“อย่ามาแตะต้องตัวข้า”
เฟิ่งชิงเฉินตวาดอย่างโกรธเคือง ก่อนที่ผู้คุ้มกันจะเข้ามา นางก็รีบฉวยโอกาสที่พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวยื่นมือออกไปกดไหล่ของพวกเขาและทุ่มพวกเขาลงกับพื้นอย่างแรง
เสียง “ตึง…” ดังขึ้น เมื่อทุ่มคนหนึ่งลงไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็หันไปหาผู้คุ้มการอีกคนที่มุ่งหน้าเข้ามา นางยกเท้าขึ้นถีบทำให้ผู้คุ้มกันเซถลาไปทางภูมิคุ้มกันอีกคนหนึ่ง
เสียงตึงดังขึ้น ผู้คุ้มกันอีกคนก็ล้มลงไปกองกับพื้น ท่าทางเจ็บปวดจนต้องบิดตัวไปมา
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ การป้องกันตัวแบบไอคิโดได้ผลไม่เลวเลย! โชคดีที่ตอนแรกที่นางอยู่ในค่ายทหารยามว่างได้ศึกษากับเหล่าทหารไว้นิดหน่อย
“โอ๊ย ช่วยด้วยๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว…” ผู้คุ้มกันทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้น ผู้ที่รับร่างของผู้คุมการอีกคนหนึ่งร้องอย่างโหยหวนเป็นที่สุด
“ไสหัวไป…” หลังจากเคลื่อนไหวมากมาย เฟิ่งชิงเฉินก็หอบเล็กน้อย ผ้าบางๆ บนกายของนางช่างอันตรายนัก มันพาดอยู่บนร่างกายโดยจะหลุดมิหลุดแหล่…
เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือไปมัดผ้าบางๆ ให้กระชับขึ้นพลางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
ผู้คนที่มามุงดูถูกสองมือของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ตกตะลึง มีเพียงคุณชายเหยียนที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุราเมามาย ความหื่นกระหายบดบังความมีเหตุผล ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าไม่ควรไปหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้เป็นอย่างยิ่ง
“แหมๆๆ เป็นคนที่ดุเดือดเสียด้วย ไม่เป็นไร… ข้าชอบสั่งสอนคนแบบเจ้าอยู่แล้ว ยังจะยืนนิ่งทำไมอีก? เข้าไปรุมพร้อมกันซี่… พาแม่นางผู้นี้กลับไปให้ข้าให้ได้ นางทำลายความสงบในเมืองหลวง ข้าจะต้องไต่สวนนางด้วยตนเอง”
เมื่อคุณชายเหยียนยกมือขึ้น เหล่าผู้คุ้มกันที่เพิ่งจะหยุดมือไปก็กรูกันเข้าไปอีก
สายตาของเฟิ่งชิงเฉินฉายแววกังวล แต่นางก็ไม่ได้ยอมศิโรราบ นางมัดผ้าบางบนเรือนร่างและแสดงท่าทางพร้อมสู้ออกมา
ในเมื่อไม่มีทางใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็ลองสู้ดูสักตั้งเถอะ
ไม่ว่านางจะอยากแต่งงานหรือไม่ แต่ในเมื่อวันแต่งงานประสบพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินกำลังเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อมีคนอยากมาเป็นกระสอบทรายของนาง นางย่อมไม่เกรงใจแล้ว
สู้เลย นางจะสู้อย่างดุเดือด!
“เข้ามาเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวโดยไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในเมื่อไปไหนไม่ได้ ในเมื่อแยกตัวออกไปไม่สำเร็จ ในเมื่ออ้อนวอนไปก็คงไม่เป็นผล เช่นนั้นก็มาสู้กันสักตั้ง ให้นางได้ระบายอารมณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ส่วนที่ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ค่อยคิดไปทีละก้าวก็แล้วกัน!
นางเป็นแพทย์ทหารที่คอยช่วยชีวิตคนในสนามรบ เพียงแค่จับทุ่มและการต่อสู้นางก็ทำเป็น จะทุ่มผู้คุ้มกันเหล่านี้ไม่ได้มีปัญหาเลย
สู้ วันนี้นางจะสู้อย่างดุเดือดสักตั้ง หากนางไม่ได้ต่อยตีจนคุณชายเหยียนกลายเป็นหมู นางก็จะไม่ใช้สกุลเฟิ่งอีก
“เข้าไป เข้าไปเลย… ระวังหน่อย อย่าทำให้คนสวยของข้าบาดเจ็บ”
นางเป็นแพทย์ทหารที่คอยช่วยชีวิตคนในสนามรบ เพียงแค่จับทุ่มและการต่อสู้นางก็ทำเป็น จะทุ่มผู้คุ้มกันเหล่านี้ไม่ได้มีปัญหาเลย
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ คุณหนูของข้าคือคุณหนูเฟิ่งชิงเฉินแห่งตระกูลเฟิ่ง เป็นคนที่ลั่วอ๋องจะแต่งงานด้วยในวันนี้…”
หวั่นอินยังคงถูกทหารจับตัวไว้อยู่ แต่นางก็ยังไม่ลืมตะโกนฐานะที่แท้จริงของเฟิ่งชิงเฉินออกมา ความดังของเสียงนั้นทำให้ร้านค้าแถวนั้นล้วนได้ยินหมด
“คุณหนูตระกูลเฟิ่ง? ใครจะไปเชื่อ แม้ว่าจะเป็นคุณหนูตระกูลเฟิ่งจริงๆ แล้วอย่างไร สภาพอย่างนี้ยังจะแต่งงานได้อีกหรือ? นำตัวไปให้ข้า หากมีเรื่องอะไรข้าจะรับผิดชอบเอง”
คุณชายเหยียนมีท่าทางไม่กริ่งเกรง เขาตะโกนเสียงดังที่หน้าประตูเมืองไปพร้อมกับหวั่นอิน
เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น นางรู้เพียงแต่ว่าต้องสู้เท่านั้น…
ระบายความกราดเกรี้ยวในใจออกมา…
ระบายความโกรธแค้นที่ถูกทรยศออกมา…
หวั่นอิน!
ชื่อนี้นางจะจำไว้
“เพี๊ยะๆๆ …”
เฟิ่งชิงเฉินราวกับจะบ้าคลั่งไปแล้ว นางทุ่มผู้คนที่อยู่รอบตัวทีละคน หญิงสาวผู้บอบบางคนหนึ่ง อาศัยทักษะพิเศษและความเย่อหยิ่งทำให้นางสามารถทุ่มชายร่างใหญ่กว่าสิบคนลงกับพื้นได้
“เหลือแต่เจ้าแล้ว คุณชายเหยียน ไม่ใช่จะนำตัวข้าไปหรอกหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมีเหงื่อโทรมกาย ผ้าผืนบางเปียกเหงื่อชุ่มจนแนบกาย ยิ่งทำให้ดูน่าอับอาย
แต่เมื่อเผชิญหน้าเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้ คุณชายเหยียนกลับกลัวจนเดินถอยหลังไปหลายก้าว “คุณหนูเฟิ่งโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว…”
“ไว้ชีวิตงั้นหรือ? เมื่อครู่ทำไมมิเห็นเจ้าจะปล่อยข้าไปบ้าง?” เฟิ่งชิงเฉินย่างสามขุมเข้าไป ทหารเฝ้าเมืองคิดจะเข้ามาข้างหน้า แต่กลับถูกสายตาคมปลาบของเฟิ่งชิงเฉินมองจนล่าถอยไป
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้เป็นดังเทพสังหาร หรือพูดง่ายๆ ก็คือนางต่อตีกับผู้คนจนตาแดง ใครกล้าเข้ามาก็ไม่รอดทั้งนั้น
“คุณหนูเฟิ่งไว้ชีวิตข้าด้วย บิดาของข้าคือหัวหน้าสำนักซุ่นเทียนฝู่ หากเจ้าตีข้า เจ้าตายแน่”
คุณชายเหยียนเป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับความดุร้ายของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็น้ำมูกน้ำตาไหลพราก หรือแม้กระทั่งประกาศออกมาว่าบิดาของเขาเป็นใคร
“หัวหน้าซุ่นเทียนฝู่ ช่างใหญ่โตเสียเหลือเกิน” เฟิ่งชิงเฉินพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เสียง “ตึง…” ดังขึ้น ร่างอวบอ้วนเหมือนหมูของคุณชายเหยียนก็ล้มลงกับพื้น เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างเยาะเย้ย
“หนักจริงๆ เสียด้วย…”
“โอ๊ย ช่วยด้วย นางจะฆ่าข้า…”
“คุณหนูตระกูลเฟิ่งจะฆ่าคนแล้ว..”
“ว่าที่พระชายาลั่วอ๋องจะฆ่าคนแล้ว…”
เสียงราวกับหมูที่ถูกฆ่าของคุณชายเหยียนดังขึ้นอยู่ด้านหน้าประตูเมือง
“ร้องต่อไปสิ ยิ่งร้องดังก็ยิ่งดี ข้าชอบฟัง…” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มเย็น ตอนนี้นางจะยังต้องรักษาหน้าไปทำไมอีก? มิทันการณ์เสียแล้ว
พอหมูอ้วนเหยียนล้มลงไปกับพื้น เฟิ่งชิงเฉินก้สาวเท้าก้าวเข้าไปข้างหน้าพลางกระทืบเป้าของเขาอย่างแรงอีกที
“โป๊ะ…”
เหล่าคนที่มามุงดูที่ประตูเมืองได้ยินเสียงบางอย่างแตก…
เหล่าบุรุษมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าซีดขาวพลางกุมเป้าของตนเองไว้ด้วยท่าทางเจ็บปวด
ส่วนเหล่าหญิงสาวต่างก็เบือนหน้าหนีไปด้วยความอาย…
“ผู้ที่ต่อยตีอยู่ที่นี่เป็นคุณหนูตระกูลเฟิ่งจริงหรือ? ท่าทางแข็งแกร่งเช่นนี้จะต่างอะไรจากโจรสาวเล่า!”
ทุกคนต่างก็สงสัย!
พวกเขาข้องใจเป็นอย่างมาก สาวน้อยร้อยชั่งผู้หนึ่ง เหตุใดจึงรู้จุดอ่อนของบุรุษเพศได้อย่างชัดเจนนักเล่า?
เรื่องที่เกิดขึ้นที่ประตูเมืองนี้ได้ทำให้ราชองครักษ์แห่งวังหลวงตื่นตัวขึ้นนานแล้ว
แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้มีความรวดเร็วนัก รอจนถึงเฟิ่งชิงเฉินต่อยตีจนสาแก่ใจแล้วพวกเขาจึงจะมาถึง
เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว ราชองครักษ์แต่ละคนก็ล้วนรู้สึกปวดหัว
นี่เป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว!
ว่าที่สะใภ้แห่งราชวงศ์กลับมามีเรื่องวิวาทอยู่ที่หน้าประตูเมือง แล้วจะทำส่วนนั้นของคนอื่นแตกเสียด้วย!
นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะจัดการได้ ราชองครักษ์นำตัวเฟิ่งชิงเฉินเข้าวังโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ในโรงน้ำชาที่อยู่ห่างจากประตูเมืองไปร้อยกว่าเมตร มีบุรุษชุดม่วงผู้หนึ่งยืนพิงราวกั้นอยู่ เมื่อเห็นสภาพอันน่าอับอายของเฟิ่งชิงเฉินที่ถูกทหารนำตัวไป มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เหยาหวา เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย หากเจ้าไปหาเรื่องนาง จะต้องระวังตัว…”
“เฮอะ ท่านพี่วางใจเถอะ ก็แค่เด็กกำพร้าไร้บิดามารดาผู้หนึ่ง จะเก่งกาจจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เลยงั้นหรือ”
หญิงสาวสวมชุดสีแดงสดพูดอย่างเอาแต่ใจ นางหันหลังให้แสงอาทิตย์ แต่เพียงมองจากด้านหลังก็รู้ได้ว่าต้องเป็นหญิงสาวที่งดงามมากแน่
เพียงแค่แผ่นหลังของนางก็สามารถทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้แล้ว
“หึๆ …” บุรุษชุดม่วงหัวเราะเบาๆ และไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก
นางลงมือรวดเร็ว แม่นยำและโหดเหี้ยม… เจาะจงเลือกจัดการจุดอ่อนของบุรุษเฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่รู้ว่านางไปเรียนมาจากไหน
เพียงแต่เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้เป็นเฟิ่งชิงเฉินที่เอาแต่ร้องไห้ยามที่เจอปัญหาจริงๆ หรือ?
บุรุษในอาภรณ์สีม่วงครุ่นคิดอย่างสงสัย…
“เสด็จพี่ อย่าลืมว่าอีกเดี๋ยวให้คนจัดการสาวใช้ผู้นั้นด้วย ข้าไม่อยากเก็บตัวปัญหาเอาไว้” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเหยาหวากล่าวอย่างไร้เยื่อใย
บุรุษชุดม่วงใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “ก๊อกๆๆ” เป็นจังหวะสูงต่ำ บนใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจ เหล้าหกรดลงมาแต่เขามองไม่เห็น…
ด้านตรงข้ามของชายชุดม่วงมีบุรุษในอาภรณ์สีดำสวมหน้ากากสีเงินนั่งอยู่ เขานั่งด้วยท่าทางสบายๆ แต่กลับเปล่งประกายรัศมีสง่างามสูงศักดิ์อย่างบอกไม่ถูก
เขาเก็บภาพที่เฟิ่งชิงเฉินต่อสู้กับเหล่าคนไว้ในดวงตาของเขาและเก็บภาพความเคลื่อนไหวของบุรุษชุดม่วงที่อยู่ตรงหน้า
“รัชทายาทซีหลิงและองค์หญิงลอบเข้ามาในเมืองก่อนจริงเสียด้วย ซีหลิงเทียนเหล่ย ซีหลิงเหยาหวา พวกเจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่าเพียงแค่จะมาหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น? ข้าไม่มีทางเชื่อแน่…”
บุรุษผู้สวมชุดดำและหน้ากากเงินพูดพลางเล่นถ้วยชาที่อยู่ในมือ ถ้วยชาหมุนวนอยู่บนปลายนิ้วของเขา ทุกครั้งที่ถ้วยจะตกลงมาก็กลับหมุนไปอยู่ที่อีกนิ้วหนึ่งแทน
ทำให้หัวใจของคนขึ้นๆ ลงๆ ตุ้มๆ ต่อมๆ ไปตามถ้วยชาและอดที่จะกังวลชะตาชีวิตของถ้วยชาถ้วยน้อยนี้ไม่ได้จึงอดไม่ได้ที่จะจับถ้วยชาไว้ให้มั่นและวางมันลง
เมื่อบุรุษในอาภรณ์สีม่วงจากไปแล้ว สายตาของชายชุดดำก็จับจ้องลงที่ตรงนั้น สายตาที่ทอดมองร่างของเฟิ่งชิงเฉินที่ถูกองครักษ์จับตัวไปฉายแววชื่นชมเจือจาง
“แม่เสือน้อย ช่างน่าเสียดายนักที่ต้องมาอยู่ในวังวนนี้ แค่มีกรงเล็บแหลมคมคงจะยังไม่เพียงพอ หากเข้าวังหลวงไป ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะออกมาอย่างมีชีวิตได้อย่างไร”
เมื่อพูดจบชายชุดดำก็แวบหายตามองค์รัชทายาทแห่งซีหลิง ซีหลิงเทียนเหล่ยไป…
บทที่ 002 ลวนลาม โอหังไม่ธรรมดา
บทที่ 004 ผลลัพธ์ ทุบตีอย่างโหดร้าย