ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 792
สายตาของโม่หวิ่นหมิงทั้งจริงใจและเร่าร้อน หัวใจของหนานหว่านเยียนพลันอบอุ่นขึ้นมา นัยน์ตารื้นแดงเอ่อล้นด้วยน้ำตา
ตลอดสิบปีที่ผ่านมา คนที่อยู่เคียงข้างนางก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ยืนหยัดเพื่อปกป้องนางมาตลอดอย่างไม่ลดละ ไม่เคยทอดทิ้ง กลับกันยังยินดีเป็นคนชายขอบเพื่อนางมาตลอดสิบปี กล้ำกลืนกับความทุกข์ตรมลำบากอย่างถึงที่สุดเพื่อนาง
มีญาติคนสนิทที่แสนดีเพียงนี้อยู่เคียงข้าง นางรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเหลือเกิน นางผุดยิ้มอย่างอ่อนโยน “ท่านน้า พวกข้าต่างเป็นคนตระกูลเดียวกัน ข้าจะยอมให้ท่านเอาแต่ปกป้องพวกข้าไปตลอดชีวิตอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร นับจากนี้ ทั้งท่านและข้าควรจะช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน”
“ข้าปรารถนาที่จะได้เดินทางกลับแคว้นต้าเซี่ยด้วยกันกับท่าน คาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น และหลังจากนั้น ข้าจะนอบน้อมเคารพท่านเสมือนผู้อาวุโส!”
“เพียงแต่ บัดนี้ข้าต้องเดินทางแล้ว กู้โม่หานยังคอยข้าอยู่ด้านล่าง ข้าเกรงว่าเขาจะหมดความอดทน ถึงเวลานั้นอาจ…”
วาจาของนางมิได้ถูกเอ่ยออกมาจนครบประโยค แววตาของโม่หวิ่นหมิงพลันหม่นลง ในใจรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางก็ยังไม่เคยเข้าใจหัวใจของเขาเลย…
กระนั้นเขากลับไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่เอ่ยด้วยเสียงเบาหวิวออกไป “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารีบกลับไปเถิด จนกว่าจะถึงวันที่ข้ากับเจ้าได้เจอกันอีกครั้ง เมื่อนั้นก็ถึงคราต้องเดินทางกลับกันแล้ว!”
“ดี!” หนานหว่านเยียนยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะผงกศีรษะรับคำ ครั้นกล่าวลากับเขาอย่างเรียบง่ายแล้ว ก็หมุนตัวเดินลงจากหอไป
ขณะที่หนานหว่านเยียนกำลังสนทนากับโม่หวิ่นหมิง กู้โม่หานกับเจ้าซาลาเปาน้อยก็เล่นหมากด้วยกันไปหลายกระดานแล้ว
เจ้าซาลาเปาน้อยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตลอด เผชิญกับการบุกโจมตีของกู้โม่หาน ไร้กำลังต้านทานอย่างสิ้นเชิง
ดรุณีน้อยนั่งบนม้านั่ง สองแขนเท้าคางพลางเอ่ยอย่างเหี่ยวเฉา ราวกับจะร้องไห้แล้วก็ไม่ปาน
นับแต่คราแรกที่เล่นกับพี่สาว ก็เป็นอีกฝ่ายที่พ่ายแพ้ตลอด เหตุใดมาเล่นกับเสด็จพ่อ นางกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เองตลอดเช่นนี้?
นางยกมือเท้าคางอย่างไม่สบอารมณ์นัก สะบัดแขนเสื้อไล่อารมณ์หงุดหงิดเลียนแบบเกี๊ยวน้อย “มาเล่นอีกกระดาน! วันนี้ข้าต้องเอาชนะท่านให้ได้!”
กู้โม่หานมองบุตรีตรงหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อับจนหนทางเกินทน
เขาเองก็ใช่ว่าจะตั้งใจแข่งขันกับซาลาเปาน้อย ไม่ยอมอ่อนข้อให้นางชนะบ้าง แต่เพราะอีกใจหนึ่งเขาเอาแต่จดจ้องสถานการณ์ชั้นบนตลอด คอยให้หนานหว่านเยียนกลับลงมา พลางเดินหมากอย่างลอยชายไปสองตาเท่านั้น ทว่าซาลาเปาน้อยก็พ่ายแพ้ให้เขารวดเร็วเกินไป แม้แต่โอกาสให้เขายอมแพ้ก็ไม่มีเลยสักครั้ง
เห็นดรุณีน้อยใกล้จะพ่ายแพ้ เขาก็ตั้งใจทิ้งหมากไปยังจุดที่เหนือความคาดหมาย
เป็นจริงดังคาด นางคิดว่ากู้โม่หานพลาดท่าแล้ว ทันใดนั้นก็วางหมากตัวหนึ่งข้างหมากสีดำของกู้โม่หานด้วยอารมณ์เร่าร้อนอยากเอาชนะ ก่อนจะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจขึ้นมาว่า “คิดไม่ถึง ว่าท่านเองก็พลาดท่าเสียทีได้เหมือนกัน”
กู้โม่หานแสร้งเลิกคิ้วตกใจขึ้นมา ก็กลั้วหัวเราะพลางเอ่ยชื่นชมออกไป “คิดแล้วว่าคู่ต่อกรอย่างเจ้า คู่ควรให้นับถือยิ่งนัก ช่วยไม่ได้ที่ข้าตัดสินใจพลาดพลั้งไป พ่ายแพ้ให้เจ้าเช่นนี้ก็นับว่าอยู่ในเหตุผลแล้ว”
ซาลาเปาน้อยหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะละสายตาออกทันใดและเดินหมากต่อ ทว่าในใจ เก็บซ่อนความสุขไว้มากมาย
ทว่ากู้โม่หาน “พลาดท่า” ให้ครั้งสองครั้งยังพอว่า แต่หลายครั้งเข้าหน่อย ต่อให้เป็นซาลาเปาน้อย ก็คงไม่พอใจเหมือนกัน
นางทอดสายตามองกระดานหมากที่ตัดสินชี้ขาดแล้วตรงหน้า ตราบใดที่ตนเองวางหมากตัวสุดท้ายนี้ลงบนกระดาน ก็สามารถชนะได้แล้ว
แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกทุกข์ตรมเกินทนไหวก็ไหลพรั่งพรูออกมา หยาดน้ำตาเท่าเม็ดถั่วพลันไหลพรากออกมาราวกับเส้นด้ายที่ขาดสะบั้น “ฮือๆๆ ท่าน ท่านเหยียดหยามเกินไปแล้ว!”
กู้โม่หานพลันลุกลี้ลุกลนทันใด ก็ทิ้งหมากในมือก่อนจะเดินมาข้างกายซาลาเปาน้อย โอบกอดบุตรีไว้ในอ้อมอกด้วยใบหน้าสงสารและจนใจพลางเอ่ยว่า “ทั้งที่เจ้าก็ชนะแล้ว เหตุใดถึงร้องไห้ออกมา?”
ซาลาเปาน้อยยื่นมือออกมาดันหน้าอกของกู้โม่หานไว้ ก่อนจะเปล่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา “ข้าไม่ได้ชนะท่านด้วยตนเอง! ทั้งหมดเป็นเพราะ… เป็นเพราะว่าท่านเห็นข้าเป็นคนโง่เง่า สมเพชที่ข้าเอาแต่พ่ายแพ้ตลอด ถึงได้จงใจอ่อนข้อเพื่อให้ข้าชนะท่าน!”
“ท่านแม่…แล้วก็ท่านพี่บอกเสมอว่า การกระทำเช่นนี้ เท่ากับเหยียดหยามไม่เคารพคู่ต่อสู้!”
เฟิงยางลอบสอดสายตามองกู้โม่หานด้วยความคิดสมน้ำหน้า
บุรุษผู้นี้น่ารำคาญยิ่งนัก มักใช้อำนาจคุกคามจวิ้นจู่เสมอ ดีหน่อยที่มีคุณหนูเล็กคอยขัดเกลาเขาบ้าง จวิ้นจู่เองก็รู้จักต่อกรกับผู้ใหญ่เป็น หารือเรื่องสำคัญเป็นแล้วบ้าง
ดังคาด ซาลาเปาน้อยร้องไห้โยเย กู้โม่หานก็ถูกเบนความสนใจมาตรงนี้ทันที มือไม้อ่อนไปหมด โอบกอดซาลาเปาน้อยอย่างลนลาน ก่อนจะเอ่ยปลอบประโลมด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ เจ้าเก่งมากแล้วจริงๆ นะ”
“ข้ายอมรับ ว่าเรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก หลังจากนี้ข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว แต่เจ้าต้องเชื่อมั่นเข้าไว้ เจ้าเป็นเด็กที่มีศิลปะในการเดินหมากที่ปราดเปรื่องยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง ในบรรดาเด็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าที่ข้าเคยพบเจอมาก่อนแล้ว หากว่าเป็นคนอื่น มาเป็นคู่ประลองฝีมือกับเจ้า ก็คงจะพ่ายแพ้เจ้าอุตลุดไปนานแล้ว”
ซาลาเปาน้อยสะอื้นพลางสูดจมูก จ้องมองกู้โม่หาน ดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ฉายประกายน้อยเนื้อต่ำใจชวนให้รู้สึกสงสารสุดหัวใจ “จริงหรือ?”
กู้โม่หานเห็นบุตรีสงบลงไม่น้อย ก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาก่อนเอ่ยคำหนึ่ง “จริงสิ”
ซาลาเปาน้อยจ้องมองกู้โม่หานด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ร้องไห้โยเยแล้ว มีเพียงขอบตาที่รื้นแดงอยู่เท่านั้น นางคิดจะกล่าวบางอย่าง ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงร้อนรนและเคร่งเครียดของหนานหว่านเยียนแว่วดังมา จากด้านหลังของกู้โม่หาน
“กู้โม่หาน! เจ้าทำอะไรกับเจ้า…อาผาน?”
นางเพิ่งลงมาชั้นล่าง ก็ได้ยินเสียงบุตรีร้องไห้โวยวาย จึงรีบสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างร้อนรนกังวลใจ
กู้โม่หานไม่ใช่คนสติฟั่นเฟือนเช่นนั้นเสียหน่อย ต่อให้ไม่รู้จักซาลาเปาน้อยมาก่อน นางแค่ไปพบหน้าท่านลุงประเดี๋ยวเดียว เขาจะฉวยโอกาสรังแกดรุณีไม่มีทางสู้ทันทีอย่างนั้นหรือ?!
ทว่ากู้โม่หานกลับลุกพรวดขึ้นทันใด ในยามที่เขาได้เห็นดวงหน้างามพริ้มเพราของหนานหว่านเยียน หัวใจที่กำลังเต้นหวิวไม่เป็นส่ำก็สงบลงมาทันใด ความรู้สึกกระวนกระวายทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยความสุขุมลงมาทันใด ในแววตาเขาเต็มด้วยความอ่อนโยนและรอยยิ้ม
“หว่านเยียน”
นางจดจำถ้อยคำของเขาไว้ในใจ มิได้กระซิบกระซาบสนทนากับโม่หวิ่นหมิงเนิ่นนานแต่อย่างใด
ซาลาเปาน้อยยื่นมือออกมาหมายจะเข้ามากอดหนานหว่านเยียนไว้ หนนี้กู้โม่หานไม่ได้ห้ามไว้ กลับกันยังส่งดรุณีน้อยให้หนานหว่านเยียน
“เมื่อครู่เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ตอนที่เล่นหมากกับอาผาน จงใจเล่นแพ้ ทำให้นางไม่พอใจ”
หนานหว่านเยียนกระชับอ้อมกอดซาลาเปาน้อย เห็นนัยน์ตาของดรุณีน้อยรื้นแดง ก็เอ่ยถามอย่างระแวง “จริงหรือ?”
ซาลาเปาน้อยผงกศีรษะอย่างซื่อสัตย์ “เพคะ”
หนานหว่านเยียนวางใจในครานี้ นางเพิ่งจะคิดไปเองจริง ๆ ว่าคนอย่างกู้โม่หานรักแกเด็กน้อยไร้ทางสู้ นางเอ่ย “ข้าคุยกับเถ้าแก่เรียบร้อยแล้ว จากนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อน เป็นอย่างไร?”
ได้ยินเช่นนั้น แววตาของซาลาเปาน้อยพลันหมองลง คล้ายจะผิดหวังและอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย
“ก็ได้”
กู้โม่หานเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ในแววตาลุ่มลึกและเย็นเยียบนั้นไม่แสดงอารมณ์
ถึงคราต้องแยกจากกันแล้ว หนานหว่านเยียนยังอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก ก้มศีรษะลงแนบหน้าผากของดรุณีน้อย พลางใช้เสียงที่มีเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้นจะได้ยินกำชับกับบุตรี “ซาลาเปาน้อย เจ้าต้องเชื่อฟังคำอบรมสั่งสอนของท่านปู่หมิง ห้ามเหลวไหลเกเรไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่เด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“อีกไม่กี่วันมารดาก็กลับมาแล้ว ถึงครานั้นก็มารับเจ้ากลับไปด้วยกันแล้ว”
ซาลาเปาน้อยข่มอารมณ์สะกดให้หยาดน้ำตาไหลกลับเข้าไปในขอบตา ก่อนจะผงกศีรษะรับคำอย่างว่าง่าย “เข้าใจเพคะ”
หนานหว่านเยียนส่งเสียงเรียกสาวใช้นางหนึ่งเข้ามา จากนั้นก็ฝากฝังให้นางดูแลซาลาเปาน้อย “รบกวนเจ้าแล้ว ช่วยพาอาผานขึ้นไปข้างบนแทนข้าด้วย”
สาวใช้ผงกศีรษะด้วยความเคารพนอบน้อม ตอนที่อุ้มซาลาเปาน้อยขึ้นมา ยังระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
เห็นเช่นนี้ แววตาของกู้โม่หานก็เยียบเย็นลงสามเท่า
ซาลาเปาน้อยขึ้นชั้นสองกับสาวใช้ไปอย่างอาลัยอาวรณ์ หนานหว่านเยียนคอยกระทั่งนางหายลับไปแล้ว ถึงจะเดินทางออกจากโรงน้ำชา กู้โม่หานกวาดสายตามองโรงน้ำชาปราดหนึ่ง ก่อนจะตามออกไปด้วยกัน
……
บานหน้าต่างชั้นสองของโรงน้ำชาฝั่งถนน เงาร่างสีขาวบริสุทธิ์กำลังหยัดยืนอย่างสง่าและสุขุม
โม่หวิ่นหมิงยืนอยู่ข้างเตียง หลุบสายตาลงมองไปยังถนนที่ทอดยาวออกไป หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานนั่งอยู่ในรถม้า สายตานั้นหมองหม่นลงชัดเจน
ข้างกายเขา บ่าวรับใช้คนหนึ่งกำลังยืนก้มศีรษะอยู่ด้วยความเคารพยำเกรง ทว่าสายตานั้นกลับทนไม่ไหวเหลือบมองไปนอกหน้าต่างเช่นกัน
เขามองสีหน้าโม่หวิ่นหมิง ทนไม่ไหวก็หาเรื่องเอ่ยปากออกไปว่า “นายท่านขอรับ ให้จวิ้นจู่เป็นฮองเฮาอยู่ที่นี่ จะไม่น่าอดสูเกินไปหน่อยหรือขอรับ”
“ฮองเฮาของแคว้นซีเหย่ไม่ว่าใครล้วนดำรงตำแหน่งได้ทั้งสิ้น เว้นแต่องค์จักรพรรดินีแห่งต้าเซี่ยของพวกข้า แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงจวิ้นจู่ผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควร”
“เเองก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ของซีเหย่ ไม่ว่าจุดใดด้านใดก็ไร้หนทางเทียบเคียงกับท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยฐานะของนายท่านเองแล้ว แต่ไหนแต่ไรมากับจักรพรรดินีล้วนคู่ควรจะเป็น…”