เป็นไปได้อย่างไร?
เฟิ่งชิงเฉินตะลึงอยู่กับที่ โดยไม่เคลื่อนไหว
นางคิดถึงความเป็นไปได้นับพัน แต่นางลืมความเป็นไปได้นี้ไป
แต่มันยุ่งยากอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วและดูกังวลเป็นอย่างมาก
เพราะเห็นสีหน้าของนาง หวังชีจึงก็ขมวดคิ้วตาม และใบหน้าของเขาเผยความคาดหวังและความผิดหวังออกมา เขาอยากเอ่ยปากถามเฟิ่งชิงเฉินอย่างมากว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่หวังจิ่นหลิงอยู่ด้วย เขาไม่สามารถถามได้ จึงทำได้แค่รอดูเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากพูดเอง
“ชิงเฉิน…” หวังจิ่นหลิงรออยู่เป็นเวลานาน เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่เอามือตัวเองกลับไป หวังจิ่นหลิ่งเอ่ยปากอย่างเขินอายและกล่าวว่า
“อ๊า… จิ่นหลิง ข้าขอโทษ” เฟิ่งชิงเฉินได้สติและเร่งดึงมือตัวเองกลับไปอย่างรวดเร็ว
ที่แท้แล้ว ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินเหม่อลอย มือของนางที่จับดวงตาของหวังจิ่นหลิงเอาไว้ ไหลลงมาบนใบหน้าของหวังจิ่นหลิง ประกอบกับท่าทางเอนไปข้างหน้าของนาง จึงดูสนิทสนมกันอย่างมาก
โชคดีที่ดวงตาของหวังจิ่นหลิงมองไม่เห็น มิเช่นนั้นคงน่าเขินอายจริงๆ เพราะนางเสียมารยาทจริงๆ
นี่ถือเป็นเรื่องปกติในยุคปัจจุบัน การตรวจตาคนไข้ หากไม่เข้าใกล้จะมองไม่ชัดแต่หากอยู่ในยุคโบราณ การกระทำนี้เกินเลยไป
โชคดีที่ หวังจิ่นหลิงมิใช่คนประเภทที่ยึดถือเรื่องกฎมารยาทสักเท่าไหร่ มิเช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่สามารถก้าวเข้าเรือนตระกูลหวังได้อีก
ในยุคนี้ ผู้หญิงที่มีความประพฤติไม่ดี ไม่ได้รับการต้อนรับ
หวังจิ่นหลิงส่ายหน้าอย่างเฉยเมย “ชิงเฉินตรวจมานานแล้ว ควรบอกผู้ป่วยคนนี้ได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของข้า”
หวังจิ่นหลิงเงยหน้าขึ้น มีรอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าของเขา
“พี่ใหญ่…” หวังชีรีบลุกขึ้นทันที
การกระทำและการแสดงออกของเขาทำให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่า หวังชีมิได้บอกกระไรกับหวังจิ่นหลิงเลย
“เจ้าอยากถามว่าข้ารู้ได้อย่างไรหรือ” หวังจิ่นหลิงยิ้ม
“คงเป็นเพราะกลิ่นยาบนร่างกายของข้ากระมั้ง” เฟิ่งชิงเฉินคิดได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่นางเปลี่ยนยาสำหรับให้กับรองฮูหยินแล้ว นางก็เดินตรงมาที่นี่ จึงอาจมีกลิ่นยาติดตัวมาเล็กน้อย คนปกติอาจไม่ได้กลิ่น แต่หวังจิ่นหลิงทำได้
เมื่อตามองไม่เห็น จมูก หู จะอ่อนไหวกว่าคนทั่วไป
หวังจิ่นหลิงพยักหน้า “ชิงเฉินฉลาดจริงๆ แต่ตอนแรกข้าไม่แน่ใจ คิดว่าน้องเจ็ดได้รับบาดเจ็บ และไปร้านยามาจึงมีกลิ่นยาติดมาด้วย แต่เมื่อชิงเฉินเข้ามาใกล้ จึงพบว่ากลิ่นยานี้โชยมาจากร่างกายของ ชิงเฉิน อีกทั้งท่าทีต่างๆ ของเฟิ่งชิงเฉิน ข้าจึงคาดเดาได้ว่า ชิงเฉินเข้าใจทักษะการรักษา และมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย”
มิฉะนั้น เจ้าเจ็ดของตระกูลเขาไม่มีทางยอมก้มหน้าไปขอร้องเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน
เขาเข้าใจนิสัยของเจ้าเจ็ดเป็นอย่างดี เขาดูอ่อนโยนและใจดี แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนเย่อหยิ่งและสูงส่งอย่างมาก หากว่าไม่เข้าตาเจ้าเจ็ดจริงๆ
คนที่คุณชายเจ็ดจะตั้งใจเข้าหานั้นมีน้อยมาก ด้วยชื่อเสียงแต่สถานะของเฟิ่งชิงเฉิน ซึ่งไม่เพียบพร้อมแม้แต่ประการเดียว
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
นั่นก็คือ เจ้าเจ็ดตั้งใจไปเข้าหานางเพื่อจะให้นางมาช่วยตน
ในชีวิตนี้มีน้องชายเช่นนี้ แม้ว่าจะต้องตาบอดไปชั่วชีวิต เขาก็เต็มใจ
“หากคิดอยากจะกระตุกกระติกต่อหน้าจิ่นหลิง มันยากมากจริงๆ” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและกลับมายืนปกติ
“คำพูดของชิงเฉินนั้นจริงจังมากไป ข้ามิใช่คนเช่นนั้น” หวังจิ่นหลิงยังคงพูดคุยหัวเราะอย่างเป็นกันเอง ราวกับว่าไม่สนใจคำวินิจฉัยของเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับว่าตนสามารถรับได้แล้วที่ตนจะตาบอดไปทั้งชีวิต
ท้ายที่สุดแล้ว หวังจิ่นหลิงพบหมอมานับพัน แต่ไม่มีใครกล่าวเลยว่าดวงตาของเขามีโอกาสที่จะกลับมามองเห็นได้
ไม่ใช่ว่าหวังจิ่นหลิงไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินแต่เขาได้พบหมอที่เก่งกาจมามากมาย และเขาสูญเสียความหวังที่จะหายดีไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หวังจิ่นหลิงไม่ได้รีบร้อน แต่หวังชีกลับรีบร้อนอย่างมาก เมื่อเห็นทั้งสองพูดคุยกันแต่ไม่พูดเรื่องสำคัญเสียที หวังชีกังวลอย่างมาก
“ชิงเฉิน ตาของพี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง? สามารถช่วยได้หรือไม่ เจ้ากล่าวมาสิ”ตอนแรกหวังชีคิดว่าหมดหวังแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทีสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน กลับดูไม่เป็นเช่นนั้น
“น้องเจ็ด เราไม่สามารถบังคับทุกสิ่งอย่างได้” หวังจิ่นหลิงกล่าว เขาส่งสัญญาณให้หวังชีอย่างได้ร้อนใจ
นิสัยเช่นนี้จะเป็นหัวหน้าตระกูลได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวตาม “ใช่แล้ว เจ้าบังคับอะไรไม่ได้ ตาของจิ่นหลิงหากว่าอยากจะกลับมามองเห็นได้นั้น ก็มีความเป็นไปได้………”
“ว่าอย่างไรนะ? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าพูดกระไรนะ? พูดใหม่อีกที” หวังชีกระโดดขึ้นทันที ถ้วยชาบนโต๊ะตกลงไปที่พื้นพร้อมกับเสียงดัง “ป๊อป” และดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“เฟิ่งชิงเฉิน สามารถรักษาได้จริงหรือ? เจ้าพูดจริงหรือ?” ตอนนี้หวังชีไม่มีเวลามาสนใจเรื่องชายหญิงห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน เขารีบจับมือเฟิ่งชิงเฉิน และเขย่ามือนางอย่างตื่นเต้น
นิ้วของหวังจิ่นหลิงแข็งขึ้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายอย่างรวดเร็ว เขาเร่งเอ่ยปากต่อว่าก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะดึงมือตัวเองกลับมาไป ” เจ้าเจ็ด เจ้าเสียมารยาท”
หวังจิ่นหลิงตื่นเต้นหรือไม่?
แน่นอนว่าเขาตื่นเต้น
เขาคิดมาเสมอว่าดวงตาของเขาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่วันนี้กลับมีคนมาบอกเขาว่าเขาสามารถรักษาดวงตาให้หายขาดได้ เขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร
แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะตะโกนโวยวายเมื่อเจอเรื่องต่างๆ หลังจากที่เขาดีใจและตื่นเต้นอย่างมากแล้ว เขาเข้าใจทันทีว่า แม้ว่าดวงตาของเขาจะรักษาให้หายได้ แต่มันคงไม่ง่าย
ไม่ต้องพูดถึงการวินิจฉัยของหมอที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในโลก แค่พูดถึงสีหน้าที่ตกใจและกังวลของเฟิ่งชิงเฉินก่อนหน้านี้ ก็สามารถรู้ได้ว่าโรคตาของเขารักษายาก
หลังจากที่ดีใจอย่างมาก หวังจิ่นหลิงก็สงบลง
“ชิงเฉิน -hkขอโทษ” หวังชีกล่าวขอโทษอย่างไม่ถือตัว
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย และดึงมือตัวเองกลับไป
ที่แท้แล้ว ไม่ว่าจะยุคไหน เมื่อสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยตื่นเต้นขึ้นมา ต่างก็ชอบจับมือหมอ
“ชิงเฉิน มีปัญหาในการรักษาใช่หรือไม่?” หวังจิ่นหลิงกล่าว แต่ก็ตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ดูเหมือนคนปกติมากกว่า
“ใช่ หากจะรักษาดวงตาของเจ้า มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ไม่มีหวังเลย” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าต้องการอะไรบ้าง? ตระกูลหวังจะพยายามอย่างเต็มที่” หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาอย่างสงบ โดยไม่อวดความร่ำรวยของตน และกลับทำให้คนอื่นเชื่อถือ
ความมั่งคั่งของตระกูลหวัง ภูมิหลังของตระกูลหวัง มิได้แย่ไปกว่าตระกูลหลวงของราชวงศ์ตงหลิง แม้แต่น้อย แม้กระทั่งบางสิ่งที่มีในตระกูลหวัง ราชวังก็อยากได้เช่นกัน
“หากจะรักษาดวงตาของเจ้า ข้าต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลหวังจริงๆ แต่เงื่อนไขคือตัวเจ้าเองจะต้องยอมรับแผนการรักษาของข้าให้ได้”
“แผนการรักษาของเจ้าหรือ? มันคืออะไร?” หวังจิ่นหลิงเอามือถูถ้วยน้ำชาเพื่อทำให้ความตื่นเต้นในใจสงบลง
“ข้ายังไม่ทราบ ข้าต้องการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของเจ้าอย่างถี่ถ้วนก่อน” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไปและหยิบกระดาษขาวหนึ่งกองกับดินสอถ่านจากกล่องยาที่ตนพบมาเอง
ดินสอถ่านที่ว่า ก็คือการเหลาแท่งท่านให้แหลม
ช่วยไม่ได้ พู่กันเขียนออกมาเหมือนกันตัวหนังสือลูกอ๊อด อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผ่านไปนานตัวนางเองก็อ่านไม่ออกว่าตนเขียนกระไร
อีกอย่าง การพกพู่กันจีนนั้นไม่สะดวกเท่าไหร่ เวลาบดหมึกบดใช้เวลานานและสกปรก แท่งถ่านใช้ดีกว่าเยอะ แค่ห่อตรงปลายแหลมให้ดี เขียนเร็วและสะดวกมีข้อเสียเดียวคือมันหักง่าย แล้วก็เขียนไม่กี่คำก็ทู่แล้ว ใช้ได้ไม่นานเท่าไหร่
เฟิ่งชิงเฉินเขียนวินิจฉัยอาการป่วยของหวังจิ่นหลิงลงกระดาษขาว ขณะเขียนก็ถามเขาไปด้วยว่าอาหารการกินโดยปกติของเขาเป็นอย่างไร และคำถามเกี่ยวกับเรื่องดวงตาต่างๆ
แม้ว่าผลวินิจฉัยที่กล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะวิเคราะห์ออกมานั้น จะเป็นเช่นเดิมกับคำวินิจฉัยของนาง แต่มีประวัติการรักษาต่างๆ นางไม่ทราบ จึงต้องถามให้แน่ชัด เผื่อว่ารักษาซ้ำซ้อนกันหลายครั้ง
หวังจิ่นหลิงให้ความร่วมมืออย่างมาก เขาตอบทุกอย่างที่เฟิ่งชิงเฉินถาม และบางครั้งเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถามเขาเองก็พูดออกมาอย่างละเอียด
ยิ่งไปกว่านั้นความจำของหวังจิ่นหลิงดีอย่างมาก คำวินิจฉัยของหมอทุก และยาที่หมอทุกคนให้ยา เขาสามารถพูดออกมาได้ครบถ้วนอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉินจดไปด้วยพร้อมกล่าวในใจว่า พระเจ้านั้นยุติธรรมจริงๆ เมื่อให้สิ่งที่วิเศษกับเจ้า พระเจ้าก็จะต้องเอาบางสิ่งกลับไป
พระเจ้าให้สมองที่ดีแก่หวังจิ่นหลิง จึงเอาดวงตาของเขากลับไป
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินถามจบแล้ว นางมิได้นำสิ่งที่ตนเขียนให้ทั้งสองอ่าน แต่นางกอดอกและมองหวังจิ่นหลิงอย่างเคร่งเครียด
“ต่อไป ข้าจะบอกแผนการรักษาของข้าให้พวกเจ้า…..”
บทที่ 042 ตรวจ
บทที่ 044 การปลูกถ่ายอวัยวะ