ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 715
หนานหว่านเยียนมองไปที่เหล่าไท่ไท่ด้วยรอยยิ้มสดใส รู้สึกอบอุ่นภายในใจ
หากระหว่างนางกับกู้โม่หานไม่มีเรื่องให้ต้องจงเกลียดจงชังเช่นนั้น ก็จะอยู่ในแคว้นซีเหย่แบบนี้ ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากไทเฮา มีเด็กหญิงทั้งสองคอยอยู่เคียงข้าง สามีภรรยารักใคร่ปรองดองกัน บางทีอาจจะมีความสุขมากเช่นกัน
น่าเสียดายที่พวกเขาจะไม่สามารถย้อนวันเวลาได้
แต่นางยังคงปฏิบัติตามคำพูดของเสด็จย่าทวดด้วยรอยยิ้มน่ารัก “อืม ขอบพระทัยสำหรับความรักของเสด็จย่า เยียนเอ๋อร์โชคดีที่มีท่าน”
เสด็จย่าทวดชอบหนานหว่านเยียนยิ้ม มักจะรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้สามารถขจัดความทุกข์ทั้งหมดได้
“อย่าหาว่าข้าจู้จี้จุกจิก อันที่จริงขอเพียงเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันก็ดีกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว เมื่อครู่ข้าใจร้อนเรียกเจ้าเข้ามา เจ้าคงยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันใช่ไหม?”
“ทำไมไม่อยู่ที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วค่อยไปล่ะ”
หนานหว่านเยียนพยักหน้าตอบรับ เสด็จย่าทวดก็รีบเรียกหลี่หมัวมัวเข้ามา ให้นางลงไปจัดการ
อาหารกลางวันมีมากมาย อาหารบนโต๊ะส่วนใหญ่เป็นอาหารที่หนานหว่านเยียนชอบกิน
หนานหว่านเยียนรู้สึกซาบซึ้งที่เหล่าไท่ไท่ยังจำสิ่งที่นางชอบได้ พลางมองไปที่อาหารบนโต๊ะ โชคดีที่ไม่มีของสดหรือมีกลิ่นคาว
นางลูบท้องอย่างเงียบๆ กินข้าวกับเสด็จย่าทวดพลางพูดคุยกัน
บรรยากาศในตำหนักหลวนเฟิ่งผ่อนคลายร่าเริงเป็นพิเศษ หลี่หมัวมัวคอยอยู่เคียงข้าง รู้สึกโล่งใจที่เห็นเสด็จย่าทวดยิ้มจนมองไม่เห็นตา
นางยิ้มให้ทั้งสอง “หม่อมฉันไม่ได้เห็นเสด็จย่าทวดมีความสุขอย่างนี้มานานแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียง ท่านกลับมาได้เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”
เสด็จย่าทวดวางชิ้นเนื้อลงในถ้วยของหนานหว่านเยียนอย่างมีความสุข “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าชอบเยียนเอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์กลับมาครั้งนี้ กำลังวังชาของข้าดีขึ้นมากเลย!”
พูดจบ นาก็งมองไปที่หนานหว่านเยียนอย่างจริงจัง บุ้ยปากเหมือนเด็ก “ต่อไป เจ้าสามารถพาหลานๆ มาเยี่ยมข้าได้ ข้าคิดถึงพวกเจ้า”
หนานหว่านเยียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แค่พยักหน้าหงึกๆ “จะไม่ลืมเสด็จย่าแน่นอนเพคะ”
ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้ม เกือบเสร็จสิ้นมื้ออาหารแล้ว
หลังอาหารกลางวัน เสด็จย่าทวดดึงหนานหว่านเยียนไว้พูดคุยอยู่เป็นเวลานาน อาจเป็นเพราะความโศกเศร้าของนางในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เกี๊ยวน้อยก็ไม่มีความสุข ไหนจะกู้โม่หานที่เปลี่ยนไปเพราะหนานหว่านเยียนอีก
หนานหว่านเยียนรับฟังอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ บางครั้งก็คอยกล่าวเสริมบ้าง
จนกระทั่งเปลือกตาของเหล่าไท่ไท่เริ่มฝืน หลี่หมัวมัวจึงบอกเสด็จย่าทวดว่าถึงเวลาพักผ่อนตอนกลางวันแล้ว
เสด็จย่าทวดจับมือหนานหว่านเยียนไว้อย่างอาลัยอาวรณ์ “เยียนเอ๋อร์…กลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
หนานหว่านเยียนพยักหน้า เสด็จย่าทวดเสด็จกลับตำหนักบรรทมอย่างอิ่มเอมใจ
หนานหว่านเยียนมองไปที่แผ่นหลังที่อ้างว้างของเสด็จย่าทวด ออกจากตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
เมื่อยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูวัง จู่ๆ หนานหว่านเยียนก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม เม้มริมฝีปากแดง อารมณ์ที่ซับซ้อนนับไม่ถ้วนสอดประสานกันในดวงตาที่เป็นประกาย…
เวลาดำเนินมาถึงช่วงหัวค่ำ เดิมทีเกี๊ยวน้อยกลับไปนอนมาตื่นหนึ่งแล้ว ใครเคยคิดจะนอนจนพระอาทิตย์ตกดินบ้าง? พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินว่าตัวตนของหนานหว่านเยียนถูกเปิดเผยแล้ว
นางร้อนใจ แก้มยุ้ยพึมพำเบาๆ ว่า “จะทำอย่างไรดี ท่านแม่จะถูกจับได้ได้อย่างไร…ข้าไม่ดีเอง หากข้าไม่นอนก็ดีสิ”
นางลูบไล้ใบหน้าที่อ่อนโยน เหมือนหงุดหงิดเล็กน้อย
ในขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้นและมองหาหนานหว่านเยียน เสียงที่ชัดเจนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “เจ้ากำลังพูดอะไร?”
“โอ๊ย!” เกี๊ยวน้อยสะดุ้งโหยงตกใจ แทบจะกระโดดขึ้นมาจากพื้น
นางตบหน้าอกเล็กๆ ของตัวเองด้วยความตกใจ ก่อนจะหันกลับมาและเงยหน้าขึ้นมองดวงตาที่อ่อนโยนและชัดเจนของกู้โม่หาน กลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว
แย่แล้ว เสด็จพ่อมาได้อย่างไร?
แต่นางใจฝ่อไปก็เท่านั้น ในเวลานี้ยังไม่สามารถโน้มน้าวใจได้
“ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย เสด็จพ่อหูฝาดแล้ว!”
“แต่ว่าเสด็จพ่อ คราวหน้าก่อนท่านจะเข้ามาช่วยส่งเสียงทักทายก่อนได้ไหม ท่านทำให้ข้าตกใจ!”
กู้โม่หานเลิกคิ้วขึ้น ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าหยอกล้อออกมา เขาเม้มริมฝีปาก เอนตัวพิงวงกบประตูอย่างเกียจคร้าน พลางจ้องมองเกี๊ยวน้อยด้วยความสนใจ
“อ้าว? แต่พ่อเคาะประตูก่อนจะเข้ามา เห็นเจ้าไม่ตอบ ข้าก็กังวลว่าจะเป็นอะไรไป”
“ตอนนี้ดูเหมือนว่า เจ้าจมอยู่กับความคิดมากเกินไปจนไม่ได้ยินข้าหรือเปล่า?”
เด็กก็คือเด็ก ไม่สามารถปกปิดเรื่องอะไรไว้ได้ อารมณ์ได้ขีดเขียนอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน
เกี๊ยวน้อยตกตะลึง พลันขมวดคิ้วด้วยความตื่นตระหนก “งั้นหรือ?”
นางไม่ได้ยินที่เขาเคาะประตู หรือว่านางจะจริงจังเกินไปจริงๆ?
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ขอโทษกู้โม่หานอย่างสุภาพ “มันเป็นความผิดของข้าเอง ขออภัยเสด็จพ่อ”
กู้โม่หานยิ่งมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งโปรดปรานลูกสาวของตนมากขึ้นเท่านั้น เขาเดินเข้าไปหานาง ย่อตัวลงบีบแก้มของเกี๊ยวน้อย ริมฝีปากบางแย้มยิ้มสวยงาม
“ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า เอาล่ะ หลับไปนานเจ้าคงหิวแล้วสินะ ไปหาท่านแม่ของเจ้า ครอบครัวเราจะร่วมรับประทานอาหารกัน”
เขารู้ว่าเกี๊ยวน้อยได้ข่าวเรื่องตัวตนของหนานหว่านเยียนถูกเปิดเผย เขาอยากจะดูว่าสาวน้อยคนนี้จะมีสีหน้าท่าทางอย่างไร
เกี๊ยวนึ่งมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาซ่อนอยู่ในแสงและเงาของกู้โม่หาน มองเขาอย่างว่างเปล่า
คิ้วและดวงตาของเสด็จพ่อดุจดั่งภาพวาด สันกรามคมชัดดูดีมาก ลำคอเรียวยาวถูกปกเสื้อสีทองขับให้ขาวผ่องโดดเด่น เหมือนคนที่เดินออกมาจากภาพวาดเลย
ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าในหัวใจเสด็จพ่อจะรักผู้หญิงมากน้อยเพียงใด หน้าตาของเขาดูหล่อเหลาจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ท่านแม่เคยชอบเขาและจะแต่งงานกับเขา
เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่เขาพูด ก็บอกว่าต้องการรับประทานอาหารกับท่านแม่ นางเบือนหน้าหนีทันทีด้วยความใจฝ่อ ไม่กล้ายอมรับว่าตนได้พบกับแม่ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน
“ไปกันเถอะ”
กู้โม่หานเอื้อมมือไปอุ้มลูกสาวขึ้นมา แต่เกี๊ยวน้อยกลับกระโดดถอยหลังแล้ววิ่งหนีไป ใบหน้าดูเคร่งขรึมจริงจังมาก “ไม่ได้! ข้าคือเด็กโตแล้ว มีเด็กโตที่ไหนต้องอุ้มเดินอีก”
“ข้าเก่งกาจมาก!”
พูดจบ นางก็รีบออกจากประตูตำหนักพลางบ่นพึมพำ ก้าวสวบๆ ไปข้างหน้า ไม่อยากให้กู้โม่หานมองเห็นความลำบากใจบนใบหน้าของตน
กู้โม่หานก็ไม่หงุดหงิด อมยิ้มลุกขึ้น ไม่ถึงสองก้าวก็ตามมาเจอเกี๊ยวน้อยที่กำลังวิ่งเร็วจี๋
กู้โม่หานหันหน้าไปมองลูกสาวที่เชื่อฟังอยู่ข้างกายด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากบางวาดเป็นเส้นโค้ง
“สาวน้อย เดี๋ยวตอนกินข้าว ช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
ว่าแล้ว เขาก็หยิบผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาจากปกเสื้อ ยื่นให้เกี๊ยวน้อย
เห็นผลไม้เคลือบน้ำตาล ดวงตาของเกี๊ยวน้อยก็เบิกกว้าง
นางรับผลไม้เคลือบน้ำตาลอย่างตื่นเต้นดีใจ ลอกกระดาษน้ำมันออกแล้วเลียด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อได้ผลไม้เคลือบน้ำตาลมาจากที่ไหน? หวานจัง!”
ดวงตาของกู้โม่หานฉายแววโอ้อวดที่ยากจะสังเกตเห็น “หวานก็ดี ในเมื่อเจ้ากินของที่ข้าให้เจ้าแล้ว งั้นก็แสดงว่า เจ้าสามารถช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งได้?”
เกี๊ยวน้อยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าถูกล่อลวงด้วยอาหารเลิศรส “พูดมาสิ ข้าฟังอยู่เจ้าค่ะ”
เสียงของกู้โม่หานนั้นอ่อนโยนและโน้มน้าวใจ
“ตอนนี้ท่านแม่ของเจ้าโกรธข้านิดหน่อย ข้าต้องการให้เจ้าไปพูดเพราะๆ ต่อหน้านาง ให้ข้ากับแม่ของเจ้าได้คืนดีกันเหมือนวันเก่า…”