ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 797
เขาทราบว่านางคิดจะพูดอะไร สำหรับเขาไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้
นางสนใจทำดีกับผู้อื่น กลับเย็นชาหมางเมินต่อเขา ครั้นจะให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน นั่นมิใช่ปัญหาสำหรับเขา เพียงแต่เขาคิดว่าหากเขาเชื่อฟังว่าง่ายเช่นนี้ นางจะตอบแทนบางสิ่งเป็นรางวัลให้เขาบ้าง แต่หากนางไม่ให้ เขาก็จะเป็นคนช่วงชิงมันมาเอง
กู้โม่หานล่วงเกินนางอย่างไร้ยางอาย ในใจเดือดกรุ่นด้วยโทสะขึ้นมาแล้ว จะทำอย่างไรก็ไม่มีวันมอดดับ
กระทั่งเขาระลึกได้ว่าตนดุเดือดรุนแรงเกินไป ก็นุ่มนวลอ่อนโยนลง นิ้วเรียวจนเห็นข้อกระดูกสอดเข้าเรือนผมของหนานหว่านเยียน ใช้แรงรั้งท้ายทอยของนางไว้แน่น กระหวัดรัดพัวพันไม่สร่าง
ไอน้ำที่พร่าเลือนน่าอึดอัดเคล้ากับจูบที่ร้อนและชื้น หนานหว่านเยียนแทบหายใจไม่ออก
ปรางแก้มสองข้างของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ สองมือของนางออกแรงผลักแผงอกแกร่งของกู้โม่หานอย่างไม่ยอมแพ้ อยากจะผลักเขาออกไป แต่ไม่ว่าผลักอย่างไรก็ผลักไม่ออก
กลับกันยิ่งดุเดือดและรุนแรงขึ้นเท่านั้น
ดีที่สุดท้ายเขาเก็บมือกลับมา และผละนางออกในจังหวะที่นางใกล้หายใจต่อไปไม่ไหวแล้ว เขายังไม่หนำใจด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้แม้แต่ขาของหนานหว่านเยียนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงหยัดยืนต่อไปแล้ว ได้แต่เอนกายพิงขอบอ่างอาบน้ำหายใจกระหืดกระหอบ
นางจ้องเขาด้วยโทสะที่เดือดกรุ่น กัดฟันกรอดพลางเอ่ยว่า “กู้โม่หาน เจ้าโง่!”
“เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่หรือ ว่าต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอ ข้ายินดีเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน” กู้โม่หานกระตุกมุมปากยิ้ม แววตาฉายประกายพึงพอใจ ทว่าเท่านี้ไม่พอ ยังห่างไกลคำว่าพอนัก
“เจ้าผลัดอาภรณ์เถิด ระวังลื่น”
สิ้นเสียง เขาก็หมุนตัวเดินออกไป
“วิปลาส!” หนานหว่านเยียนตีผิวน้ำด้วยอารมณ์โกรธกรุ่น สบถด่าเขาอย่างเหลืออดออกมา ฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังแช่น้ำ ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เข้ามารังแกข่มเหงนางอย่างหน้าไม่อาย ทุเรศจริงๆ!
หลังจากแน่ใจว่ากู้โม่หานเดินจากไปไกลและไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดแล้ว นางพลันกระโดดพรวดออกจากอ่างอาบน้ำทันใด วิ่งออกไปผลัดอาภรณ์หลังฉากกันลม
กระทั่งนางจัดการตนเองเรียบร้อย ขณะที่กำลังเช็ดเส้นผมที่เปียกหมาดให้แห้งพลางเดินออกไปจากห้องกั้น ไหนเลยจะเห็นเงาของเซียงอวี้และเซียงเหลียนที่นั่น
บนโต๊ะของตำหนักบรรทม กลับเรียงรายด้วยขนมและอาหารว่างที่นางชอบจำนวนมากมาย ไม่เท่านั้นยังมีน้ำแกงบำรุงร่างกายเตรียมไว้ด้วย
ข้างโต๊ะ นิ้วเรียวยาวของกู้โม่หานที่นั่งเท้าคางอยู่กำลังกรีดกรายเคาะกรามล่างของตนเองเบา ๆ พลางจ้องมองนางตาเป็นมัน ในแววตาพร่างพราวที่สะท้อนแสงตะเกียง กระเพื่อมความอ่อนโยนเป็นระลอกออกมา และยังมีพลังอำนาจอันลุ่มลึกที่เคลือบแฝงอยู่ในที
“ผลัดอาภรณ์รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ?”
เขาถอดกวานหยกวางบนโต๊ะ เส้นผมสีดำขลับดุจน้ำหมึกสยายไปด้านหลัง เสื้อคลุมตัวนอกของเขาบัดนี้ถูกถอดออกมาพาดไว้บนฉากกันลมเสียนานแล้ว
เสื้อตัวในสีขาวยิ่งขับให้ผิวพรรณของกู้โม่หานเกลี้ยงเกลาเป็นมันเงา อกเสื้อที่เผยอออกเล็กน้อยนั้นยังเผยให้เห็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่ปรากฏวับวาบอยู่ด้านใน
กู้โม่หานในยามนี้ ดูสบายและผ่อนคลายมากกว่ายามปกติ เพียงแต่เขาอยู่ในเรือนเช่นนี้ ท่าทางประหนึ่งต้องการพำนักอยู่ที่นี่ ทำให้จิตใจว้าวุ่นเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก
หนานหว่านเยียนโยนผ้าซับน้ำในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะถามด้วยเสียงกดดัน “ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลย ท่านมาที่ตำหนักข้าแท้จริงแล้วมีธุระอะไรกันแน่?”
“อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าต้องเข้านอนแล้ว ไม่มีเวลามานั่งคุยเล่นเรื่อยเปื่อยให้เปลืองเวลาอยู่กับท่านหรอกนะ”
กู้โม่หานมิได้ร้อนใจ ลุกขึ้นก็ฉุดข้อมือขาวผ่องของหนานหว่านเยียนไว้ “เจ้าอย่าโกรธบ่อยนักสิ ผมเจ้ายังเช็ดไม่แห้ง จะเข้านอนได้ที่ไหน หากไม่สบายขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร?”
พละกำลังของเขามีมหาศาล กดหนานหว่านเยียนที่ตั้งใจต่อต้านลงไป ก่อนจะหยิบผ้าสะอาดผืนใหม่มา เคลื่อนกายไปยืนด้านหลังนาง ก็บรรจงเช็ดเส้นผมที่เปียกหมาดให้นาง
หนานหว่านเยียนลูบท้องตนเอง พยายามบังคับให้ตนเองจิตใจสงบลง “กู้โม่หาน ข้าไม่มีเวลาว่างมานั่งเล่นกับท่านหรอกนะ มีธุระอะไรก็ว่ามาเถิด”
กู้โม่หานเห็นสีหน้านางเหลืออดเต็มที นัยน์ตาก็วูบไหวเป็นประกายขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เสด็จย่าเรียกเจ้าเข้าเฝ้า นางได้คุยเรื่องใดกับเจ้าบ้าง?”
ฝ่ามือกว้างของเขาสัมผัสเส้นผมสีดำขลับของหนานหว่านเยียนอย่างแผ่วเบา ใช้ผ้าแห้งซับความเปียกชื้นต่อให้ไม่หยุด กระทั่งแห้งดีแล้วถึงจะรวบผมให้นาง การเคลื่อนไหวนั้นทั้งละเมียดละไมและอ่อนโยน ราวกับกำลังปรนนิบัติดูแลสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกนี้อยู่ก็ไม่ปาน
กลิ่นบุปผาหอมจาง ๆ รำเพยมาปะทะจมูกของเขา กระตุ้นอารมณ์โดยไม่รู้สึกตัว
หนานหว่านเยียนพลันเหลือบสายตามองกู้โม่หานปราดหนึ่ง คล้ายกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก็ตั้งใจถ่ายทอดถ้อยคำที่ไทฮองไทเฮาพูดคุยกับนางในวันนี้ สาธยายให้เขารับฟังอย่างถี่ถ้วน
“เสด็จย่าตรัสกับข้าว่า ท่านเป็นฮ่องเต้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีหญิงงามนางสนมสามพันนางอยู่ในวังหลัง ส่วนข้าในฐานะฮองเฮา ต้องรู้จักใจกว้าง ต้องยอมให้ข้างกายท่านรายล้อมด้วยผู้หญิงหลายคน”
“ข้าเองก็เห็นว่าเสด็จย่าตรัสได้ถูกต้อง ฐานะที่เป็นฮองเฮาสมควรมีความสามารถและคุณธรรมเช่นนี้ ทว่าความอดทนของข้ามีน้อยนิด ยอมให้เศษทรายเข้าตาไม่ได้เด็ดขาด เงื่อนไขที่เสด็จย่าตรัสข้าไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ข้าตัดสินใจว่าจะไม่ขอเป็นฮองเฮาอีกต่อไปแล้ว จากนี้ท่านก็คิดหนทางรับพระสนมขึ้นเป็นฮองเฮาองค์ต่อไปเองเถิด”
ได้ยินเช่นนี้ เพียงเสี้ยวพริบตาสีหน้าของกู้โม่หานพลันเยือกเย็นลง
เขาชะงักการเคลื่อนไหว หมุนไหล่สองข้างของหนานหว่านเยียนกลับมาและประจันสายตากับนาง
สีหน้าเขายามนี้เคร่งขรึมยิ่งนัก ในแววตาสีดำขวับนั้นเต็มด้วยความตั้งใจ “หว่านเยียน เสด็จย่าท่านไม่เข้าใจความรักของเจ้ากับข้า ชีวิตนี้ของข้า ต้องการเจ้าเพียงผู้เดียว”
“ส่วนมาตรฐานเหล่านั้นที่เจ้ากล่าวมา สลักอยู่ในใจข้ามาเนิ่นนานแล้ว วังหลังจะไม่มีหญิงงามนางสนมสามพันคนอะไรนั่นเด็ดขาด ข้าให้สาบานกับเจ้า หกตำหนักจะไร้สนม ซื่อสัตย์ภักดี แม้แก่ชราก็จะไม่จากเจ้าไป”
ถ้อยคำของกู้โม่หานหนักแน่นจริงจัง ในแววตาเต็มด้วยความมั่นใจ ไม่คล้ายว่ากำลังล้อเล่นแม้แต่น้อย
หนานหว่านเยียนจ้องมองนัยน์ตาสวยงามคู่นั้นที่เคยทำให้นางพร่ำเพ้อเฝ้าคะนึงหา ได้ยินถ้อยคำกินใจเหล่านั้นแล้ว ก็ตะลึงงันไปเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ กระนั้นก็เกือบจะหัวเราะพรวดออกมาในคราวเดียวกัน
หากว่าเป็นตอนที่นางยังโง่งมไร้ความคิด คงจะเชื่อถ้อยคำเหล่านี้ของเขาไปนานแล้ว อาจจะตื้นตันซาบซึ้งโดยไม่สิ่งใดแล้วแน่
ทว่าบัดนี้ นางไม่เหลือความคิดเช่นนั้นแล้ว
สิ่งใดที่มิอาจไขว่คว้าจะเวียนวนอยู่ในความวุ่นวายตลอดไป นับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันล้วนเป็นไปตามหลักการนี้ แม้กระทั่งยุคปัจจุบันเอง น้อยนักที่บุรุษจะรักเดียวใจเดียวได้อย่างจริงจัง นับประสาอะไรกับองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณ?
ที่กู้โม่หานให้คำมั่นสัญญาต่อหน้านางเช่นนี้ ก็เพียงเพราะความกระหายอยากเอาชนะ ทวงศักดิ์ศรีของเขาที่หายไปกับนางคืนมาก็เท่านั้นเอง
“กู้โม่หาน ถ้อยคำสวยหรูเหล่านี้ใครพูดก็ได้ ทารกในครรภ์ของหยุนอี่ว์โหรวยังเป็นบุตรของท่านเอง หนึ่งภพหนึ่งชาติหนึ่งคนรักมาตรฐานนี้ ท่านไม่มีวันทำได้หรอก…”