นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 62 โอกาส

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดหมาย

ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ หวังจิ่นหลิง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังก็ถือของฝากชิ้นใหญ่มาที่จวนเฟิ่งด้วยตัวเอง เขามาขอให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยรักษาดวงตาให้กับเขา

เฟิ่งชิงเฉินมองหวังจิ่นหลิงที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบผู้ดีมีสกุล ในตาพร่ามัวเพราะน้ำตา “จิ่นหลิง น้ำใจที่ยิ่งใหญ่ไม่ต้องอาศัยคำขอบคุณ ข้า เฟิ่งชิงเฉินจะจดจำไว้ในใจอยู่เสมอ”

นางรู้ดีว่าหวังจิ่นหลิงต่อต้านการปลูกถ่ายกระจกตา ด้วยสถานะของหวังจิ่นหลิง เขาต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนกว่าจะตัดสินใจเช่นนี้ได้

การตัดสินใจนี้อาจไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นด้วยกับการปลูกถ่ายกระจกตา ต่อให้หวังจิ่นหลิงเห็นด้วยกับการปลูกถ่ายกระจกตา เขาก็คงไม่ประโคมข่าวใหญ่โต แล้วเอาหน้าตาตระกูลหวังเข้ามาเสี่ยง

หวังจิ่นหลิงคงพอจะทราบเรื่องที่นางถูกคนครหามาบ้างแล้ว วันนี้เขาจึงมาหานางแต่เช้า เพื่อมอบแรงสนับสนุนให้กับนาง

ตระกูลหวังออกหน้าแทนนางทั้งที ใครเลยจะกล้ามาดูหมิ่นนางได้

การรู้จักกันในครั้งนี้ได้มอบสิ่งดีๆให้กับนางมากมาย เพื่อนอย่างหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินยอมรับอย่างเต็มใจ

“ชิงเฉิน เรื่องที่เจ้าจะปลูกถ่ายกระจกตาให้ข้า ข้าจะปิดบังอย่างไรดีล่ะ” รอยยิ้มของหวังจิ่นหลิงพาให้คนมองอบอุ่นหัวใจนัก แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเขานอนคิดเรื่องเฟิ่งชิงเฉินมาทั้งคืน

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า “ก็ตามที่ข้าพูด จิ่นหลิงเชื่อมั่นในตัวข้า ความเชื่อใจนี้ชิงเฉินจะจดจำเอาไว้”

นางรู้ดีว่าหวังจิ่นหลิงกดดันเพียงใด เพราะเขาไม่เพียงเป็นตัวแทนของตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของทั้งตระกูลหวังอีกด้วย

หวังจิ่นหลิงเอาตระกูลหวังมาข้องเกี่ยว หากนางทำสำเร็จก็ดีไป แต่หากว่าล้มเหลวขึ้นมา ชื่อเสียงตระกูลหวังก็จะต้องเสื่อมเสีย และนางคงไม่ต้องมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว

สิ่งที่ตระกูลใหญ่ดังเช่นตระกูลหวังใส่ใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องชื่อเสียง

หวังจิ่นหลิงต้องเชื่อใจนางมากแค่ไหน จึงตัดสินใจเดินมาจุดนี้ได้

“แล้วชิงเฉินเชื่อใจข้าหรือเปล่าล่ะ?” หวังจิ่นหลิงหันหน้าไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาไร้ประกายคู่นั้น ดูมืดมนแต่ก็บริสุทธิ์ แถมยังมีพลังที่ดูน่าเชื่อถือ

“เชื่อสิ” เฟิ่งชิงเฉินตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

นางเชื่อใจหวังจิ่นหลิง

“เหมือนกัน ข้าเชื่อใจเจ้า ข้าเชื่อใจเฟิ่งชิงเฉิน ข้ามอบดวงตาให้เจ้าจัดการแล้ว หากมีสิ่งใดที่ตระกูลหวังพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลย ตระกูลหวังไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน” หวังจิ่นหลิงไม่เคยเล่าเลยว่าเขาต้องเสียสละอะไรบ้างกว่าจะทำให้ตระกูลหวังยอมเห็นชอบกับเรื่องนี้

เฟิ่งชิงเฉินคือมิตรสหายที่เขาเชื่อใจ เมื่อเพื่อนเผชิญปัญหาใหญ่ เขาไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆแน่ แม้ว่าเขาจะทุ่มเทไปมากเพียงใด ก็ไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งชิงเฉินรับรู้

เขาไม่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินสำนึกในบุญคุณ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้บังคับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความสมัครใจของเขาเอง

“อืม งั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ จิ่นหลิง ข้าต้องการห้องสักห้องที่สะอาดจนไม่มีฝุ่นผง ไม่มีสิ่งใดมารบกวน หากมีแสงสว่างเพียงพอก็จะดีมาก และขอให้ตระกูลหวังช่วยรับรองว่า ระหว่างที่ข้ารักษาดวงตาให้ท่าน ห้ามให้คนนอกมาข้องแวะเด็ดขาด ในเมื่อเลือกข้าแล้วก็โปรดเชื่อใจข้า ยินยอมมอบท่านมาให้ข้าดูแล แล้วข้าจะนำหวังจิ่นหลิงส่งคืนพวกเขาอย่างสวยงาม” สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินร้องขอเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก

ห้องผ่าตัด ขอเพียงห้องที่ใช้แทนห้องผ่าตัดจริงๆได้ก็พอแล้ว กับความไว้วางใจ เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางเอง

“แค่นี้เองน่ะหรือ?” หวังจิ่นหลิงไม่รู้สึกแปลกใจ ทว่าผู้ดูแลจวนหวังที่ยืนอยู่หลังเขากลับเงยหน้าและเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

บรรดาหมอที่แวะเวียนมาที่จวนหวังล้วนมีข้อเรียกร้องสารพัด จะกินอะไรบ้างล่ะ จะดื่มอะไรบ้างล่ะ ต้องพักในที่พักแบบไหน หากรักษาไม่ได้ต้องเสียค่าเหนื่อยกี่ตำลึง หากรักษาได้จะต้องได้ค่าตอบแทนอย่างไรบ้าง

เฟิ่งชิงเฉินน่าจะรู้นี่นาว่าตระกูลหวังมั่งคั่งเพียงใด ขอเพียงนางรักษาดวงตาให้คุณชายใหญ่ได้ ตระกูลหวังก็จะตอบแทนนางอย่างงามแน่นอน

“แค่นี้แหละ ข้าขอแค่ไม่ให้มีใครมารบกวน ข้าขอแค่ห้องที่ทำให้ข้ารู้สึกพอใจก็พอแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินหันไปบอกผู้ดูแลจวนที่ยืนอยู่ด้านหลังหวังจิ่นหลิง นางไม่มีข้อเรียกร้องนอกเหนือจากนี้แล้ว

นางเป็นหมอ ไม่ใช่คนทำการค้าขาย ไม่ใช่คนฉวยโอกาสกับความเป็นความตายของคนไข้

“แล้วค่ารักษาล่ะขอรับ?” ผู้ดูแลจวนหวังเอ่ยถามเบาๆ

ที่คุณชายใหญ่และคุณชายเจ็ดเคยบอกว่าคุณหนูเฟิ่งผู้นี้ไม่เลือกปฏิบัติและเป็นคนตรงไปตรงมา เห็นทีจะจริงอย่างที่พูด

การทำตัวเช่นนี้สมแล้วที่เป็นลูกสาวแม่ทัพเฟิ่ง ไม่ทำให้ผู้เป็นพ่อเสียชื่อเลยจริงๆ

ผู้ดูแลจวนหวังมองนางด้วยสายตาชื่นชม

คำนินทาเชื่อถือไม่ได้เลย ชาวบ้านพูดถึงคุณหนูเฟิ่งว่าระยำสำส่อนยิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก แต่ในความเป็นจริง คุณหนูเฟิ่งเป็นคนจิตใจดี แววตาซื่อตรงตั้งใจทำงาน สำนึกบุญคุณคนและรู้จักหาทางตอบแทน

หากความสามารถของนางล้ำเลิศจริง ตระกูลหวังก็จะคอยให้การสนับสนุนนาง ทำให้นางเฉิดฉายมากยิ่งขึ้น

“เหมือนจวนซูก็แล้วกัน ทองคำ 1 พันตำลึง” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับไป

นางไม่ใช่นักบุญ นางต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วการเรียกค่ารักษาก็เป็นสิทธิ์ของหมออยู่แล้ว เพียงแต่นางเรียกค่ารักษาแพงไปหน่อย

บุญคุณที่หวังจิ่นหลิงมีต่อนาง ไม่อาจใช้เงินมาลบล้างกันได้ หากนางไม่เก็บค่ารักษา ก็จะดูเหมือนว่านางอยากใช้การรักษานี้มาตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของหวังจิ่นหลิง

“ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน” คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ผู้ดูแลจวนสบายใจ

บุญคุณที่หวังจิ่นหลิงมีต่อนาง ไม่อาจใช้เงินมาลบล้างกันได้ หากนางไม่เก็บค่ารักษา ก็จะดูเหมือนว่านางอยากใช้การรักษานี้มาตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของหวังจิ่นหลิง

ตระกูลหวังไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง ทองคำ 1 พันตำลึง สำหรับคนอื่นอาจจะดูมากไป แต่สำหรับตระกูลหวังแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

หวังจิ่นหลิงทำให้ตระกูลหวังเปิดใจให้กับเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมกับออกหน้าสนับสนุนนาง เขามองเห็นศักยภาพในตัวของนาง ตระกูลหวังไม่ต้องการให้นางตอบแทนตระกูลหวังด้วยเงินทอง

หวังจิ่นหลิงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม เขารู้ว่าตัวเองมองคนไม่ผิดแน่ เฟิ่งชิงเฉินให้คุณค่ามิตรภาพ แถมยังเป็นคนรู้จักคิดอีกด้วย

การที่เขาช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉิน เป็นการช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่การที่ตระกูลหวังช่วยเหลือนาง ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่หวังผลตอบแทน

เรื่องค่ารักษาและห้องผ่าตัดคุยกันจบไปแล้ว ต่อมาก็เป็นประเด็นสำคัญ เรื่องกระจกตานั่นเอง

เรื่องการลอกกระจกตามีเพียงหวังจิ่นหลิงและหวังชีเท่านั้นที่รู้ หวังจิ่นหลิงเข้าใจความจำเป็นเรื่องนี้ดี จึงไม่ได้ให้คนตระกูลหวังยื่นมือมาข้องเกี่ยว มีหวังชีเพียงคนเดียวที่คอยให้ความร่วมมือกับเฟิ่งชิงเฉิน

พวกเขาทั้งสองจะต้องหาห้องที่เอื้ออำนวยต่อการผ่าตัด และยังต้องเลือกวันผ่าตัด เมื่อถึงวันนั้น กระจกตาจะต้องมาถึงมือของพวกเขาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ผู้คนทั่วไปจึงเห็นคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลหวังคอยไปไหนมาไหนกับเฟิ่งชิงเฉินอยู่ทุกวัน

วิธีลบล้างคำครหา วิธีหนึ่งคือการออกมาบอกปัดซึ่งๆหน้า อีกวิธีหนึ่งก็คือการสร้างกระแสให้ใหญ่โตกว่าเดิม ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินและคนตระกูลหวังเลือกที่จะใช้ทั้งสองวิธี

หากเฟิ่งชิงเฉินรักษาดวงตาหวังจิ่นหลิงให้หายได้ ข่าวนี้คงช่วยสยบคำครหาเรื่องที่นางตื่นขึ้นมาหน้าประตูเมืองในสภาพน่าสมเพช และเรื่องที่นางถูกลั่วอ๋องลงโทษ

ตระกูลหวังจะต้องถูกจับตามอง เรื่องนี้ใช้เวลาเพียง 1 วัน หรือไม่ก็ไม่ถึง 1 วันเสียด้วยซ้ำ แล้วทั่วทั้งเมืองหลวงจะต้องพูดเรื่องนี้กันอย่างแพร่สะพัด

เมื่อตระกูลหวังเผยแพร่ออกไปว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถในการรักษาหวังจิ่นหลิง ก็มีหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังออกมาพูด หวังจิ่นหลิงน่ะหรือ? ดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่มีทางรักษาได้นี่นา เฟิ่งชิงเฉินน่ะหรือ? นางถือดีอย่างไร? หากนางรักษาดวงตาหวังจิ่นหลิงให้หายได้ หมอเก่งๆอย่างข้าต้องไปยกย่องนางให้เป็นท่านอาจารย์ด้วยสินะ?

หมอคนนี้เคยมารักษาดวงตาให้กับหวังจิ่นหลิงมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในสามของหมอฝีมือดีแห่งตงหลิง

และยังมีหมอหลวงออกมาพูด ตระกูลหวังหาหมอมั่วซั่ว คนอย่างเฟิ่งชิงเฉิน?เป็นแค่ผู้หญิงจะไปรู้เรื่องอะไร หากนางรักษาดวงตาให้กับคุณชายใหญ่ได้สำเร็จ ข้าจะขอลาขาดจากเส้นทางการเป็นหมอเลยคอยดูสิ

ขุนนางบางคนก็พูดว่า เฟิ่งชิงเฉินเป็นขี้ปากประจำเมือง การที่ตระกูลหวังเข้ามาข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ คงมีจุดจบไม่สวยแน่

ในฐานะที่เป็นดองและเป็นคู่ปรับของตระกูลหวัง ตระกูลเซี่ยก็เคยกล่าวต่อหน้าธารกำนัลว่าตระกูลหวังฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว

แม้ไม่ได้ระบุว่าพูดถึงใคร แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า คำพูดเหล่านี้พุ่งเป้าไปที่เฟิ่งชิงเฉิน

แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนเห็นด้วย พวกเขาอยากมาดูการรักษา หากเฟิ่งชิงเฉินสามารถรักษาดวงตาของวังจิ่นหลิงให้หายได้ ก็จะเป็นโชคดีของคนตาบอดทั่วทั้งแผ่นดิน

สรุปก็คือมีการพูดซุบซิบทุกรูปแบบ ตระกูลหวังและเฟิ่งชิงเฉินกำลังตกเป็นประเด็นร้อนในเมืองหลวง

คนนอกจับกลุ่มพูดคุย คนในหาทางลงมือ แม้หลายๆคนจะไม่เชื่อใจเฟิ่งชิงเฉิน แต่ก็ไม่มีใครกล้าลบหลู่ชื่อเสียงของตระกูลหวัง

ใครๆก็รู้กันดีว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยให้ความสำคัญกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่มีทางนำชื่อเสียงของตัวเองมาล้อเล่นแน่นอน ไม่แน่ว่าเฟิ่งชิงเฉินอาจจะมีความสามารถเฉพาะตัวจริงๆก็เป็นได้

แต่ก็ไม่รู้ว่า ความสามารถเฉพาะตัวของเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถรักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิงได้หรือไม่ ซึ่งดวงตาคู่นี้เป็นดวงตาที่ถูกหมอชื่อดังวินิจฉัยว่าหมดหนทางรักษาอย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้ การพนันครั้งใหญ่ในเมืองหลวงจึงได้เริ่มต้นขึ้น……

บทที่ 61 ผลสืบเนื่อง

บทที่ 63 เวทีแสดงศักยภาพ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท