ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 806
ทันใดนั้น ความไม่สบายใจขนาดใหญ่ก็พรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ ริมฝีปากบางๆของกู้โม่หานเม้มเป็นเส้นตรง
และขุนนางในท้องพระโรงเหล่านั้นก็ยังคงกระซิบกระซาบวอแวกันอยู่ สีหน้าของเขาไม่น่าดูยิ่งขึ้นในพริบตา ตบที่เท้าแขนอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ด้วยความเคลื่อนไหวอันรุนแรง ทุกคนเงียบกริบในพริบตา ต่างพากันมองไปทางเขา
กู้โม่หานกวาดตามองหมู่ขุนนาง น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้า แต่น่าเสียดาย ตอนนี้สุขภาพของหยุนอี่ว์โหรวไม่ดีนัก เกรงว่าคงจะออกมาพบหน้าทุกคนไม่ได้ เรื่องนี้ค่อยหารือกันใหม่พรุ่งนี้ละกัน”
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อบ้านกาวถึงได้จำคนผิด และหยุนอี่ว์โหรวก็ไม่ใช่จวิ้นจู่ของแคว้นต้าเซี่ย ทันทีที่สืบสาวเบื้องลึกของเรื่องนี้อย่างละเอียดคำพูดก็จะไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือได้โดยสิ้นเชิง และทันทีที่หนานหว่านเยียนเปิดปากอธิบาย ก็จะกลายเป็นคนที่โดนโจมตีอย่างรุนแรงเป็นแน่
ทูตของแคว้นต้าเซี่ยต้องการพาตัวนางไป เขายังคิดหาวิธีการไม่ได้ จึงไม่กล้าเดิมพันโดยง่ายดายตามใจ การระงับไว้ก่อนเป็นวิธีการจัดการที่ดีที่สุด
แต่คำพูดนี้ของกู้โม่หาน เหล่าทูตแคว้นต้าเซี่ยกลับไม่ซื้อ
โดยเฉพาะพ่อบ้านกาว เขากล่าวเสียงดังขึ้นโดยตรง: “ฝ่าบาท!”
“จวิ้นจู่คือว่าที่จักรพรรดินีของแคว้นต้าเซี่ย พวกข้าจำเป็นจะต้องเห็นว่าจวิ้นจู่ปลอดภัย! คิดว่านางน่าจะรู้ว่าพวกข้ามารับนาง และจะไม่กล่าวโทษ หากว่าวันนี้ไม่ได้พบจวิ้นจู่ ข้าน้อยทั้งหลาย ก็จะไม่จากไปพ่ะย่ะค่ะ!”
เวลานี้บรรดาทูตของแคว้นต้าเซี่ยเหล่านั้น ก็กล่าวขึ้นด้วยความดึงดันเฉกเช่นเดียวกันว่า “ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ! วันนี้พวกข้าจำเป็นต้องพบจวิ้นจู่!”
“โหรวเฟยเหนียงเหนียงคือจวิ้นจู่ของพวกข้า พวกข้าเดินทางมานับพันลี้ ก็เพื่อที่จะรับจวิ้นจู่กลับไป!”
“หากว่าฝ่าบาทไม่ส่งมอบคนออกมา พวกข้าก็จะไม่จากไปพ่ะย่ะค่ะ!”
คำขอร้องอันดุเดือดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในท้องพระโรง เหล่าขุนนางของซีเหย่จึงระมัดระวังตัวขึ้นอย่างอดไม่ได้ ด้านหนึ่งก็กังวลว่าทั้งสองแคว้นจะเกิดความแตกแยก ด้านหนึ่งก็ไม่เข้าใจในวิธีการของกู้โม่หานเป็นอย่างมากเช่นกัน
“ฝ่าบาท พระองค์เชิญโหรวเฟยเหนียงเหนียงออกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป……สถานการณ์จะควบคุมไม่ได้แล้วฝ่าบาท!”
น้ำเสียงเหล่านี้ราวกับกระแสคลื่น กระทบหัวใจของหนานหว่านเยียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางมองดูสถานการณ์ตอนนี้ นิ้วเรียวกำหมัดแน่น ตอนที่นางกำลังอยากพูด ไทเฮาก็ขมวดคิ้วและตบเก้าอี้อย่างรุนแรง “เงียบให้หมด!”
นางเพ่งมองพ่อบ้านกาวที่เป็นผู้นำ กล่าวขอโทษอย่างถ่อมตนก่อน “ก็ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้จะไม่ยอมให้พวกเจ้าพบกับหยุนอี่ว์โหรว เพียงแต่ข่าวนี้น่าตกใจจนเกินไป ทุกคนล้วนไม่ได้เตรียมตัว ทำให้ทูตทุกท่านหัวเราะเยาะ”
“อีกอย่างโหรวเฟยตั้งครรภ์มานานแล้ว ระยะนี้สุขภาพก็ไม่ดีจริงๆ แต่โดยปกติแล้วพวกข้าแคว้นซีเหย่ก็ดูแลปรนนิบัตินางเป็นอย่างดี ไม่เคยปฏิบัติอย่างโหดร้ายมาก่อน”
“หากว่าทูตทุกท่านร้องขอพบด้วยความแน่วแน่ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาเป็นธรรมดา”
ไทเฮาเอียงหน้ามองไปทางหลี่หมัวมัว ส่งสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งให้นาง “เจ้าก็ไปเชิญโหรวเฟยออกมาเถอะ ยังไงซะก็ไม่ถึงขั้นที่จะแตะพื้นไม่ได้ ให้ขุนนางทุกคนดูให้ดี จะได้เลี่ยงไม่ให้คนเข้าใจผิดราชวงศ์ซีเหย่ของพวกข้า ว่าจงใจซ่อนคนเอาไว้ ใจแคบมาก”
“เพคะ” หลี่หมัวมัวตอบรับด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน รีบหมุนตัวไปเชิญคนมา
เวลานี้ บรรดาเหล่าทูตของแคว้นต้าเซี่ยจึงได้พากันเงียบลง พ่อบ้านกาวโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่กู้โม่หานกลับตะลึงงันเป็นที่สุด สีหน้าของกู้โม่หานไม่น่าดูยิ่งขึ้น “เสด็จย่า นี่ท่านจะทำอะไร? !”
จะต้องให้คนไปเชิญหยุนอี่ว์โหรวมาในเวลานี้ให้ได้ ไม่ใช่ว่ากำลังเพิ่มปัญหาหรอกหรือ?
ดวงตาของหนานหว่านเยียนก็จ้องมองที่ไทเฮาอยู่เช่นกัน “เสด็จย่า ท่านต้องการเชิญหยุนอี่ว์โหรวมาจริงหรือเพคะ?”
พูดไม่ออกว่าเป็นความผิดหวังหรือหดหู่ ตอนนี้ในจิตใจของนางเหมือนดั่งถูกกรอกไปด้วยตะกั่วเต็มไปหมดเช่นนั้น ทั้งรู้สึกอึดอัดทั้งหายใจไม่ออก
ไทเฮาจำเป็นต้องรักษาความสงบและความสง่าผ่าเผย กล่าวด้วยความแข็งกร้าวว่า: “หากข้าไม่ไปเชิญคน แล้วจะให้อยู่นิ่งเฉยมองดูสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อ่อนข้อต่อกันโดยไม่ทำอะไรงั้นหรือ มองดูพวกเจ้าทำให้ต้าเซี่ยและซีเหย่ทะเลาะกันจนเหมือนขมิ้นกับปูนอีกครั้งหรือไง? !”
“เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้! ไม่ว่ายังไงตอนนี้หลี่หมัวมัวก็ไปเชิญคนมาแล้ว ขุนนางทุกท่านก็รอกันเงียบๆเถอะ”
นางที่เป็นคนร้ายผู้นี้ ทำก็ทำลงไปแล้ว จึงไม่กลัวว่าจะโดนตำหนิ สถานการณ์ตอนนี้ เหล่าทูตล้วนยืนกรานต้องการจะพบคน หากว่าไม่เชิญคนขึ้นมา ไม่แน่ว่าจะมีการคาดเดายังไงอีก นางไม่อยากเห็นกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์แล้วจริงๆ
หลานชายหลานสะใภ้ของนาง มีสำคัญมากซะยิ่งกว่าหยุนอี่ว์โหรวเพียงผู้เดียวเป็นไหนๆ!
หนานหว่านเยียนหลบตาลง ครุ่นคิดอะไรอยู่ ไม่ได้พูดจาอีก กู้โม่หานก็เป็นใบ้ไร้คำจะพูด อย่างไรเสียไทเฮาก็เป็นเสด็จย่าของเขา คำพูดออกจากปากแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะหักล้างได้
ในการว่าราชสำนัก พวกเขาก็คงไม่สามารถจะมาทะเลาะกันได้
ตอนนี้เขาก็ยุ่งวุ่นวายจนแก้ปมของเรื่องไม่ได้ เมื่อคิดว่าหนานหว่านเยียนจะจากไป เขาก็สับสนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย……
ทุกคนไม่ได้ส่งเสียงเกรียวกราวอีก ทั้งหมดยืนด้วยความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างดี รอการมาถึงของหยุนอี่ว์โหรว
ในดวงตาของพ่อบ้านกาวปรากฏความโล่งใจและความคาดหวัง
หลายปีมาแล้ว ในที่สุดจวิ้นจู่ก็สามารถกลับแคว้นต้าเซี่ยได้อย่างสง่างาม ได้รับการเคารพเลื่อมใสจากผู้คน
ไม่กี่ปีมานี้ ลำบากจวิ้นจู่ทนรับความทุกข์ยากตรากตรำมากมายจริงๆ ตอนนี้แม้แต่ความทุกข์ของเนี่ยพานก็รับไว้แล้ว….
ไม่ช้า หลี่หมัวมัวก็พาตัวหยุนอี่ว์โหรวมา
หยุนอี่ว์โหรวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถูกหลี่หมัวมัวเรียกมาด้วยความรีบร้อน แม้แต่หน้าตาก็ไม่ได้แต่งให้งดงามเป็นพิเศษด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะเมื่อเห็นคนมากมายในท้องพระโรง ก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่เหมาะสม แต่หลังจากที่นางกวาดตามองไปยังพ่อบ้านกาวที่เป็นผู้นำ ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที จิตใจก็สงบลงเช่นกัน
แม้จะไม่ได้พบกันเป็นเวลานานมาก แต่นางรู้ เขายังเป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของนาง เขามา จะต้องมาช่วยเหลือนางเป็นแน่!
นางเดินเข้ามาในท้องพระโรงช้าๆ พยายามแสดงความสง่างามเพียบพร้อมเหมาะสมของตัวเองต่อหน้าทุกคน กระโปรงสีเหลืองอ่อนหลวมๆ พอที่จะปกปิดท้องที่เห็นได้ว่าตั้งครรภ์ของนางได้พอดี
ใบหน้าที่เงียบสงบงดงาม มีท่าทางที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเอ็นดูสงสารอยู่เล็กน้อย
เมื่อบรรดาทูตของแคว้นต้าเซี่ยเห็นนาง ต่างก็พากันหลีกทางให้ด้วยความเคารพ ในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความคุ้นเคยและความปีติยินดี
หยุนอี่ว์โหรวระงับความสงสัยทั้งหมดไว้ เดินไปยังใจกลางของท้องพระโรง โค้งคำนับเล็กน้อย ทำความเคารพต่อหนานหว่านเยียนและกู้โม่หานอย่างมีมารยาท “หม่อมฉันคารวะไทเฮา ฝ่าบาท คารวะฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ”
ไทเฮาโบกมือ หยุนอี่ว์โหรวยืนตัวตรง จากนั้น บรรดาทูตของแคว้นต้าเซี่ยเหล่านั้นก็ต่างพากันคุกเข่าต่อนาง ตะโกนกล่าวเสียงดังว่า
“ข้าน้อย—คารวะจวิ้นจู่!”