นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 15 เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“อย่ามาถูกตัวข้า”

เฟิ่งชิงเฉินจ้องหน้าเจ้าหน้าที่ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้นาง ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังยืนตกใจอยู่นั้น นางก็ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง

นางปัดฝุ่นออกจากเนื้อตัวแล้วมองหน้าซูเหวินชิงด้วยแววตาแน่นิ่ง พร้อมกับเอ่ยวาจาโดยที่ไม่รู้สึกอับอาย “คุณชายซู ที่ท่านลากตัวข้าในครั้งนี้ ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ตอนนี้ช่วยเงียบๆก่อนได้ไหม ข้าขอช่วยชีวิตคนก่อน”

หัวอกคนเป็นแพทย์ ทำให้นางไม่สามารถดูดายกับเด็กผู้ชายที่นอนนิ่ง เห็นๆอยู่ว่าเขายังไม่ตาย แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพตัดสินให้เป็นศพ

เห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วย ก็ไม่ต่างจากการฆ่าคนดีๆนี่เอง!

นางทำไม่ลงจริงๆ!

“เจ้าว่าอะไรนะ? น้องชายข้ายังไม่ตายจริงๆ เจ้าสามารถช่วยเขาได้จริงๆหรือ?” ซูเหวินชิงยืนอึ้ง เขาจ้องมองนัยน์ตาสุกใสของเฟิ่งชิงเฉิน จู่ๆก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น

หากเป็นเรื่องอื่น ซูเหวินชิงไม่มีทางเชื่อเฟิ่งชิงเฉินแน่นอน แต่ว่าเรื่องนี้……

เขาอยากจะเชื่ออย่างสุดซึ้งเลยนี่นา

น้องชายของเขา อายุยังน้อย ช่วงอายุที่ดีๆเช่นนี้กลับต้องมาด่วนจากไปอย่างอนาถ

เขาเศร้าโศกเสียใจมาก และรอคอยเวลาชำระแค้นของผู้ที่คร่าชีวิตน้องชายเขา

แต่ว่าตอนนี้?

มีคนบอกว่า น้องชายของเขาต้องการความช่วยเหลือ

เช่นนี้แล้ว จะให้เขาคลางแคลงได้อย่างไร

ช่วยย่อมดีกว่าไม่ช่วย ในยามที่คนเราหิวไส้กิ่ว แล้วมีคนยื่นหมั่นโถวมาให้ตั้งครึ่งชิ้น

สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือเขาจะปฏิเสธ?

เขาไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว

ซูเหวินชิงไม่ต่างจากคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วคว้าขอนไม้เอาไว้ได้ เขามองหน้าเฟิ่งชิงเฉินอย่างมีความหวัง และรอให้ปาฏิหาริย์มีจริง

“คุณชายซู อย่าไปเชื่อผู้หญิงคนนี้นะขอรับ จะเป็นไปได้อย่างไร นางจะช่วยคุณชายเล็กได้อย่างไร คุณชายเล็กเสียชีวิตแล้ว พวกเรายืนยันได้ คุณชายเล็กไม่มีลมหายใจแล้ว นอกเสียจากว่าคุณหนูเฟิ่งนางจะเป็นปิศาจ”

เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพพูดเสียงดังฟังชัด พลางจ้องมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาชิงชัง

เฟิ่งชิงเฉินมองหน้าเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพและยอกย้อนกลับไปว่า “ไม่มีลมหายใจแล้ว หรือว่าลมหายใจรวยรินกันแน่ ท่านแน่ใจหรือว่าชีพจรเขาหยุดเต้นแล้ว? เขานอนอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว? นานเกิน 4 ชั่วยามแล้วสินะ?”

“ตายมาเกิน 4 ชั่วยามแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีเลือดฝาด และมีความอุ่นเช่นนี้น่ะหรือ? ตายมาเกิน 4 ชั่วยามแล้ว ศพจะไม่ตัวแข็งบ้างหรือไง? ที่ท่านมั่นใจว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เป็นเพราะท่านตรวจสอบผิดพลาดใช่หรือไม่? นี่ท่านถึงกับกล้าพูดออกมาว่า หากข้าช่วยให้เขาฟื้นได้ ก็เท่ากับว่าข้าเป็นปิศาจ? ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ คนเป็นคนตายท่านยังแยกไม่ออกเลย แล้วท่านจะมีคุณสมบัติอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านมีโทษเพราะปล่อยให้คนตาย ตอนนี้ท่านออกไปได้แล้ว!”

เฟิ่งชิงเฉินมองหน้าเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพและยอกย้อนกลับไปว่า “ไม่มีลมหายใจแล้ว หรือว่าลมหายใจรวยรินกันแน่ ท่านแน่ใจหรือว่าชีพจรเขาหยุดเต้นแล้ว? เขานอนอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว? นานเกิน 4 ชั่วยามแล้วสินะ?”

เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปทางประตูด้วยความโกรธ ท่าทางของนางหาใช่กิริยาที่คุณหนูทั่วๆไปกระทำกัน

“มีโทษเพราะปล่อยให้คนตาย? นี่เจ้า……” เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพคนดังกล่าวชี้หน้าเฟิ่งชิงเฉิน ชี้ไปก็ตัวสั่นไป เขารับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

คำถามชุดใหญ่จากเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร

เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากสนใจเขา นางเมินหน้าหนีแล้วหันกลับมามองร่างคุณชายเล็ก

เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพทนไม่ได้ เขาอยากเข้าไปทำร้ายนาง แต่ซูเหวินชิงสั่งการด้วยสายตา ให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆช่วยจับตัวเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไว้

ซูเหวินชิงมองดูเฟิ่งชิงเฉินที่สงบสติอารมณ์ลงมาได้บ้างแล้ว ทำไมนะ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ยิ่งมองก็ยิ่งหลงไหลในความงามของนาง แต่ก็ยังรังเกียจนางอยู่ดี

เขาหยุดยั้งความคิดของตัวเอง ซูเหวินชิงกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่ง ในเมื่อเจ้าบอกว่าน้องชายข้ายังไม่ตาย เจ้าสามารถช่วยน้องชายของข้าได้ หากเจ้าทำพลาดขึ้นมาล่ะ? เจ้าจะเอาสิ่งใดมาชดใช้?”

“ชดใช้? ก็พวกท่านทุกคนล้วนคิดว่าเขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือ หากข้าไม่สามารถทำให้เขามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน” แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้หันหน้ามาหาเขา แต่ซูเหวินชิงมั่นใจว่า ในขณะที่นางกำลังพูด สีหน้าของนางคงกำลังประชดประชันอยู่เป็นแน่

แล้วซูเหวินชิงเป็นใครล่ะ?

คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซู พ่อค้ารายใหญ่ประจำเมืองหลวง ผู้ที่มั่งคั่งเป็นอันดับต้นๆในวังหลวง สำหรับราชวงศ์ตงหลิงแล้ว เขาคือบุคคลสำคัญ เมื่อมาเห็นท่าทีเย่อหยิ่งของเฟิ่งชิงเฉินเข้า คุณชายผู้สูงส่งมีหรือจะทนไหว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง

“คุณหนูเฟิ่ง หากวันนี้เจ้าช่วยให้น้องชายของข้าฟื้นไม่ได้ ข้าก็จะฆ่าเจ้าเอง เป็นการชดใช้ให้น้องชายของข้า……”

เขาจงเกลียดจงชังผู้หญิงที่ด่างพร้อยคนนี้ ที่กล้าดีมาถูกร่างน้องชายเขา แต่หากนางช่วยชีวิตน้องชายของเขาได้ เขาก็จะยอมมองเป็นอื่นไป

“ฆ่าข้า?” เฟิ่งชิงเฉินแสดงออกถึงความโมโหอย่างชัดเจน นางหันหลังกลับมา แล้วหรี่ตาจ้องหน้าซูเหวินชิง

เมื่อได้เห็นแววตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังของซูเหวินชิงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ถึงกับแสยะยิ้ม

เฟิ่งชิงเฉินนำคำพูดที่กำลังจะพูดออกมากลืนลงคอไปเสียแล้ว นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่นิ่ง “ได้ หากข้าไม่สามารถช่วยให้น้องชายของท่านฟื้นได้ ข้าขอเอาชีวิตข้าเป็นเดิมพัน สำหรับชดใช้ให้น้องชายของท่านก็แล้วกัน แต่หากข้าสามารถทำให้น้องชายท่านฟื้นได้ รบกวนคุณชายซูช่วยคุกเข่าขอโทษข้าด้วยล่ะ”

แม้เฟิ่งชิงเฉินจะโมโห แต่นางก็ยังครองสติได้ นางรู้ดีว่าคนที่นี่ไม่มีทางเชื่อนาง ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างนางจะไปช่วยชีวิตคนได้อย่างไร โดยเฉพาะกับ “ศพ” ที่ถูกยืนยันการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพผู้เชี่ยวชาญ

ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นางนั้นคุ้นเคย ที่นี่ไม่มีใครเชื่อว่าผู้หญิงจะมีความรู้ด้านการแพทย์

แม้ว่าในใจจะทุกข์ตรม แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ปล่อยให้อารมณ์เช่นนี้อยู่กับนางนานจนเกินไป นางสูดลมหายใจเข้า แล้วสะกดความฟุ้งซ่านเอาไว้

ในฐานะที่นางนั้นเป็นหมอ การควบคุมอารมณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ จะไปทำการรักษา จ่ายยา หรือจับมีดได้อย่างไร

“ได้!” ซูเหวินชิงพยักหน้า

ในมุมมืดบนหลังคา ซีหลิงเทียนเหล่ยและชายชุดดำหน้ากากเงินต่างอึ้งไปตามกัน

เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน? ที่สำคัญเจ้าจะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร ทำให้ “ศพ” ฟื้นคืนชีพได้น่ะหรือ?

เราจะมาคอยดูกัน ว่าเจ้าจะเก่งกาจได้สักกี่น้ำเชียว

ในตอนนี้ ชายสองคนที่อยู่บนหลังคาต่างลืมเป้าหมายของภารกิจตนไปเสียสิ้น สายตาคนทั้งสองล้วนกำลังจับจ้องไปยังเฟิ่งชิงเฉินโดยมิได้นัดหมาย

ต่างรอดูปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

ทั่วทั้งห้องเก็บศพเงียบสงบลงแล้ว ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์หายใจไม่ทั่วท้อง ต่างจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินตาแทบไม่กะพริบ เพราะเกรงว่าจะพลาดเรื่องราวเด็ดๆไป

เฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว นางสงบนิ่ง ชำนิชำนาญน่ายำเกรง นางดูมีเสน่ห์แบบแปลกๆที่ดึงดูดสายตาของผู้คน

ส่วนซูเหวินชิงก็กำลังต่อสู้กับความสับสนภายในใจ

ผู้หญิงเช่นนาง หลุดมือของลั่วอ๋องมาแล้ว วันนี้คงเป็นวันที่ลั่วอ๋องต้องเสียดายมากๆเลยสินะ

บรรยากาศภายในห้องเก็บศพที่เปลี่ยนไป เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันได้สังเกตเลยสักนิด เมื่อนางกำลังช่วยชีวิตคน นางก็คือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านเป็นอย่างไร นางก็ยังคงทำหน้าที่ของตนได้โดยไม่วอกแวก

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ของตัวเอง เฟิ่งชิงเฉินบอกกับตัวเองว่า แม้ว่าจะสลับร่างแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเป็นเฟิ่งชิงเฉิน แพทย์ทหารหญิงที่มีศักดิ์มีศรี……

เฟิ่งชิงเฉินโน้มตัวลงไป แล้วประกบปากกับ “ศพ”

กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะของนางวินิจฉัยออกมาแล้วว่าเด็กชายมีสิ่งแปลกปลอมในลำคอ

หากทุกอย่างเอื้ออำนวย นางคงจะทำการผ่าตัดเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา

แต่เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี ผู้ที่ยืนอยู่หลังตนคือคุณชายผู้สูงศักดิ์ เขาไม่มีทางยอมให้นางทำเรื่องเช่นนั้นแน่

สิ่งที่นางพอทำได้ คือใช้เครื่องช่วยหายใจจากมนุษย์ ลองดูก่อนว่าจะสามารถนำสิ่งแปลกปลอมในคอเด็กคนนี้ออกมาได้หรือไม่

แน่นอนว่า หากทำไม่สำเร็จ นางก็จำเป็นต้องผ่าตัด

“นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ?” ซูเหวินชิงกลืนน้ำลายลงคอ เขาชี้นิ้วมาที่เฟิ่งชิงเฉิน มือไม้ถึงกับสั่นไม่เป็นท่า

แม้ว่า “ศพ” นั้นจะเป็นน้องชายแท้ๆของตนเอง แต่ตนก็ไม่มีทางจูบเขาได้ลงคอ

นั่นมันคนตายนะ!

เฟิ่งชิงเฉินหาสนใจซูเหวินชิงไม่ นางยังทำเช่นเดิมซ้ำไปซ้ำมา

นางต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก หากนำสิ่งแปลกปลอมออกมาจากคอของเขาแล้วสิ่งแปลกปลอมนั้นดันเผลอหลุดเข้าไปในคอนาง เช่นนั้นนางต้องซวยแน่ๆ

และแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่า แม้ว่านางจะกลืนวัตถุนั้นลงคอ แต่นางก็คงไม่ถึงตาย ตอนนี้นางจำเป็นจะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเด็กคนนี้ยังไม่ตายจริงๆ

พวกหมอกระจอกและเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพที่ไม่เอาไหนกำลังจะปล่อยให้คนๆหนึ่งตาย

เฟิ่งชิงเฉินทำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทว่า……การทุ่มเทของนางยังไม่มีทีท่าว่าจะสัมฤทธิ์ผล

หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซูเหวินชิง เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ เจ้าหน้าที่คนอื่นๆและชายที่ซ่อนตัวอยู่บนหลังคาทั้งสองคนต่างจดจ้องมาที่เฟิ่งชิงเฉิน ทุกคนกดดันจนแทบลืมหายใจ

พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองนั้นจะคาดหวังให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยคนให้ฟื้นได้ เพื่อยืนยันว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นฝ่ายถูก

หรือจะคาดหวังให้เฟิ่งชิงเฉินพ่ายแพ้ เพื่อยืนยันว่านางโกหกหลอกลวง……

บทที่ 14 ยังไม่ตาย

บทที่ 16 คุกเข่าขอร้อง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท