดที่บางเบาราวกับขนนกของหนานชิงชิง ก็มากพอแล้วที่จะปลุกระดมผู้คนและยุยงให้พวกสุนัขรับใช้ทำร้ายนางทั้งทางวาจาและจิตใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้นจบลง หนานชิงชิงยังคงแสร้งทำเป็นคนอ่อนโยนเพื่อกู้หน้าให้นาง
ผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถเป็นอันดับหนึ่งของเมืองนี้คืออะไร? มีการศึกษา มีวิจารณญาณ อ่อนโยนและสง่างาม? หนานชิงชิงเคยครอบครองมันไว้ทั้งหมด ปีนขึ้นไปหาความสำเร็จทีละขั้น ด้วยการเหยียบหัวใจที่แหลกเหลวของนาง
รวมทั้งใบหน้าที่ถูกทำลายของนาง ก็เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของหนานชิงชิงและฮูหยินเฉิงเซี่ยง
หนานหว่านเยียนพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ตายแล้วก็ตายไปเถอะ คนอย่างนั้นน่ะ แค่ตายมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
นางไม่เห็นใจคนชั่ว และยิ่งไปกว่านั้นนางไม่มีทางเห็นใจคนที่เคยทำให้นางเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่าง หนานชิงชิงและฮูหยินเฉิงเซี่ยงแน่นอน
กู้โม่หานเห็นท่าทีเย็นชาของหนานหว่านเยียน ก็ไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้
ในเวลานี้ เหล่าสาวใช้ในวังก็ยกอาหารเช้าเข้ามาพอดี พวกนางจัดวางของให้เรียบร้อย แล้วถอยหลังออกไปอย่างนอบน้อม
หนานหว่านเยียนมองเห็นปลากะพงนึ่งในถาดรอง อีกทั้งยังมีควันร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมา นางเบิกตากว้างและถอยหลังทันที
กลิ่นของปลานึ่งโชยเข้ามาในจมูกนาง ฉับพลันนางก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ความปรารถนาต้องการจะอาเจียนก็ปรากฏออกมาทันที
นางต่อต้านอาการเหล่านี้ด้วยความยากลำบาก สีหน้าเริ่มซีดลงเล็กน้อย
นางหันหน้าหนีและพยายามอย่างหนักไม่ให้ตนเองได้กลิ่นคาวปลาที่รุนแรงเช่นนี้
หนานหว่านเยียนรีบร้อนควานหาขนมมะขามที่นางเตรียมไว้ แล้วโยนเข้าปากหนึ่งชิ้นด้วยความเร็วดุจสายฟ้า สักครู่ก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่คอหอยของนางก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่
ใครเลยจะรู้ ทุกการกระทำของนางถูกจับจ้องอยู่ภายใต้สายตาของกู้โม่หาน
คิ้วรูปดาบของชายหนุ่มรูปงามขมวดเข้าหากันแน่นราวกับเนินเขา
ไม่กี่วันมานี้หนานหว่านเยียนคลื่นไส้ตลอดเวลา แม้ว่าก่อนหน้านี้หมอหลวงเจียงจะบอกว่าเป็นเพราะนางทำงานหนักมากเกินไป แต่นางก็พักผ่อนมาเป็นเวลานานแล้ว ทำไมถึงดูไม่ดีขึ้นสักนิดเลยล่ะ?
สายตาของเขาจดจ้องไปที่ร่างของหนานหว่านเยียนอย่างล้ำลึก กู้โม่หานเม้มริมฝีปากเล็กน้อยและพูดออกมา “เจ้ากินของเปรี้ยวๆแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”
ฉับพลันใบหน้าน่ารักของหนานหว่านเยียนก็แข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย นางนึกว่าเขาจะไม่เห็น เลยส่งเสียงกระแอมออกมาเล็กน้อย
“อ๋อ การกินของเปรี้ยวสามารถทำให้อาการไม่สบายท้องรู้สึกดีขึ้นได้”
ใช่ไหมนะ……
กู้โม่หานยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าประตูทางเข้า
เขาหันหน้าไปมอง พบว่าเป็นองครักษ์ในวังที่เข้ามา
องครักษ์ทักทายด้วยความเคารพอย่างสูง “ข้าน้อยถวายบังคมจักรพรรดิและฮองเฮาเหนียงเหนียง ฝ่าบาท ท่านน้าของเหนียงเหนียงมาถึงแล้ว”
ทันทีที่องครักษ์พูดจบ หนานหว่านเยียนก็ไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นและความดีอกดีใจของนางได้ กระโดดออกจากเก้าอี้และลุกขึ้นยืน “ท่านน้ามาแล้วหรือ!?”
วินาทีต่อมา นางก็เห็นโม่หวิ่นหมิงในชุดสีขาวเดินเข้ามาในตำหนัก บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนหวานและรอยยิ้มที่สว่างสดใส ดวงตาดอกท้อที่ชวนให้หลงใหลมีความมืดครึ้มไหลผ่านเล็กน้อย แต่ทว่าไม่ง่ายที่จะสังเกตเห็น “อืม……ข้ามาแล้ว”
“ท่านน้า!” หนานหว่านเยียนตาเป็นประกายครู่หนึ่ง นางไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้ นางก้าวไปข้างหน้าและพาโม่หวิ่นหมิงไปนั่งข้างๆกันที่โต๊ะตัวยาว ท่าทางแบบนั้น คือการทิ้งกู้โม่หานไว้ข้างหลังอย่างสมบูรณ์
โม่หวิ่นหมิงทักทายกู้โม่หานในเชิงสัญลักษณ์ “ถวายบังคมจักรพรรดิ”
ตั้งแต่วินาทีที่โม่หวิ่นหมิงก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก สีหน้าของกู้โม่หานก็มืดครึ้มลง
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขาไม่เคยเห็นความเบิกบานใจและความกระตือรือร้นบนใบหน้าของหนานหว่านเยียน
นางจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา แต่ทว่ากับคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างโม่หวิ่นหมิง ใบหน้าของนางกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาที่แสนเย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ หัวคิ้วทั้งสองข้างของเขาค่อยๆปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป คว้าเข้าที่ข้อมือขาวของหนานหว่านเยียนและฉุดรั้งนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด….