ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 761
ตะวันรอนสีสันสวยสดงดงามค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเลือด แสงสีส้มเต็มไปทั่วท้องฟ้า แสงขาวที่สว่างโชติช่วง ได้สาดส่องแสงสุดท้ายมายังโลกมนุษย์
กู้โม่หานไม่รู้ว่าได้นั่งอยู่นอกห้องของหนานหว่านเยียนอยู่เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุด ริมฝีปากบางของชายคนนี้ก็ได้ขยับ เขามองย้อนกลับไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทด้วยความอาลัยอาวรณ์แล้วค่อยลุกขึ้นอย่างช้าๆ
เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เพียงแค่เหยียบจดหมายบันทึกหลักฐานที่แสดงว่าได้กระทำผิดที่อยู่เต็มพื้นของหยุนอี่ว์โหรว แล้วค่อยๆเดินออกจากตำหนักหยูซินทีละก้าว……
หลังจากที่กลับมาจากตำหนักหยูซิน กู้โม่หานก็ไม่ได้พูดคุยกับใครเลยสักคน สาวเท้าเดินตรงไปยังห้องทรงพระอักษร
เสิ่นอี่ว์ที่รออยู่ตรงหน้าห้องโถงมาตั้งแต่แรกเมื่อเห็นเหตุการณ์ ได้แต่เดินหน้างอตามหลังกู้โม่หานด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดรบกวนกู้โม่หาน
เขาเข้าใจดีว่า ในเวลานี้ระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาทั้งสองคนนั้น ต้องมีความไม่เข้าใจกันอีกมากมายเป็นแน่ เมื่อสักครู่นี้ถึงแม่ว่าฮ่องเต้จะประทับอยู่ที่ตำหนักหยูซินอยู่เป็นเวลานาน แน่นอนว่าเขาไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับฮองเฮาดีดีเลยแม้แต่เพียงคำเดียว
พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นอี่ว์ได้แต่กัดฟัน จมดิ่งอยู่กับการโทษตัวเองอยู่แบบนั้น
ทั้งสองคนหนึ่งเดินอยู่ตรงหน้าส่วนอีกคนเดินตามหลังมาจนมาถึงห้องทรงพระอักษร กู้โม่หานไม่ได้พูดอะไร เดินตรงไปถึงโต๊ะแล้วนั่งลง ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาในเวลานี้ดูเหมือนจะผอมบางลง
ภายในดวงตาและคิ้วที่เรียวยาวละเอียดอ่อนงดงามของเขา ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าเล็กน้อย นิ้วเรียวยาวของเขาลูบขมับเบาๆ หลับตาทั้งคู่ลง ทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขาได้
เสิ่นอี่ว์เม้มริมฝีปาก กำลังจะเปิดปากพูดปลอบใจ ก็ถูกเสียงเย็นชาของกู้โม่หานขัดจังหวะ
“เสิ่นอี่ว์ ให้คนพาอานผิงไปตำหนักหยูซินก่อน ให้อยู่กับฮองเฮาให้ดี”
และฝากบอกเซียงอวี้กับเซียงเหลียนด้วยว่า จะต้องดูแลฮองเฮาให้ดี และห้ามให้เกิดความผิดพลาดใดๆโดยเด็ดขาด”
แม้ว่าหนานหว่านเยียนจะเย็นชาใส่เขาในตอนนี้ แต่ความตั้งใจแรกเริ่มที่เขามีต่อนางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป ขอแค่เป็นเรื่องที่เขาสามารถทำให้ได้เขาก็จะทุ่มเทและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือหนานหว่านเยียนให้ได้
หลังจากที่เสิ่นอี่ว์รู้สึกตัว ก็รีบตอบกลับโดยทันที “เพค่ะ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดียวนี้”
“รอเดี๋ยวก่อน” กู้โม่หานเรียกเสิ่นอี่ว์ที่ได้หันตัวกำลังจะเดินออกไปไว้ ค่อยๆลืมลูกตาสีดำขลับขึ้น ใต้ตาที่เข้มเหมือนหมึกดำราวกับว่าไม่สามารถที่จะละลายได้ มันช่างดูเข้มลึกและมืดมนมาก
ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
“เวลานี้ฮองเฮาเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ทุกสิ่งอย่างในตำหนักหยูซิน ต้องเลือกของที่ดีที่สุดมาถวายให้ เจ้าไปแจ้งคนรับใช้ทุกคนให้ทราบให้ระวังกันมากยิ่งขึ้น ของทุกอย่างที่อยู่ในวังหากมีมุมแหลมคมต้องได้รับการเปลี่ยนเป็นอันใหม่ทั้งนั้น”
“โต๊ะเก้าอี้กและเครื่องเรือนอื่นๆ ขอบและหัวมุมต่างๆต้องห่อด้วยผ้าไหมนุ่มให้หมด ยังมีอีกเรื่องก็คือ ธรณีประตูตรงหน้าตำหนักบรรทม ไปหาคนมาเลื่อนให้อยู่ในระดับเดียวกันในตอนนี้ทันที!”
“และอย่าลืมบอกพวกเขาให้เสียงเบาๆกันด้วย อย่าไปรบกวนเวลาผักผ่อนของฮองเฮา”
สภาพจิตใจของหว่านเยียนยิ่งไม่ดีอยู่แล้ว หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเวลาเดินแล้วใจลอยสะดุดล้มขึ้นมา นางอาจได้รับบาดเจ็บได้แย่ไปกว่านั้น……
ผลที่ตามมาอาจเร็วร้ายกว่าที่คิด
เสิ่นอี่ว์ชะงักงันไปครู่หนึ่ง ของใช้ประจำวันที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงกำลังใช้ เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ฮ่องเต้เคยปฏิบัติไม่ดีต่อนางได้อย่างไร?
แต่จะว่าไป เพียงแค่กำลังตั้งครรภ์ คาดไม่ถึงว่าต้องซับซ้อนและเหนื่อยยากลำบากกันถึงขนาดนี้ ใช้ระยะเวลาที่เร็วที่สุด ทำให้ตำหนักหยูซินทั้งตำหนักถูกตกแต่งใหม่อีกรอบซึ่งเป็นการใช้แรงงานไม่ใช่น้อย
อีกอย่างหนึ่ง ยังต้องห่อหุมสิ่งที่แข็งและสามารถทำให้เกิดการกระแทกได้ง่ายทั้งหมด ไม่เพียงแต่เสียเวลาและเสียงแรงเท่านั้น ยังต้องระวังเป็นพิเศษอีกด้วย
สำหรับการปรับระดับธรณีประตู นั่นหมายถึงการที่จะต้องสร้างแผงที่แข็งแกร่งและแน่นหนาให้ยิ่งขึ้น
ฮ่องเต้นั้น ครอบคลุมไปสะทุกๆด้านจริงๆ ทรงคิดพิจารณาแทนฮองเฮาเหนียงเหนียงไปหมดสะทุกเรื่อง
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ฮ่องเต้นี่ท่านกำลังเป็นห่วงฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่ใช่ไหม?”
กู้โม่หานมองด้วยความสงสัยไปยังเสิ่นอี่ว์ แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชาและกดต่ำ “ให้เจ้าไปทำงาน ไม่ได้ให้เจ้าพูดจาไร้สาระเยอะแบบนี้”
เสิ่นอี่ว์ไม่กล้าตอบโต้ “เพค่ะ ข้าน้อยพูดมากเกินไป ฮ่องเต้โปรดลงโทษ”
“ฝ่าบาทท่านยังมีรับสั่งอะไรอีกหรือไม่?” ข้าน้อยจะได้ไปดำเนินการพร้อมกัน”
กู้โม่หานเม้มริมฝีปากและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใช้นิ้วขาวเย็นเคาะบนโต๊ะ
“ไปแจ้งห้องเครื่องด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาหารของฮองเฮาจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ขอแค่เป็นเพียงอาหารต้องห้ามสำหรับคนท้องทั้งหมดต้องห้ามนำมาส่งถึงตำหนักหยูซิน ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนคำสั่ง จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยไม่มีการผ่อนปรน!”
“แล้วเจ้าไปแจ้งที่สำนักหมอหลวงอีกครั้ง ในทุกวันให้ส่งหมอหลวงไปที่ตำหนักหยูซินเพื่อดูอาการชีพจรของฮองเฮาว่าปลอดภัยหรือไม่ ข้าต้องได้รู้ถึงทุกสถานการณ์ของนางอย่างละเอียด”
กู้โม่หานได้แต่พูดฉอดๆอย่างไม่หยุดพัก ทำให้เสิ่นอี่ว์ตกตะลึงอ้าปากค้างไปเล็กน้อย
เขามองไปตรงหน้าที่ไร้รอยยิ้มของฝ่าบาท กำชับและบอกเล่าทุกสิ่งอย่างที่สตรีมีครรภ์และเด็กควรต้องระวังให้กับเขา ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นความสับสนเล็กน้อย
ฝ่าบาทนั้นทรงเป็นห่วงฮองเฮาและองค์หญิงน้อยทั้งสองอย่างจริงๆ อีกอย่างในตอนนี้ในท้องของเหนียงเหนียงยังมีองค์ชายน้อยอีกคนด้วย……
ด้วยความอ่อนโยนของฮ่องเต้นั้น ทำให้เขาหัวเราะโดยไม่รู้ตัว “น้อมรับคำสั่งเพค่ะ”
กู้โม่หานสังเกตเห็นรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของเสิ่นอี่ว์ ดวงตาสวยงามที่แคบและยาวค่อยๆเหล่มองเล็กน้อย “เจ้าหัวเราะอะไร?”
เสิ่นอี่ว์สีหน้าหยุดชะงัด แล้วรีบกลับคืนสู่สภาพที่จริงจังเหมือนเมื่อสักครู่นี้ “ไม่ ไม่มีอะไรเพค่ะ”
กู้โม่หานชำเลืองมองเสิ่นอี่ว์ด้วยสายตาที่สงสัย แล้วพูดต่อในสิ่งที่เขาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ “อีกอย่างหนึ่ง เจ้าไปแจ้งสำนักหมอหลวงอีกครั้ง ให้พวกเขาส่งหนังสือทางการแพทย์สำหรับหญิงตั้งครรภ์มาบางส่วน ข้าต้องการอ่าน”
เสิ่นอี่ว์พยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม “เพค่ะ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปจัดการให้เสร็จ โปรดฮ่องเต้ทรงวางใจได้เพค่ะ”
ฮ่องเต้นั้น ทรงเป็นห่วงฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วยส่วนลึกในหัวใจอย่างจริงๆ……
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลสตรีมีครรภ์ด้วยตัวเอง สำหรับฮ้องเต้นั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ อาจถูกคนเอาไปพูดเรื่อยเปื่อยได้ อย่างไรเสียฮ่องเต้นั้นก็เป็นถึงกษัตริย์
แต่เสิ่นอี่ว์คิดไปคิดมา ทันใดนั้นก็มีสีหน้าหงอยเหงาวังเวงขึ้น
สิ่งที่ฮ้องเต้ทรงทำในตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าในอดีต เขาได้พลาดโอกาสดูแลการเติบโตขององค์หญิงน้อยทั้งสอง
ในฐานะที่เป็นพ่อ ไม่มีทางไหนที่จะชดเชยความเสียใจเช่นนี้ได้ ดังนั้นฮ้องเต้จึงทำได้เพียงชดเชยให้กับฮองเฮาเหนียงเหนียง
รวมถึงทายาทตัวน้อยที่ยังไม่ได้เกิดในตอนนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่า
หลังจากประสบการณ์ในวันนี้ ความจริงทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น ในเวลาแบบนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับฮ่องเต้ที่จะยอมรับข้อเท็จจริงมากมายที่เกิดขึ้นในอดีต เขาคงจะเป็นทุกข์มากอย่างแน่นอน
ภายในใจของเขา คงจะเต็มไปด้วยความสำนึกผิดและความรู้สึกเสียใจต่อฮองเฮาเหนียงเหนียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เสิ่นอี่ว์มองไปที่กู้โม่หานอย่างระมัดระวัง เห็นแค่คิ้วดาบของกู้โม่หานขมวดไว้แน่น ลูกตาดำเหมือนสีหมึกคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความกลุ้มใจมึดสลัวแพร่พรั่งพรูออกมา
เสิ่นอี่ว์ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ทันใดนั้นก็กำหมัดแน่น
ฮองเฮาเหนียงเหนียงกับฮ่องเต้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นยังคงไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน
และเขายังช่วยฮองเฮาเหนียงเหนียง ปิดบังฮ่องเต้อยู่เป็นเวลานาน พูดถึงเหตุการณ์ในวันนี้ที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น เขาเองก็ต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบอยู่เป็นอย่างมากเช่นกัน
กู้โม่หานเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเสิ่นอี่ว์ยังคงยืนอยู่ข้างเขา ยกเปลือกตาขึ้น “ทำไหม ยังมีเรื่องอื่นหรือ?”
เสิ่นอี่ว์กัดฟัน สีหน้าของเขาจริงจังมาก
เขาถอดกระบี่ที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ คุกเข่าลงต่อหน้ากู้โม่หาน และส่งมอบดาบด้วยมือทั้งสองข้าง และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “กราบทูลฝ่าบาท ข้าน้อย—— ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว”
สีหน้าของกู้โม่หานมีความไม่เข้าใจเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
เวลานี้เสิ่นอี่ว์ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าของกู้โม่หาน เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และได้พูดเรื่องที่ตัวเองได้ปิดบังและหลอกลวงให้กู้โม่หานออกมาทั้งหมดในคราวเดียว
“ความจริง ข้าน้อยไม่ได้ความจำเสื่อม……