หลังจากนั้นราวสองปีครึ่ง
ในร้านน้ำชาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวงของซีเหย่ คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งดื่มชาขบเมล็ดแตงกัน ปากก็พล่ามถึงเรื่องราวใหญ่โตที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนกันอย่างสนุกปาก
หนึ่งในนั้นก็ได้วางถ้วยชาลง เอ่ยปากด้วยแววตาทั้งคู่เป็นประกายว่า “ทุกวันนี้เมืองหลวงมีฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล ต้องขอบคุณฝ่าบาทเลย”
อีกคนหนึ่งก็เอ่ยปากอย่างลนลาน “แต่ว่า เจ้าลองคิดดูสิเมื่อสองปีก่อน ซีเหย่อยู่ดี ๆ ก็มีกบฏยึดอำนาจในวังหลวง ทั้งฮองเฮาและบรรดาองค์หญิงต่างก็หนีกันไปหมดแล้ว ไอ้เจ้าเทียนเซิ่งชาติหมานั่นก็ยังฉวยโอกาสซ้ำเติมยกทัพมาโจมตีซีเหย่ของพวกข้า ยังดีที่ฮ่องเต้ทรงปรีชานำทัพเข้าต่อตีด้วยองค์เอง ไอ้เจ้าเทียนเซิ่งนั่นจึงไม่อาจเข้าย่ำยีเอาเปรียบพวกข้าได้”
ผู้เฒ่าผมหงอกขาวคนหนึ่งกลับส่ายหัวอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ “ฝ่ายฮ่องเต้เองก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย ๆ นะ ก่อนจะออกนำทัพไปรบก็มีอาการบาดเจ็บ ตอนนี้ก็รบกับเทียนเซิ่งมาสองปีกว่าแล้ว ก่อนนี้ก็ชนะศึกได้ไม่ง่ายนัก ฝ่าบาทเองก็กลับได้รับบาดเจ็บหนักในการศึก ทุกวันนี้เฉิงอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยังไม่ทราบเลยว่าฮ่องเต้เป็นเช่นไร”
เดิมทีสงครามทำให้สิ้นเปลืองทั้งกำลังคนและทรัพย์สิน แต่ตลอดการสู้รบในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงแล้วก็คือภายใต้การบัญชาชี้นำอันเปี่ยมด้วยปรีชาของฮ่องเต้ แทบไม่ได้กระทบสร้างความเสียหายต่อรากฐานของไพร่ฟ้าเลย ชนชาวซีเหย่ทั้งปวงจึงยังพอที่จะใช้ชีวิตกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทในเรื่องการปกป้องชายแดนจริง ๆ
เวลานี้ มีคนเอ่ยปากพูดเบา ๆ ว่า “ตัวข้าเองก็มีข่าวซุบซิบว่าฝ่าบาทถูกรับตัวกลับเข้าวังมาแล้ว แต่พระองค์ได้รับบาดเจ็บหนักจวนเจียนจะสวรรคตแล้ว เฉิงอ๋องก็ร้อนใจจะตายให้ได้ทีเดียว น่าเสียดายยุคสมัยที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูของฝ่าบาทจริง ๆ”
“เฮ้ย ๆ ๆ คำพูดแบบนี้อย่าได้ซี้ซั้วพูดเชียวนะ”
“แต่ว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่า แม่ทัพน้อยหยุนที่โดนฝ่าบาทไล่ออกจากซีเหย่ไปเมื่อสองปีก่อนเพราะเกิดกบฏในวังหลวง ตอนนี้ยังสามารถกลับมาได้อีกหรือเปล่า”
“ยังไงก็ต้องเป็นเฉิงอ๋องผู้สำเร็จราชการนั่นล่ะ แต่บางทีก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน”
ไพร่ฟ้าชาวซีเหย่ต่างก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ ในขณะที่กลัดกลุ้มเรื่องความเป็นความตายของกษัตริย์ แต่ต้าเซี่ยที่ห่างออกไปรามหมื่นลี้ วันนี้กลับมีความคึกคักครื้นเครงยินดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตำหนักสีเยว่ วังหลวงต้าเซี่ย
นางกำนัลจำนวนหนึ่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านหน้าของสระสรง กำลังมองไปทางสระสรงที่เงียบสงัดไร้คลื่นกระเพื่อมของน้ำด้วยอาการประหม่าและวิตกกังวลโดยมิกล้าพูดคุย
เวลานี้ สตรีนางหนึ่งที่มีผ้าคลุมใบหน้าขมวดคิ้วเดินเข้ามา ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “องค์หญิงยังไม่เสด็จออกมาเหรอ”
นางกำนัลเม้มริมฝีปากพร้อมทั้งส่ายหน้า เปล่งน้ำเสียงแผ่วเบาไปทางสตรีที่มีผ้าคลุมใบหน้าว่า “เรียนพี่เฟิงยาง องค์หญิงตรัสว่า……”
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าถอยไปก่อน” เฟิงยางสั่งให้พวกนางกำนัลโดยรอบถอยก้าวออกไป ตัวนางก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปในสระสรงทีละก้าว
ตั้งแต่กลับมายังต้าเซี่ยเมื่อสองปีก่อน องค์พระจักรพรรดินีก็ได้สถาปนาจวิ้นจู่ขึ้นเป็นองค์หญิงหมิงหวง พระนามแฝงความหมายสูงส่งน่าเคารพ แต่ก็หลังจากนั้นเป็นต้นมา ยามใดที่องค์หญิงรู้สึกไม่สบายพระทัย ก็จะต้องเสด็จมาทรงแช่กายในสระสรงแห่งนี้เป็นเวลานาน ใช้ที่แห่งนี้เป็นที่แสวงหาความผ่อนคลาย
เมื่อนางเดินเข้ามาในสระสรง กลับไม่เห็นว่าจะมีเงาคนครึ่งตัวสะท้อนออกมา ผิวน้ำที่ราบเรียบไม่ไหวติงโดนลมแผ่วพัดให้กระเพื่อมเบาๆ
เฟิงยางก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที กล่าวเปล่งเสียงเรียกหาเบา ๆว่า “องค์หญิง ?”
แต่สิ่งที่ตอบกลับมากลับกลายเป็นความเงียบ นางจึงเดินเข้าไปทางสระสรง ชะโงกหน้าก้มมองลงไปยังก้นสระ
ในสระสรงนี้ หนานหว่านเยียนสวมเสื้อคลุมยาวตัวบาง ๆ หงายหน้าเอนกายอยู่ในน้ำ เส้นเกศาที่ดำขลับทั้งศีรษะของนางแผ่กระจายไปบนน้ำในสระ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท เรียวขนคิ้วที่ดูงามขมวดชนกันแน่น
ในความฝันนั้น รอยจูบของกู้โม่หานบรรจงประทับรอยลงไปทั่วทุกจุด จุมพิตบนเนื้อผิวทุกจุดของนางราวกับรักและเทิดทูนอย่างยิ่ง
นางพยายามจะผลักไสตัวเขาออกไป แต่ทั้งตัวกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย จุมพิตที่ยิ่งลุ่มลึกของกู้โม่หานประกบปิดริมฝีปากของนาง นิ้วมือที่ปรากฏรอยกระดูกข้อนิ้วชัดเจนลูบไล้บนใบหน้าของนาง “หว่านเยียน หว่านเยียน……”
เสียงร้องเรียกหานั้นช่างดูเหมือนยาพิษ น้ำเสียงหลอกล่อนั้นวนเวียนอยู่ข้าง ๆ หูของนาง ฟังดูทุ้มต่ำยิ่งนัก “ข้าชอบเจ้า หว่านเยียน ข้าชอบเจ้ามาก พวกข้าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ดีไหม……”
ตัวเขาเล้าโลมนางไปเรื่อย ๆ พ่นลมหายใจแรง ตัวนางกลับไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะถูกเขาทรมานจนหยาดเหงื่อที่หยดหยาดลงมาอาบรินไปทั่ว ข้างหูยังมีคำพูดเอ่ยไขความในใจไปพลางไม่ได้ขาดช่วงตลอดทั้งคืน
แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ภาพที่เหมือนดั่งวาดไว้นั้นก็พลันเปลี่ยนไป ลูกธนูที่เหมือนสายฟ้าแลบแปลบปลาบชวนให้ใจยะเยือกร้าวยิงออกมาจากมือของกู้โม่หาน
ใบหน้าของเขาเผยความเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มีความไม่แยแสและเลือดเย็นเหลือประมาณ ลูกธนูนั้นพุ่งตรงทะลุกายของโม่หวิ่นหมิงโดยตรง
กระแสโลหิตที่ไหลออกมาดั่งสายน้ำไหลเชี่ยวกรากท่วมท้นล้นตัวนาง ความรู้สึกหายใจไม่ออกดึงตัวนางกลับสู่ความเป็นจริง
“กู้โม่หาน อย่านะ!” หนานหว่านเยียนตกใจตื่นขึ้นมาในทันใด ลืมตาถลึงขึ้นมาทั้งคู่ แต่ว่าส่วนล่างของกายนางดูเหมือนจะมีน้ำวนล่องหนดึงตัวนางลงไป เพียงชั่วครู่ก็จมลงไปในสระน้ำอุ่น
“องค์หญิง!” เฟิงยางมองเห็นตัวหนานหว่านเยียนจมลงไปในน้ำอย่างฉับพลัน เมื่อสีหน้านางเริ่มเปลี่ยนไป ก็รีบกระโดดลงไปช่วยเหลือ
เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้น นางกลับพบว่าหนานหว่านเยียนลุกขึ้นมาจากสระสรง เส้นผมที่แผ่ลงมาดั่งสายน้ำไหลแปะติดกายที่อ้อนแอ้นอรชรของหญิงสาว ใบหน้างดงามเปล่งปลั่ง งามล่มเมือง
(งามล่มเมือง ใช้เรียกหญิงงามที่สวยมากจนเป็นชนวนให้บ้านเมืองล่มสลาย )
หนานหว่านเยียนเงยหน้าหันมามองทางเฟิงยาง อารมณ์ที่เกิดปั่นป่วนเมื่อครู่นั้นได้ถูกกดซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไร ก็แค่ง่วง งีบหลับไปแค่ชั่วครู่เท่านั้น”
เฟิงยางมองดูบนสีหน้าซีดเซียวหม่นหมองบนใบหน้าของหนานหว่านเยียนแล้วก็เม้มปากเล็กน้อย หลังจากที่โม่หวิ่นหมิงตายจากไป ตัวองค์หญิงดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก และเปลี่ยนไปมากด้วยเช่นกัน บนใบหน้าขององค์หญิงนั้นก็ยากที่จะเห็นรอยยิ้มสดใสอ่อนหวานแบบเมื่อก่อนนั้นได้อีก
นางหยิบผ้าผืนสีแดงยื่นไปข้างหน้า “องค์หญิงหมิงหวง ฝ่าบาทให้พระองค์ไปเข้าเฝ้าเพคะ”
“ได้” สีหน้าของหนานหว่านเยียนเรียบนิ่งไร้อาการตระหนก เมื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ดูสะอาดตาแล้ว ก็มอบหมายให้เฟิงยางแต่งตัวให้นาง
ไม่นานนักทั้งสองคนเดินเรียงหน้าหลังมาถึงตำหนักหนิงปี้ เพียงแค่หนานหว่านเยียนก้าวเท้าเข้ามาภายในตำหนัก ก็ได้ยินเสียงว่ามีคนทุบโต๊ะอย่างหนักหน่วง น้ำเสียงที่แข็งกร้าวก็เปล่งดังขึ้น
“บุรุษในแผ่นดินต้าเซี่ยของข้ามากออกปานนั้น ไฉนเลยถึงคัดเลือกชายชาตรีที่เพียบพร้อมมิได้ เลือกแล้วเลือกอีกอยู่เช่นนั้น แต่ละคนยังต้องทำให้ข้าหนักใจ ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ !”
นางกำนัลกราบทูลไปด้วยสีหน้าที่ดูลำบากใจ “เพคะ ฝ่าบาท”
ขณะที่นางกำนัลกำลังหันตัวเดินถอยออกไปแล้วเห็นว่าที่ประตูมีคนอยู่นั้น ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกาย “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงหมิงหวงเสด็จมาแล้วเพคะ”
เมื่อองค์จักรพรรดินีได้สดับดังนั้นแล้ว ก็ทรงขจัดความพิโรธนั้นเสียสิ้นทันใด ทอดพระเนตรออกไปด้านนอกตำหนัก ก็ทรงเห็นหนานหว่านเยียนในชุดอาภรณ์สีแดงชาด “เจ้าหว่านเยียนของข้ามาแล้ว!”
พระพักตร์ขององค์จักรพรรดินีดูงามหมดจด มีความองอาจปรากฏอยู่บ้าง ผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นมาทั้งหมด ดูมากด้วยพระปรีชาและความห้าวหาญ
พระองค์ทรงลุกขึ้น เสด็จมายังเบื้องหน้าของหนานหว่านเยียนอย่างเร็วรี่ ทรงแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า “สมกับเป็นบุตรีของพี่สาวข้าเสียจริง เห็นหน้าเจ้าทีไรก็ยิ่งรู้สึกชอบใจยิ่งนัก ใบหน้าเรียวนี่ รูปร่างเช่นนี้ ใครเห็นก็ต้องตาต้องใจ”
“พรุ่งนี้ข้าว่าจะให้คนไปตัดชุดให้เจ้าสักสิบชุด จะได้สวมใส่เปลี่ยนแบบได้ทุกวัน”
องค์พระจักรพรรดินีดูกระตือรือร้นเช่นนี้ หนานหว่านเยียนเลยยิ้มให้พระองค์เล็กน้อย
“ไม่ต้องหรอกเพคะเสด็จน้า เสื้อผ้าในตำหนักหม่อมฉันตอนนี้ก็วางกองไว้เต็มพื้นแล้ว ยังมีของเกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยอีก ที่มีอยู่เดิมก็เปลี่ยนไม่ไหวแล้วเพคะ”
พระนางตรัสด้วยความหนักแน่นว่า “ได้อย่างไรกัน ลูกผู้หญิงก็มีไว้เอาอกเอาใจ มีไว้แต่งเนื้อแต่งตัว เจ้าก็แค่ทำตัวให้สวย ๆ ร่าเริงก็พอแล้ว”
หนานหว่านเยียนก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีก จึงคิดถึงคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ เลยอดใจมิได้ที่จะเอ่ยปากทูลถาม “เสด็จน้าจะรบกวนให้เฉียนซีทำเรื่องอะไรอีกแล้วหรือเพคะ เมื่อกี้ที่ประตู หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์ตรัสอะไรสักอย่าง เรื่องเสาะหาบุรุษหรือเพคะ?”
องค์พระจักรพรรดินีทรงชะงักไปชั่วครู่ ส่งสายพระเนตรไปทางเฉียนซี
“ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลยเพคะ” นางกำนัลเฉียนซีโบกมือปฏิเสธไปอย่างลุกลี้ลุกลน “ฝ่าบาทก็แค่รับสั่งให้หม่อมฉันคัดเลือกบุรุษมาร้อยคนให้องค์หญิงได้ทรงเลือกพระสวามีเพคะ”