ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 791 ให้เจ้าไร้ทุกข์โศกตลอดชีวิต

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 791

โม่หวิ่นหมิงหรี่ตาลง เอ่ยวิเคราะห์อย่างมีหลักเกณฑ์ชัดเจน “อาจเป็นไปได้ว่า แคว้นเทียนเซิ่งเดิมต้องการส่งกองกำลังไปโจมตีแคว้นต้าเซี่ย ทั้งยังต้องยุยงปลุกปั่นให้แคว้นซีเหย่ส่งกองกำลังมาร่วมสู้รบด้วย เพียงแต่กู้โม่หานไม่ใช่คนที่ชำนาญการทำศึกนัก เหตุนี้จึงยอมจำนนในสงคราม เป็นเหตุให้แคว้นเทียนเซิ่งไม่พอใจ”

“และหากแคว้นต้าเซี่ยส่งคณะทูตมาเยือนแคว้นซีเหย่ หากว่าพันธมิตรรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แคว้นเทียนเซิ่งย่อมระส่ำระสาย ต่อให้พวกเขายังไม่ทราบเรื่องที่แคว้นต้าเซี่ยประสงค์จะส่งคณะทูตมาเยือนแคว้นซีเหย่ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ต้องหาหนทางใส่ร้ายป้ายสีแคว้นต้าเซี่ยอย่างยิ่งยวด คิดหาหนทางบีบคั้นให้แคว้นซีเหย่ต้องส่งกองกำลังออกมาทำสงคราม ต่อต้านแคว้นต้าเซี่ย! ช่างเป็นเจตนาอันชั่วร้ายยิ่งนัก!”

เท่าที่เขาทราบมา ผู้มาเยือนจากแคว้นต้าเซี่ยท่านนั้นเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง แคว้นต้าเซี่ยและแคว้นซีเหย่จะต้องเกิดสงครามนองเลือดขึ้นโดยมิอาจเลี่ยงแน่!

เรื่องนี้ ไม่ต้องบอกหว่านหว่านเห็นจะดีกว่า อย่าไปเพิ่มความกังวลใจให้นางเลย…

หนานหว่านเยียนไม่ทราบความคิดของโม่หวิ่นหมิง ก็วิตกกังวลไม่สิ้นสุดแล้ว เห็นหัวคิ้วเขาขมวดแน่นไม่คลาย นางก็ตบแขนเขาเบา ๆ พลางเอ่ยปลอบประโลม “ข้าเชื่อว่าทูตของแคว้นต้าเซี่ยไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น อีกอย่าง กลศาสตร์ของพวกข้าก็มีชื่อเสียงเลื่องลือ คนชั่วเหล่านั้นต่อให้ความกล้าปกคลุมแผ่นฟ้า ก็ไม่กล้าผลีผลามเคลื่อนไหวโดยไม่ระวังหรอก”

โม่หวิ่นหมิงทอดสายตามองหนานหว่านเยียน แววตานั้นสะท้อนประกายวูบไหวดังเกลียวคลื่น กลับต้องข่มความรู้สึกทั้งหมดที่มีไว้ในใจ “หว่านหว่าน เจ้ายังรู้จักปลอบโยนคนเหมือนเดิม”

“ท่านแสนดีออกเพียงนี้ เสียดายที่บางคนมีตาหามีแววไม่…”

หากนางเกิดที่แคว้นต้าเซี่ย เติบโตที่แคว้นต้าเซี่ย จะต้องทนกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นได้อย่างไร

นางต้องเป็นดั่งไข่มุกเปล่งประกายในอุ้งมือของทุกคน เป็นบุปผางามในฤดูร้อนที่ผลิบานใต้แสงตะวันเรืองรอง สะพรั่งบานละลานตาที่สุดแน่ และยังเป็นคนที่เขาจะให้คำสัตย์สาบานว่าจะปกป้องดูแลไปตลอดชีวิต

นัยน์ตาของหนานหว่านเยียนหมองหม่นลงเล็กน้อย ในใจกลับไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้เท่าใดนัก จึงเปล่งเสียงเตือนออกไปว่า “ท่านน้า สถานการณ์ยามนี้ไม่ปลอดภัยนัก ที่จวนแม่ทัพก็มีปัญหา ข้าเองก็ไม่สามารถพาซาลาเปาน้อยพำนักอยู่ที่นั่นได้อีกแล้ว”

“เช่นนั้นอาจต้องรบกวนท่าน ช่วยดูแลนางต่ออีกสักระยะหนึ่ง ไว้ทูตแคว้นต้าเซี่ยมาถึง พวกข้าจะเดินทางทันที!”

โม่หวิ่นหมิงกลับเบิกตาจ้องหนานหว่านเยียนไม่กะพริบ

ดวงหน้าหล่อเหลาของเขามิได้มีเส้นคมคายเหมือนกู้โม่หาน แต่อ่อนโยนนุ่มละมุนกว่าเป็นสิบเท่า นัยน์ตาของเขาเต็มด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่พยายามข่มเอาไว้

“เรื่องของเจ้า ไม่เคยเป็นการรบกวนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“เจ้าวางใจเถิด ข้ายืนยันว่าจะปกป้องคุ้มครองเจ้าหนูน้อยอย่างสุดความสามารถ เมื่อใดที่เจ้าต้องการข้า เพียงหันกลับมาก็จะเห็นข้าอยู่ตรงนั้นเสมอ”

ไม่ว่าเมื่อใด เขาล้วนยืนหยัดปกป้องคุ้มครองอยู่เคียงกายหนานหว่านเยียน เป็นโล่บังหลังและที่พึ่งพิงอันแข็งแกร่งมั่นคงที่สุดให้นางเสมอ

สิ่งนี้มิใช่เพียงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็น…ความปรารถนาส่วนตัวของเขาด้วยเช่นกัน

หนานหว่านเยียนขอบตาแดงรื้นขึ้นมาด้วยความซาบซึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนความทุ่มเทพยายามและความยืนหยัดมั่นคงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ของโม่หวิ่นหมิงอย่างไรดี “ท่านน้า ข้าซาบซึ้งในพระคุณของท่านยิ่งนัก”

นางคิด อาจเพราะเป็นคนใกล้ชิดกันทางสายเลือด ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ล้วนยืนหยัดอยู่เคียงข้างตนเองตลอดไปก็ได้…

รอยยิ้มของโม่หวิ่นหมิงอ่อนโยนและสุภาพถ่อมตัว ครั้นได้ยินหนานหว่านเยียนเอ่ยวาจาซาบซึ้งต่อเขา ลึกเข้าไปในดวงตากลับมีความผิดหวังหนึ่งปรากฏวูบไหวขึ้นมา

“บอกหลายครั้งแล้ว ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งในบุญคุณอะไรนักหรอก”

“ระหว่างนี้ เจ้าเองก็ต้องดูแลตนเองให้ดี แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า แต่เฟิงยางจะดูแลปกป้องเจ้าแทนข้า”

“ข้ายังคอยที่จะได้ กลับแคว้นต้าเซี่ยร่วมกันกับพวกเจ้า”

เอ่ยถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเขาพลันสะท้อนประกายขึ้นมา แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวและความหวัง

“แม้ว่าข้ามีเรื่องราวมากมายที่จำได้ไม่ชัด ทว่าข้าก็ยังพอจำได้เลือนรางว่า ในหุบเขาชายแดนตะวันตกของแคว้นต้าเซี่ย มีทะเลสาบหนึ่งที่ชื่อว่า ‘อู้ไห่’”

“ในทุกคืนเดือนเพ็ญ มักมีไอน้ำลอยกรุ่นอยู่บนผิวน้ำ และหิ่งห้อยในป่าก็ส่องประกายแสงราวดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกสิ่งพรั่งพรูออกมารวมกัน ได้ประสบมากับตัว ก็คล้ายว่าร่างกายลอยล่องอยู่กลางท้องนภา งดงามละลานตาจนมิอาจชื่นชมสรรพสิ่งทั้งหมดได้ในคราวเดียว”

“ข้าอยากพาเจ้ากับพวกเด็ก ๆ ไปที่นั่นด้วยกัน กินขนมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแคว้นต้าเซี่ยให้อิ่มหนำ พวกนางสองคนพี่น้อง จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ”

แววตาของโม่หวิ่นหมิงเต็มด้วยภาพจินตนาการ คล้ายกับได้เห็นภาพแห่งความสุข ที่ตัวเขาได้อยู่เคียงข้างหนานหว่านเยียน อยู่ร่วมกันกับพวกเด็ก ๆ ทั้งวันทั้งคืนนั้นจริง ๆ

เพียงแต่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าความปรารถนาที่แสนจะธรรมดานี้ ไม่สามารถเป็นจริงเพื่อเขาได้ แสงความหวังของเขา มีแต่ต้องจมดิ่งในราตรีมืดมิดอันนิจนิรันดร์

หนานหว่านเยียนฟังถ้อยคำของโม่หวิ่นหมิง คล้ายกับตนเองจมดิ่งเข้าไปในห้วงจินตนาการ ภาพบางอย่างพลันปรากฏขึ้นมาในสมองโดยที่ไม่รู้สึกตัว

แสงดวงดาวตรงหน้าล่องลอยขึ้นไป แสงรุบรู่ของหิ่งห้อย กลับวนเวียนอยู่ข้างดวงหน้ารูปงามเย็นชาและคมคายนั่น

เสียงขิมดีดบรรเลงสูงต่ำไพเราะอ่อนช้อย ชัดเจนว่าเป็นภาพในวังหลวงคืนนั้นที่กู้โม่หานดีดขิมบรรเลงเพื่อขับกล่อมนาง

เพียงพริบตาเดียว หัวคิ้วของนางกลับขมวดขึ้นมา

“หว่านหว่าน”

เสียงเรียกแผ่วเบาของโม่หวิ่นหมิงดึงความรู้สึกของหนานหว่านเยียนกลับมา นางฝืนยิ้มออกมา ทว่าไม่เคยค้นพบอารมณ์ร้อนรุ่มแผดเผาในแววตาของคนตรงหน้าแม้เพียงเสี้ยวครั้ง “อืม ท่านน้ามีอะไรหรือเปล่า?”

โม่หวิ่นหมิงจ้องมองนาง ท่าทางพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันใด

“หว่านหว่าน ข้าสาบานต่อหน้าเจ้า ไว้กลับไปถึงแคว้นต้าเซี่ยเมื่อใด ข้าจะดูแลปกป้องเจ้าเกี๊ยวน้อยและเจ้าซาลาเปาน้อยสองคน และจะดูแลเจ้าอย่างดี รวมไปถึงทารกน้อยในครรภ์ของเจ้าด้วย จะต้องเติบโตมาแข็งแรงและปลอดภัย”

“นับจากนี้ ข้าจะปกป้องดูแลเจ้าอย่างดี หน้าที่คุ้มครองเจ้าให้พ้นจากทุกข์โศกความกังวล ข้าจะเป็นคนจัดการเอง…”

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท