ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 610
เซียงอวี้และเซียงเหลียนเงยหน้าขึ้นมองกู้โม่หานอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อเห็นรอยแดงบวมบนใบหน้าของกู้โม่หาน ทั้งคู่ก็รีบตอบรับทันที
จักรพรรดิโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ คงจะทะเลาะกับหนานหว่านเยียนมาอีกแล้วกระมัง ทั้งสองคนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทำเพียงแค่ตอบรับอย่างเคารพนบนอบเท่านั้น “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวน้อมรับคำสั่ง”
หลังจากกู้โม่หานออกไป สองพี่น้องก็หมุนตัวเดินเข้าตำหนักไปรับใช้ปรนนิบัติหนานหว่านเยียน
ยังไม่ทันได้เดินเข้าไป ก็พบกับหนานหว่านเยียนที่กำลังเดินเช็ดปากตนเองออกมาด้านนอกตำหนัก
เซียงอวี้และเซียงเหลียนรีบทำความเคารพ “ฮองเฮาเหนียงเหนียง”
หนานหว่านเยียนกำลังโมโหความหน้าด้านไร้ยางอายของกู้โม่หานอยู่ ฉับพลันนางเห็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัตินางในอดีต คนที่เป็นหูเป็นตาให้กู้โม่หาน นางก็เม้มปาก น้ำเสียงที่ออกมาจากปากแดงๆนั่นติดจะเย็นชา
“ตอนนี้ข้าต้องการพบกับหนูน้อยทั้งสอง พวกเจ้าขัดขวางข้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”
นางไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของหนูน้อยทั้งสองแล้ว กู้โม่หานจะเป็นบ้าแค่กับนางก็ไม่เป็นไร เพียงแค่อย่าลงไม้ลงมือกับหนูน้อยทั้งสองก็พอ
แต่สิ่งที่นางกลัวก็คือกู้โม่หานไม่ให้นางพบกับเด็กทั้งสองคน ถ้าเป็นแบบนี้ก็ฆ่านางไปเลยเสียดีกว่า นี่คือเหตุผลที่ทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
ไม่มีใครสู้ฟางเส้นสุดท้ายของคนเป็นแม่ได้หรอก แม้แต่พ่อเด็กก็ตาม!
เซียงอวี้และเซียงเหลียนนึกถึงคำสั่งของกู้โม่หานเมื่อครู่นี้ ก็ไม่มีใครคิดจะขัดขวางนาง
เซียงเหลียนพยักหน้าให้หนานหว่านเยียนเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเคารพอย่างถึงที่สุด “ท่านคือฮองเฮาเหนียงเหนียง บ่าวไม่กล้าขัดขวาง อีกทั้งจักรพรรดิก็เพิ่งจะรับสั่งมาว่า หากท่านอยากไปที่ไหนก็สามารถไปได้ทุกหนแห่ง”
“ตอนนี้องค์หญิงน้อยทั้งสองอยู่ในตำหนักด้านข้าง บ่าวจะพาเหนียงเหนียงไปเอง”
กู้โม่หานไม่ขัดขวางนางจริงหรือ?
แววตาของหนานหว่านเยียนฉายแววความประหลาดใจขึ้นมาชั่วครู่ และคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว “อ่อ”
นางลูบคลำท้อง เดินตามพี่น้องเซียงอวี้ออกจากตำหนักไป
ทั้งสามคนเดินมายังไม่ถึงสองก้าว หนานหว่านเยียนก็เห็นหลี่หมัวมัวกำลังเดินมาหานางด้วยความรวดเร็ว
“เหนียงเหนียง ฮองเฮาเหนียงเหนียง!”
หนานหว่านเยียนหยุดเดินชั่วคราว หลี่หมัวมัวจึงก้าวเท้าด้วยจังหวะสบายๆเดินตรงเข้ามาตรงหน้าของหนานหว่านเยียน ยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยนและโก่งตัวไปหาหนานหว่านเยียน
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง ไทฮองไทเฮานางพร่ำถึงท่านตลอดเวลา ได้ยินว่าท่านเข้าวังมาแล้ว ก็เลยให้บ่าวมาเชิญท่าน”
เดิมทีหนานหว่านเยียนอยากจะไปเจอหนูน้อยทั้งสองก่อน หลังจากนั้นค่อยไปเจอไทเฮา ไม่คิดว่าหลี่หมัวมัวจะมาที่นี่เสียก่อน “ได้ ข้าจะไปตอนนี้เลย”
สำหรับนางเหล่าไท่ไท่ก็ไม่เลวเลย หนานหว่านเยียนไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ หันไปด้านข้างพูดกับเซียงอวี้”ไปพาหนูน้อยทั้งสองคนมาเถอะ ให้เสด็จย่าได้เจอพวกนางด้วยพอดี”
“ค่ะ” เซียงอวี้ตอบรับและกำลังจะก้าวเท้าเดินแต่ทว่ากลับโดนหลี่หมัวมัวยิ้มและขัดขวางไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องแล้ว องค์หญิงทั้งสองอยู่ที่ตำหนักหลวนเฟิ่งแล้ว เหนียงเหนียง ท่านต้องรีบไปแล้วล่ะ”
หนูน้อยทั้งสองอยู่ที่นั่นกับไทเฮา?
ในที่สุดสีหน้าของหนานหว่านเยียนก็อ่อนโยนขึ้นและยิ้มออกมา
แบบนี้ก็ดี ทั้งได้เจอไทเฮา แล้วก็ยังได้เจอหนูน้อยทั้งสองอีกด้วย
“งั้นไปกันเถอะ”
หนานหว่านเยียนตามหลี่หมัวมัวไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง เซียงอวี้และเซียงเหลียนเดินตามท้ายมาอย่างว่องไว สี่คนมาถึงประตูตำหนักหลวนเฟิ่งแล้ว
หลี่หมัวมัวหยุดอยู่ที่หน้าประตู ทำความเคารพหนานหว่านเยียน “เหนียงเหนียงเข้าไปเถอะ ส่วนบ่าวจะรออยู่ตรงนี้ไม่รบกวน”
หนานหว่านเยียนพยักหน้า หลี่หมัวมัวพาเซียงอวี้และเซียงเหลียนลงไปแล้ว
หนานหว่านเยียนก้าวเท้าเข้าไปยังด้านในตำหนัก ได้ยินเสียงหัวเราะอันไพเราะของเด็กๆมาแต่ไกลๆ ฉับพลันหัวใจของนางก็รู้สึกราวกับตกลงมาจากที่สูง
แต่ทว่าก็ยังอดคิดไม่ได้อีกว่า เจ้าเด็กทั้งสองช่างใจร้ายเสียจริง แม้ไม่ได้พบนาง ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
หนานหว่านเยียนเข้ามาในตำหนัก มองไปเห็นเจ้าเกี๊ยวน้อยและเจ้าซาลาเปาน้อยล้อมรอบอยู่ด้านข้างไทเฮา
เวลานี้ในมือเจ้าเกี๊ยวน้อยหยิบเอาเครื่องกลไกเล็กๆมาสาธิตวิธีการใช้ให้ไทเฮาดูอย่างตื่นเต้น ส่วนเจ้าซาลาเปาน้อยก็คอยแก้ไขอยู่อีกข้างหนึ่ง
สองพี่น้องคึกคักร่าเริงและฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ ทำให้ไทเฮาหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ
คิ้วและตาที่สวยงามของหนานหว่านโค้งลง นางคุกเข่าลงและทำความเคารพไทเฮา น้ำเสียงที่นุ่มนวลและไพเราะเอ่ยออกมา “หลานสะใภ้ถวายบังคมเสด็จย่า การเข้าวังในครั้งนี้ไม่ได้มาเคารพเสด็จย่าก่อน เสด็จย่าโปรดอภัยด้วยเถิด”
ไทเฮาและเจ้าสองตัวน้อยได้ยินเสียงของหนานหว่านเยียน ฉับพลันดวงตาทั้งสามคู่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
เสียงอ่อนนุ่มราวกับน้ำนมของเจ้าเกี๊ยวน้อยเปล่งออกมา “ท่านแม่~”
เสียงหวานของเจ้าซาลาเปาน้อยก็ร้องตะโกนออกมาเช่นกัน “ท่านแม่!”
ไทเฮาหัวเราะออกมาจนตาหยี นางรีบช่วยพยุงหนานหว่านเยียนลุกขึ้น “ไอหยา ลุกขึ้นมาเร็วเข้า! เจ้าจะมาตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น อยู่กับข้าที่นี่ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรขนาดนั้นหรอก”
“ข้าขอบคุณเสด็จย่า” หนานหว่านเยียนหัวเราะและลุกขึ้นมา ทันทีทันใด นางก็เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองบินโผเข้าหานาง
“ท่านแม่~”
เจ้าเกี๊ยวน้อยและเจ้าซาลาเปาน้อยร้องเรียกเป็นเสียงเดียวกันอย่างดีใจ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุขและบินโผเข้ามา
เจ้าเกี๊ยวน้อยโอบกอดขาของหนานหว่านเยียนเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นมา นัยตาสีดำราวกับหินออบซิเดียนมีความกังวลใจนิดหน่อย แต่ในเวลานี้ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยความดีอกดีใจ
“ท่านแม่ แค่ไม่ได้เจอวันเดียวก็ราวกับผ่านไปแล้วสามยึดู ข้าและน้องสาวคิดถึงท่านแม่มากจริงๆ”
“พี่สาว สามฤดูต่างหาก” เจ้าซาลาเปาน้อยหัวเราะออกมาเสียงหวาน และยังคงกอดต้นขาของหนานหว่านเยียนไว้อย่างนุ่มนวลและรักใคร่ ทั้งยังถูไถอย่างน่าเอ็นดู
“ท่านแม่ ท่านแม่ วันนั้นอยู่ดีๆท่านก็เป็นลมลงไป ข้ากับพี่สาวกลัวมากๆ ไม่ทราบว่าท่านแม่ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เดิมทีพวกนางเฝ้าท่านแม่อยู่ในห้อง แต่เมื่อเฝ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็รู้สึกง่วงจึงหลับไป หลังจากนั้นเป็นอย่างไรก็จำไม่ได้แล้ว
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งพวกนางก็เข้ามาอยู่ในวังแล้ว
ในตอนนั้นพวกนางกลัวและกังวลใจเกี่ยวกับท่านแม่มากจริงๆ รบกวนพวกพี่สาวในวังอยู่นาน ก็ได้รู้ว่าท่านแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว และยังได้เข้าวังอีกด้วย พวกนางจึงวางใจไม่น้อยเลย
หลังจากนั้น พวกนางก็ถูกหลี่หมัวมัวพามาหาเสด็จย่าทวดที่นี่ ตอนนี้เห็นว่าท่านแม่สบายดีแล้ว พวกนางก็มีความสุขจนบรรยายออกมาไม่ได้เลยล่ะ!
หนานหว่านเยียนก็คิดถึงเจ้าก้อนปุยฝ้ายทั้งสองมากเช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นว่าเจ้าเกี๊ยวน้อยและเจ้าซาลาเปาน้อยห่วงใยและโหยหานาง นางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา ไม่กี่วันมานี้ความทรงจำนางกลับคืนมาก็พาให้ความเจ็บปวดใจลดลงตามไปด้วย ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายลง
นางลูบหัวสองพี่น้อง มันทั้งนุ่มและอบอุ่น
“แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว แม่จะอยู่กับพวกเจ้าที่นี่ และแม่จะไม่เป็นอะไรอีกแล้วตลอดไป วันนี้พวกเจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังหรือไม่?”
“เป็น!” สองพี่น้องพยักหน้าอย่างรู้กัน เจ้าเกี๊ยวน้อยหัวเราะออกมา เผยให้เห็นฟันเขี้ยวเล็กๆสองซี่ซึ่งน่ารักเป็นอย่างมาก “เสด็จย่าทวดชมว่าพวกข้าเป็นเด็กดี ”
หลังจากนั้น นางหันกลับมาและดึงปลายเสื้อของไทเฮา “ท่านพูดใช่หรือไม่ เสด็จย่าทวด?”
แต่ทว่าสีหน้าของไทเฮาเคร่งขรึมเล็กน้อย ขมวดคิ้วและมองไปที่หนานหว่านเยียน ในตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ทำไมอยู่ดีๆก็เป็นลมไปล่ะ? มันเกิดขึ้นเมื่อไร หรือเป็นเพราะจักรพรรดิดูแลเจ้าไม่ดีใช่หรือไม่?”
“เจ้าหนูน้อยทั้งสองคนนี้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกข้า ข้าถึงได้บอกว่าเจ้าดูซูบลงไปไม่น้อยและร่างกายของเจ้าก็ดูไม่สดใสเลย”
ทุกคำที่ไทเฮากล่าวออกมาล้วนพูดออกมาด้วยความจริงใจ และความกังวลใจนั้นก็ออกมาจากใจอย่างแท้จริง
หนานหว่านเยียนมองดูใบหน้าที่สุภาพอ่อนโยนของเหล่าไท่ไท่ก็นึกถึงหลังจากนี้ที่จะต้องจากไป ฉับพลันก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากนี้ ก็จะไม่ได้เจอกับเหล่าไท่ไท่แล้ว……