“คุณหนู จะไปไหนเจ้าคะ? ท่านจะไปไหนไม่ได้นะเจ้าคะ!
คุณหนู วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่าน หากผ่านวันนี้ไปก็จะกลายเป็นลั่วหวังเฟยแล้วนะเจ้าคะ
คุณหนู คุณหนู ท่านเป็นถึงพระชายาในอนาคต ท่านจะทิ้งลั่วอ๋องไปได้อย่างไร
คุณหนู ข้าขอร้องล่ะ ท่านจะไปไม่ได้ หากท่านจากไป ท่านจะให้หวั่นอินทำเช่นไรเล่าเจ้าคะ!”
เสียงดังก้องเช่นนั้น ดังไปทั่วทั้งกำแพงเมือง
ราวกับว่านางจงใจ!
อะไรกัน? วันนี้แต่งงานงั้นหรือ?
อนาคตพระชายาลั่วอ๋อง?
ทุกคนล้วนตื่นตระหนกขึ้นมา!
ดวงตาหลายคู่เต็มไปด้วยความคมปลาบร้อนแรงมองดูเฟิ่งชิงเฉิน ในหัวของทุกคนคิดไปถึงโชคชะตาอันเลวร้ายของคุณหนูบุตรสาวขุนนางผู้นี้
ความแตกต่างทางชนชั้นทำให้เหล่าประชาชนคนธรรมดานอกจากจะมีความเคารพยำเกรงต่อเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงแล้วยังแฝงไปด้วยความเกลียดชัง
เมื่อเห็นบุตรสาวของขุนนางผู้หนึ่งตกอับถึงเพียงนี้จึงทำให้เหล่าราษฎรมีความสุขไปได้อีกหลายวัน
สมควรตาย!
เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองเห็นสาวใช้ที่นั่งอยู่บนพื้น นางก็ถีบลงไปโดยไม่ต้องคิดเลยแม้แต่น้อยและพูดเสียงดังต่อคนรอบข้าง “ใครใช้ให้เจ้าพูดจาเหลวไหล เอาน้ำสกปรกเทราดใส่คุณหนูเฟิ่ง…”
นางต้องหลุดออกมาจากความสกปรกนั้นก่อน มิฉะนั้นเฟิ่งชิงเฉินสามคำนี้จะต้องกลายเป็นสรรพนามแห่งการครหานินทาแน่ หากนางมีชื่อเสียงเสื่อมเสียเช่นนี้คงอยู่ในยุคนี้ต่อไปอย่างทุกข์ทรมานแน่
ถูกขังอยู่ในกรงหมูเป็นเพียงเรื่องเล็ก
“โอย…” เสียงโอดครวญดังขึ้นพร้อมร่างหวั่นอินที่ล้มลงกระแทกพื้น ปากของนางยังไม่หยุดตะโกน
“คุณหนู คุณหนูชิงเฉิน หวั่นอินไม่ได้… ไม่ได้พูดเหลวไหลเสียหน่อย”
“ท่านก็คือคุณหนูเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉิน วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่าน หวั่นอินไม่ได้โกหก คุณหนู ท่านไม่ยอมรับตัวตนของตนเองได้อย่างไร? คุณหนู หวั่นอินขอร้องเจ้าค่ะ ท่านจะไปไหนไม่ได้ หากท่านไปแล้วงานแต่งงานจะทำอย่างไรเล่า คุณหนูจะทิ้งหวั่นอินไปไม่ได้นะเจ้าคะ…”
โฮๆๆ ว่าแล้วนางก็นอนลงกับพื้นและร้องไห้โวยวาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ฝูงชนรังเกียจเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาเข้ามาล้อมนางไว้ตรงกลางไม่ให้นางไปไหน
ใครให้นางรังแกสาวใช้กันเล่า ไม่ว่าใครจะเป็นคนผิด เมื่อเหล่าผู้คนพบเจอเรื่องเหล่านี้ก็มักจะเกิดจิตวิญญาณของผู้กล้าขึ้นและรู้สึกสงสารผู้ที่อ่อนแอ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกันระหว่างคุณหนูและสาวใช้แล้ว สาวใช้นอนอ่อนแออยู่บนพื้น อีกทั้งพวกเขายังมีฐานะใกล้เคียงกัน
“สารเลว…” เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดเลยก็กระทืบนางลงไปอีก
สาวใช้ผู้นี้ทรยศนางในยามสำคัญ
เฟิ่งชิงเฉิน ข้างกายของเจ้าเลี้ยงคนแบบไหนไว้กันแน่
เลี้ยงสุนัขก็ยังรู้จักปกป้องเจ้านาย แต่สาวใช้ของเจ้ากลับทรยศเจ้าในยามสำคัญที่สุด
“อะไรนะ? คุณหนูตระกูลเฟิ่งหรือ?” ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดังขึ้นอีก ทำให้คนที่เข้ามามุงดูเพิ่งจำนวนขึ้นทันที…
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้น เมื่อมองผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบด้านก็พบว่ามีทหารเฝ้าเมืองที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงตะโกนของหวั่นอินก็รีบมุ่งหน้ามาทางนี้ นางจึงลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว
เฟิ่งชิงเฉินหมุนตัวจากไปอีกครั้ง จะให้คนอื่นรู้มิได้เด็ดขาดว่านางก็คือเฟิ่งชิงเฉิน หากเรื่องนี้เกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา แม้นางจะไม่อยากตายก็คงต้องตายแน่
แต่ทว่ามิทันการณ์เสียแล้ว…
หวั่นอินราวกับไม่เสียดายชีวิต นางโถมเข้ามากอดขาของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ “คุณหนูชิงเฉิน คุณหนูชิงเฉิน จะไปไหนไม่ได้นะเจ้าคะ หากท่านไปแล้วงานแต่งงานในวันนี้จะทำเช่นไรเล่าเจ้าคะ ลั่วอ๋องจะทำเช่นไร จวนเฟิ่งของพวกเราจะทำเช่นไร…”
ท่าทางสาวใช้ช่างดูเศร้าหมอง
เฟิ่งชิงเฉินก็เป็นเจ้านายจอมโหดเหี้ยมที่รังแกข้ารับใช้
“หวั่นอิน ข้าดีต่อเจ้าไม่น้อย” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันพูด เมื่อครู่นางไม่ได้บอกให้สาวใช้ผู้นี้ไปด้วยกันหรือ?
เกี่ยวอะไรกับจวนเฟิ่งด้วยเล่า จวนเฟิ่งก็มีพวกเขานายบ่าวเพียงสองคนเท่านั้นมิใช่หรือ? เพียงแค่พวกเขาจากไปเสียก็ไม่มีเรื่องราวแล้ว เพียงแค่จวนเฟิ่งอันว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด
สาวใช้ผู้นี้มีความคิดเป็นอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเสแสร้งท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจออกมาอีก ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินคนก่อนโง่เขลาถึงเพียงใดกัน สาวใช้ของตนเป็นนกสองหัวก็ไม่รู้เลยสักนิด
ในยามนี้ แม้เฟิ่งชิงเฉินอยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว ทหารชั้นผู้น้อยที่หน้ากำแพงเมืองขวางนางไว้ก่อนและแยกตัวหวั่นอินออกไปพร้อมถามอย่างไม่แน่ใจนัก “นี่เป็นคุณหนูเฟิ่งจริงๆ หรือ?”
อย่างไรเสียสารรูปของเฟิ่งชิงเฉินก็น่าอายยิ่งนัก ร่างกายท่อนบนที่ปรากฏสู่สายตาล้วนเต็มไปด้วยรอยจูบ
ม่วงเขียวเสียจนน่ากลัว!
“ไม่ใช่” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า นางปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ใช่ๆ คุณหนู ท่านก็คือคุณหนูเฟิ่งชิงเฉินแห่งตระกูลเฟิ่ง อนาคตจะได้เป็นพระชายาของลั่วอ๋อง” หวั่นอินกล่าวตัดบทขึ้น
“นี่…” ทหารเฝ้าประตูเมืองรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
หากผู้ที่อยู่ด้านหน้าเป็นบุตรสาวของขุนนางจริง จะต้องเป็นเรื่องยุ่งยากแน่ เขาไม่อาจทำให้นางขุ่นเคืองได้
ในเวลานี้เองก็มีรถม้าจากในเมืองมุ่งหน้ามาทางเฟิ่งชิงเฉิน ตลอดทางที่ผ่านผู้คนต่างก็แหวกออกเป็นสาย
ในรถม้ามีเสียงแหบพร่าของบุรุษดังออกมา คำพูดนั้นดูเมามายเล็กน้อย
“คุณหนูจวนเฟิ่ง? ข้าว่าคงจะหลอกลวงมากกว่า วันนี้เป็นวันแต่งงานระหว่างคุณหนูตระกูลเฟิ่งกับลั่วอ๋อง แล้วเจ้าจะเป็นคุณหนูตระกูลเฟิ่งได้อย่างไร”
“คุณชายเหยียน เป็นคุณชายเหยียนนั่นเอง วันนี้คนสวยคงจะโชคร้ายเสียแล้ว…” มีคนจำเสียงจากในรถม้านั้นได้
“คุณชายเหยียนคือใครหรือ?”
“เจ้าไม่รู้จักคุณชายเหยียนหรือ? เขาเป็นลูกชายคนเดียวของใต้เท้าเหยียนหัวหน้าสำนักจิงจ้าวฝู่ เขามีเป็นชายโฉดผู้โด่งดังประจำเมืองหลวง ชอบรังแกผู้อ่อนแอกว่าทั้งหญิงและชาย ไม่มีความชั่วใดที่เขาไม่กระทำ…”
ข้างหูของเฟิ่งชิงเฉินมีเสียงพึมพำดังแว่วมา ทหารเฝ้าประตูชั้นผู้น้อยไม่อาจใส่ใจฐานะของเฟิ่งชิงเฉินได้อีก เขารีบกุลีกุจอเข้าไปด้านหน้า
ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นตัวจริงหรือไม่ นางก็เป็นหญิงที่แปดเปื้อนมลทินไปแล้ว แต่คุณชายเหยียนผู้นี้กลับกำลังเป็นที่โปรดปรานในยามนี้
เขาเข้าไปคำนับอย่างประจบประแจง
“คุณชายเหยียน…”
“อืม…” บุรุษในรถม้าตอบกลับมาอย่างหยิ่งยโส
ม่านของรถถูกแหวกออก จากนั้นก็ตามมาด้วยฝีเท้าล่องลอย เขารูปร่างอวบอ้วน ใบหน้าอูม ใบหูใหญ่ ขาทั้งสองข้างของเขาบวมอืด ลงรถม้ามาด้วยการพยุงของข้ารับใช้
ร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสุราเดินโงนเงนเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน “คุณหนูตระกูลเฟิ่ง? ให้ข้าดูหน่อยซิว่าจริงหรือไม่”
ในขณะที่พูดมืออวบอ้วนของเขาก็หมายถึงจะสัมผัสใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน ใบหน้าเหมือนหมูของเขาเข้ามาจ้องมองใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน
กลิ่นสุราผสมกับกลิ่นของแป้งลอยเข้ามาปะทะจมูกของเฟิ่งชิงเฉิน…
“เพี๊ยะ…” เฟิ่งชิงเฉินก้าวถอยหลังและฟาดมือลงไปที่มือของคุณชายเหยียน “คุณชาย โปรดรักษากิริยาด้วย”
“รักษากิริยา? เหอๆๆ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารักษากิริยาหรือไม่ มิเช่นนั้นแม่นางมาลองดูหน่อยดีหรือไม่? ให้ข้าลองกดดูสักหน่อย เจ้าจะได้รู้ว่าข้าหนักเท่าใด”
แม้จะถูกเฟิ่งชิงเฉินฟาดมือลงไปแต่คุณชายเหยียนก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น แต่เข้ายังแลบลิ้นเลียส่วนที่ถูกนางตีเสียจนทั่ว ท่าทางเช่นนั้นช่างดูลามกอนาจารเหลือคณา
เฟิ่งชิงเฉินขนลุกไปทั่วทั้งตัว
คนผู้หนึ่ง เหตุใดจึงได้น่ารังเกียจได้ถึงเพียงนี้ เหล่าบุตรขุนนางในยุคโบราณจะบ้าระห่ำเกินไปเสียแล้ว แม้ในยุคปัจจุบันบุตรชายของเหล่านักการเมืองจะโอหังอยู่บ้าง แต่ภายนอกพวกเขาก็ยังปกปิดอยู่
“อย่างที่คิดเลย เป็นคนสวยอย่างที่คิดไว้เลย แม้แต่เหงื่อที่มือก็มีกลิ่นหอม ข้าได้ข่าวแต่เช้าตรู่ว่าที่หน้าประตูเมืองมีสาวงามปรากฏตัวขึ้น รอให้ข้ามาช่วยเหลือ เป็นอย่างที่คิดไว้เลยจริงๆ น่าทึ่ง ช่างน่าทึ่งจริงๆ งดงามกว่าหญิงคณิกาเสียตั้งสามส่วน”
“อะไรนะ? เฟิ่งชิงเฉินอึ้งงัน นางพยายามกล้ำกลืนความรังเกียจภายในใจและถามว่า “มีคนบอกให้ท่านมาหรือ?”
ทีละขั้น ทีละขั้น ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเสียจริง ดูแล้ววันนี้นางคงจะไปไหนไม่ได้แล้ว
ตอนแรกก็หวั่นอิน ต่อมาก็คุณชายเหยียน คนเหล่านี้ต้องการทำลายชื่อเสียงของนางจนตายหรือ?
คุณชายเหยียนพยักหน้าอย่างลามก “แน่นอน หากไม่มีคนบอกแล้วข้าจะมาที่นี่แต่เช้าตรู่ทำไม?”
“ทำไมหรือ? แม่นางน้อย ไปกับข้าเสียเถอะ ข้ารับรองว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีไม่ได้จะเข้าเมืองหรือ? ไปเถอะ มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะโอหังในเมืองอย่างไรก็ได้”
ในขณะที่พูด คุณชายเหยียนก็ยกมือขึ้น ผู้คุมด้านหลังก็เข้ามาลากเฟิ่งชิงเฉินทันที
เหล่าฝูงชนที่ล้อมดูและทหารที่เฝ้าเมืองทั้งสองข้างกลับทำราวกับมองไม่เห็น
อย่างไรเสียแม่นางผู้นี้ก็แปดเปื้อนอยู่แล้ว หากตกอยู่ในเงื้อมมือของคุณชายเหยียนก็คงจะแย่ลงอีกหน่อยเท่านั้นเอง
บทที่ 001 อาภรณ์หลุดลุ่ย
บทที่ 003 ระบายอารมณ์ วันนี้เป็นวันแต่งงาน