ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 683
รถม้าแกว่งไปแกว่งมา พลางกลับมาถึงวังหลวง
อวี๋เฟิงกำลังอยู่ในอุทยานหลวง พลันมองเห็นไป๋จื่อ ปรากฏว่าโดนกู้โม่หานพากลับมา
หัวคิ้วของเขาพลันขมวดเข้าหากัน แต่กลับไม่กล้าถามไถ่มากความ พลางทำคารวะกู้โม่หานด้วยความเคารพ และถอยไปอยู่ด้านข้างของเสิ่นอี่ว์
“ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ไม่อยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้ว” กู้โม่หานมองหนานหว่านเยียน ดวงตาปะปนรอยยิ้มเล็กน้อย จนไม่สามารถปิดบังไว้ได้ “แม่นางไป๋จื่อเดินเที่ยวชมในวังหลวงได้ตามสบาย สุดท้าย เจ้าก็ต้องอยู่ที่สักระยะ”
หนานหว่านเยียนพลางมองเห็นกู้โม่หานยิ้ม จนเกิดความจองหองสะใจทำให้นางขัดหูขัดตา
ซึ่งเหมือนกับ ทั้งที่รู้ว่าด้านหน้ามีกองไฟ ทว่านางกลับกระโจนลงไปให้ได้ ราวกับว่าตรงตามที่เขาคิด
ความรู้สึกอารมณ์เสียสุดๆ ของนางพลางเบนสายตาหนี น้ำเสียงเย็นชาอยู่บ้าง “เพคะ”
เจ้าเกี๊ยวน้อยราวกับมองออกถึงความคิดของมารดา พลันรีบวิ่งเหยาะๆ ด้วยขาสั้น พร้อมทั้งยื่นมือไปคว้าหนานหว่านเยียน ยิ้มแสดงความน่ารักฉลาดเฉียว “พี่ไป๋จื่อ ท่านมากับข้า ข้ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่สนุกมากทีเดียว!”
หนานหว่านเยียนไม่อยากครุ่นคิดต่อไป จึงทำความเคารพกู้โม่หานเพื่อขอตัว จากไปกับลูกสาวสุดที่รัก เฟิงยางก็รีบเร่งฝีเท้าเดินไล่ตามไป
กู้โม่หานยืนอยู่ที่เดิมทว่าไร้การตามไป พลางจับจ้องมองแผ่นหลังของหนานหว่านเยียนกับเกี๊ยวน้อยด้วยแววตาลึกซึ้ง พลางลูบคลำแหวนที่นิ้วก้อยที่สวมติดมือ และใช้ความคิดอย่างเงียบเชียบ
ทันใดนั้น เขาเอ่ยปากพูดกับอวี๋เฟิง “จับตาทุกการเคลื่อนไหวของไป๋จื่อไว้ให้ดี พร้อมทั้งรายงานให้ข้ารู้อยู่เสมอ”
“และยัง ปฏิบัตินางเฉกเช่นเดียวกับฮองเฮา”
ปฏิบัติกับไป๋จื่อเฉกเช่นเดียวกับฮองเฮา?!
อวี๋เฟิงกับเสิ่นอี่ว์ตกตะลึงพลันสบตากันทันที
เมื่อครู่เสิ่นอี่ว์มองเห็นจุดที่กู้โม่หานปฏิบัติเป็นพิเศษกับไป๋จื่อที่จวนแม่ทัพน้อย ขณะนั้นแม้ว่าตกอกตกใจ แต่ก็รู้สึกสมเหตุสมผล
องค์ฮ่องเต้ ท้ายที่สุดก็หาคนมาแทนที่ฮองเฮาเหนียงเหนียง
แต่อวี๋เฟิงครุ่นคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ ทั้งที่ความหมายของฮ่องเต้คือต้องการให้จับตาดูไป๋จื่อ ทว่าเหตุใดยังต้องปฏิบัติเฉกเช่นฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วยเล่า?
แต่ก็ไม่กล้าถามอะมากกว่า
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
กู้โม่หานไม่ได้รั้งรอนานนัก พลันพลางหันหลังเดินจากไป เสิ่นอวี๋เดินตาม
อวี๋เฟิงย่นคิ้ว และรีบเดินไล่ตามพวกหนานหว่านเยียน
เฟิงยางเดินตามหลังคู่แม่ลูกสองคนอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้รบกวน เมื่อเห็นอวี๋เฟิงรีบเดินไล่ตามหลัง นางจึงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อทักทาย พลางใช้สายตานัยน์ตาเย็นชากวาดตามองอวี๋เฟิงแวบหนึ่ง เพื่อเป็นการระแวดระวังจากเขา
อวี๋เฟิงเดินก้าวไปทางด้านหน้า และมองเห็นไป๋จื่อกับเจ้าเกี๊ยวน้อยยื่นมือราวกับแสดงความหมายบางอย่าง
เจ้าเกี๊ยวน้อยกะพริบตาอย่างลึกลับให้แก่หนานหว่านเยียน จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนแก้มอวบอิ่มทั้งสองข้างตอบลงไป จากนั้นก็ชี้มาที่ตนเอง
หนานหว่านเยียนพลันเข้าใจความหมายทันที นี่เพราะเกี๊ยวน้อยเห็นว่าอวี๋เฟิงอยู่ด้วย ดังนั้นตั้งใจใช้ท่าทางเพื่อสื่อสารกับนาง
เนื่องจากบุตรสาวไม่รู้ว่าจะพรรณนาให้ชัดเจนอย่างไร ดังนั้นจึงทำใบหน้าให้ผอมซูบลง เพื่อเลียนแบบลักษณะท่าทางที่ได้เจอกับหยีเฟยครั้งแรกในตอนนั้นนั่นเอง
นางอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ดวงตาที่มีแววตารอยยิ้มยกย่องอย่างเปี่ยมล้น จากนั้นพลันยกนิ้วหัวแม่มือให้กับเกี๊ยวน้อย
เพื่อแสดงความหมาย “ไม่ผิด ตอนนี้พวกข้าเตรียมจะไปหาเสด็จย่าของลูก”
การเข้าวังในครั้งนี้ นางพยายามติดต่อหยีเฟยให้เร็วที่สุด เผื่อทำการวางแผนจะพาเกี๊ยวน้อยออกจากวัง
เกี๊ยวน้อยเห็นหนานหว่านเยียนเข้าใจความหมายของตนเอง พลันชูกำปั้นไปมาอย่างดีใจ
จากนั้น นางเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง เชิดหน้า หรี่ดวงตากลมโตพลางมองไปที่ไกลโพ้น แสร้งทำท่าทางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้ว เมื่อครู่ยังไม่ทันตอบสนองสักนิด แต่เมื่อเห็นเกี๊ยวน้อยแสดงลักษณะท่าทางในเวลานี้ พลันเข้าใจถ่องแท้ทันที–
ความหมายของเกี๊ยวน้อยคือ นางกำลังโกรธเคืองกู้โม่หานมาก
ส่วนเรื่องที่เหตุใดจึงโกรธเคือง หนานหว่านเยียนก็พอจะคาดเดาได้ วิธีการใช้อำนาจแย่งชิงของกู้โม่หาน ใครบ้างจะไม่โกรธเล่า
เฟิงยางที่สีหน้าเรียบเฉยทางด้านข้าง แม้ว่าไม่ชัดเจนเรื่องที่องค์หญิงน้อยกับจวิ้นจู่กำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่นางก็พอเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนอวี๋เฟิงนั้น มึนงงมืดไปหมดแล้ว
เพียงแต่ในสายตาของเขาที่คอยชำเลืองมองลักษณะท่าทางนี้ของเกี๊ยวน้อย ทำไมถึงรู้สึกว่ากำลังเลียนแบบฮ่องเต้เลยล่ะ?
สองแม่ลูกหนานหว่านเยียนกับเกี๊ยวน้อยไม่ได้พูดเรื่องอื่น เร่งฝีเท้าไปยังตำหนักบรรทมของหยีเฟยให้เร็วขึ้น เฟิงยางเดินตามไปทุกฝีก้าว
มีเพียงอวี๋เฟิงเพียงคนเดียว ที่หยิบสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาจากอ้อมแขนอย่างพิศวงงงงวย โดยจัดการบันทึกสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ลงด้านในอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แม้ว่าเขามองแล้วไม่เข้าใจ แต่เขาก็เขียนบันทึกลงไปด้วย!
อย่างไรเสียฮ่องเต้ฉลาดเฉลียวขนาดนั้น อาจจะแค่มองแวบเดียวก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
แต่เมื่อพูดย้อนกลับมา แม่นางไป๋จื่อ คนนี้ทั้งที่เพิ่งจะเคยเจอองค์หญิงใหญ่อานผิงมาสามครั้งเอง ทำไมจึงทำให้คนรู้สึกว่า พวกนางเหมือนมีความคุ้นเคยและเข้าใจกันโดยปริยายดั่งเลือดข้นเช่นนั้นเลยล่ะ
……
กู้โม่หานแย่งภรรยาของขุนนางเข้าวังกลางวันแสกๆ และบวกกับข่าวคราวความหลงรัก พลันกระฉ่อนไปทั่วทั้งวังหลวง
เมื่อข่าวนี้เกิดขึ้น หยุนอี่ว์โหรวเริ่มสนใจธรรมดา
ภายในตำหนักกวนโม่หยุนอี่ว์โหรวกำลังนั่งอยู่ริมโต๊ะ มือที่กำลังถือม้วนหนังสืออย่างเหม่อลอย ปี้หยุนที่อยู่ด้านข้างนางร้อนใจจนประสาทจะกิน “เหนียงเหนียง ต่อจากนี้พวกข้าจะทำยังไงดี?”
หยุนอี่ว์โหรวดึงสติกลับมา พลันใช้แววตาเย็นชาจ้องมองปี้หยุน “อะไรล่ะ?”
ปี้หยุนมองหยุนอี่ว์โหรวพลันตัวแข็งทื่อทันที เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนรุ่มที่อยู่ในใจ “ไอหยา นี่มันเวลาไหนแล้วเจ้าคะ เหนียงเหนียงทำไมท่านถึงยังตะลึงอยู่อีกคะ!”
“บ่าวกำลังถามท่านอยู่ ไป๋จื่อคนนั้น พวกข้าจะสู้อย่างไรดีเจ้าคะ?”
หยุนอี่ว์โหรวค้อนขวับให้ปี้หยุนแวบหนึ่ง พลางวางม้วนหนังสือลงอย่างไม่เร่งรีบ นัยน์ตากลับเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ
“เดิมทีข้าคิดว่า นางก็แค่สตรีที่ทำให้ฝ่าบาทสนใจเพียงเท่านั้นเอง ฝ่าบาทเบื่อแล้ว ย่อมถูกทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าขาดวิ่น”
“แต่ข้าคิดไม่ถึง ไป๋จื่ออยู่ดีๆ ถูกส่งตัวเข้าออกจากวัง แต่กลับถูกฝ่าบาทพาตัวกลับมาด้วยตนเองอีกครั้ง ดูเหมือนสตรีนางนี้ ไม่สามารถประมาทได้จริงๆ”
“ใช่เจ้าค่ะเหนียงเหนียง!” คำพูดนี้ถือว่าพูดตรงใจปี้หยุน นางโกรธเคืองราวกับสายฟ้าฟาดจนระเบิดแผ่กระจาย พลางบ่นอยู่ต่อหน้าหยุนอี่ว์โหรวอย่างไม่หยุดปาก
“ท่านไม่รู้หรอกว่า พวกชาวนาหยาบช้าเหล่านั้น ชินที่จะยั่วบุรุษอย่างหน้าไม่อาย ไป๋จื่อนางนั้นต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“ไม่งั้นอาศัยหน้าตาของนาง ขนาดเทียบหน้าตากับบ่าวก็ยังสู้ไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้ว่าฝ่าบาทถึงถูกใจนาง นังแพศยาคนนั้นต้องใช้อุบายชั้นต่ำอะไรพวกนั้นแน่ ทำให้ฝ่าบาทลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น!”
หยุนอี่ว์โหรวฟังไปเรื่อย หัวคิ้วก็ย่นเข้าหากันแน่น “ไป๋จื่อหยาบคายหรือเปล่าข้าไม่รู้ แต่ท่าทางเจ้าสบถด่ายาวเหยียด เหมือนสตรีปากร้าย”
“โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย คำพูดเหล่านี้หากคนมาได้ยินเข้า พวกเขาจะพูดลับหลังข้าว่าอย่างไรบ้าง”
ปี้หยุนตกใจกับแววตาของหยุนอี่ว์โหรว “เจ้าค่ะ บ่าวปากมาก เหนียงเหนียงโปรดให้อภัยบ่าวด้วย”
หยุนอี่ว์โหรวไม่ได้ติดใจกับนาง นางลุกขึ้น พลางจัดระเบียบเสื้อกระโปรงของตนเอง พลางเอ่ยปากถามอย่างไม่ตั้งใจ “ไป๋จื่อคนนั้น ตอนนี้อยู่ที่ใดกัน?”
ปี้หยุนรีบพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส “เมื่อครู่บ่าวได้ยินคนพูด หลังจากฝ่าบาทแยกออกจากไป๋จื่อ องค์หญิงใหญ่อานผิงพาไป๋จื่อเดินไปยังทางใต้ของอุทยานหลวง สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่แถวตำหนักท่านโยวเจ้าค่ะ”
หยุนอี่ว์โหรวหัวเราะอย่างเย็นชา พลันยื่นมือให้ปี้หยุนประคองตัว “ในเมื่อไป๋จื่อคนนี้เอาใจจนฝ่าบาทถูกใจ งั้นข้าก็จะไปพบนางด้วยตนเอง จะดูสิว่า ตกลงว่าเป็นคนจำพวกอะไร…”