บทที่ 89 บุญคุณ
“เสด็จ เสด็จอาเก้าเพคะ” บัดนี้องค์หญิงอันผิงทำท่าทางน่าสงสารแล้วบิดชายเสื้ออย่างตื่นตระหนก ก้มหน้าลงแล้วเหลือบตามองไปทางตงหลิงจิ่วด้วยความหวาดกลัว
ตงหลิงจิ่วจิบน้ำชาเข้าไปอีกหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างลึกล้ำว่า “อันผิงโตแล้วสินะ”
“เสด็จอาเพคะ อันผิง อันผิง……” องค์หญิงอันผิงน้ำตานองหน้า แล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจว่า
“เสด็จอาเก้าเพคะ เข้าใจอันผิงผิดไปแล้ว อันผิงได้ยินว่านางจ้างวานนักฆ่ามาลอบสังหารอันผิงจึงรู้สึกโมโห และต้องการเดินทางมาถามให้รู้เรื่อง แต่คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าลู่จะกำลังสืบสวนความจากเฟิ่งซิ่วพอดี”
การที่โกหกน่าตายเช่นนี้ กุลสตรีชั้นสูงทุกคนล้วนมีไว้เป็นอาวุธ
ลู่เส้าหลินที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาด้วยเสียงอันดัง เมื่อได้ยินองค์หญิงอันผิงโยนความผิดมาที่เขาเช่นนั้น แม้จะ ลำบากใจแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา
เดิมทีต้องการจะเงยหน้าขึ้นอธิบายต่อเสด็จอาเก้า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบเข้ากับดวงตาอันเยือกเย็นขององค์หญิงอันผิง จึงทำได้เพียงก้มหน้าลงไป แล้วปล่อยให้เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงสู่พื้น
ดูเหมือนตงหลิงจิ่วเลือกที่จะฟังแต่ประโยคหลัง “ใต้เท้าลู่กำลังสืบสวนอย่างงั้นหรือ”
ขณะนี้ลู่เส้าหลินไม่กล้ากล่าวว่าใช่ และไม่กล้าปฏิเสธ เขาทำเพียงก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ทำเป็นมองไม่เห็นแววตาที่สามารถฆ่าคนได้คู่นั้นขององค์หญิงอันผิง
การทำให้องค์หญิงอันผิงขุ่นเคือง อย่างมากสุดก็คงถูกนางทำโทษหรือใส่ร้าย แต่หากทำให้เสด็จอาเก้าต้องขุ่นเคือง อาจจะกลายเป็นศพได้ในทันที
เสด็จอาเก้าจากฆ่าใครสักคนไม่เคยต้องการเหตุผล
ตงหลิงจิ่วไม่จำเป็นต้องรอคำตอบจากลู่เส้าหลิน เขาเหลือบตามองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็วางแก้วน้ำชาลงแล้วพูดว่า “ในเมื่อใต้เท้าลู่กำลังสืบความอยู่ เช่นนั้นเชิญทำต่อเถิด ข้าจะไม่เข้ามาขัดขวางการทำงานของท่าน”
ฟู่…… ลู่เส้าหลินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในใจขององค์หญิงอันผิงรู้สึกยินดีขึ้นมา มองดูแล้วเสด็จอาเก้าเหมือนจะแค่บังเอิญผ่านมาจริงๆ
แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะดีใจเร็วเกินไปหน่อย แม้เสด็จอาเก้าจะบอกว่าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นคล้ายกับรออะไรบางอย่าง
ลู่เส้าหลินกำลังจะเตรียมตัวลุกขึ้นยืนเพื่อส่งเสด็จอาเก้ากลับไป แต่เมื่อเขาลุกขึ้นได้เพียงเล็กน้อยก็ต้องคุกเข่ากลับลงไปดังเดิม
เสด็จอาเก้า ท่านจงใจชัดๆ!
“ทำไมหรือ ใต้เท้าลู่จะสืบสวนคดีไม่ใช่หรือไร สืบต่อเถิด อย่าทำให้การที่ข้าอยู่ที่นี่เป็นการขัดขวางหน้าที่ของท่าน” ตงหลิงจิ่วกล่าวขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงในครั้งนี้ดูเยือกเย็นกว่าเดิม
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเริ่มบัดเดี๋ยวนี้” ลู่เส้าหลินรีบลุกขึ้นยืน แต่ฝ่ายหนึ่งก็คือเสด็จอา อีกฝ่ายหนึ่งคือองค์หญิง เขาจะทำอย่างไรเล่า จะให้สืบสวนในห้องนี้หรือ?
ลู่เส้าหลินทำสีหน้าขมขื่นออกมา แต่ก็จำเป็นจะต้องทำตาม
เมื่อองค์หญิงอันผิงเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำท่าว่านอนสอนง่ายกล่าวว่า “เสด็จอาเพคะ ถ้าอย่างนั้นอันผิงจะไม่อยู่ที่นี่ เพื่อไม่ให้ ขัดขวาง การทำงานของใต้เท้าลู่ อันผิงขอตัวก่อนเพคะ”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอันผิง ทางที่ดีอันผิงควรจะอยู่ที่นี่ต่อ อันผิงอยู่ที่นี่จากขัดขวางการทำงานของใต้เท้าลู่ได้อย่างไร ข้าเชื่อว่า ไม่ว่าผู้ใดอยู่ที่นี่ใต้เท้าลู่ก็จะสามารถสืบคดีได้อย่างยุติธรรม ใต้เท้าลู่ ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสืบความอย่างยุติธรรมแน่นอน” บัดนี้ลู่เส้าหลินอยากจะตายเสียเหลือเกิน
การที่เอ่ยถึงเรื่องความยุติธรรมกับองครักษ์เสื้อโลหิต ไม่ต่างอันใดกับการตบหน้าตนเอง
คนภายนอกไม่รู้ แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่รู้ด้วยหรือ? องครักษ์เสื้อโลหิตคืออะไร ชื่อนั้นฟังไปอาจจะไพเราะ พวกเขามีอำนาจล้นฟ้าแต่แท้จริงเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ต้องการให้องครักษ์เสื้อโลหิตไปกัดผู้ใด พวกเขาก็ต้องไปกัดผู้นั้น
หลักฐาน? พยาน?
ภายใต้การลงทัณฑ์ ทั้งหลักฐานและพยานต้องการเท่าไหร่ก็มีให้ทั้งสิ้น
แม้แต่ขุนนางก็ยังสามารถขยี้ผู้คนจนตายได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเสด็จอาเก้าผู้เหนือกว่าคนอื่นใดรองจากฮ่องเต้
ขุนนางเก่าแก่เช่นลู่เส้าหลินรู้ดีว่าการที่เสด็จอาก้าวเดินทางมา ณ องครักษ์เสื้อโลหิตในวันนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ เขามาช่วยเฟิ่งชิงเฉิน
ลู่เส้าหลินเหลือบมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม
หลายวันมานี้ทั้งตระกูลหวังตระกูลอวี่เหวินและตระกูลซู วิ่งหาคนที่จะช่วยเฟิ่งชิงเฉินได้ไปทั่ว เขารู้เรื่องนี้ดี เพียงแต่ไม่คิดว่าทั้งสามตระกูลนี้จะทำให้เสด็จอาเก้าเข้ามาช่วยได้
โชคชะตาหนอ
เฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงแต่มีมิตรที่ดี นางมีโชคชะตาที่ดีด้วย เสด็จอาเก้าเลือกจังหวะเหมาะเจาะขณะที่องค์หญิงอันผิงกำลังจะลงทัณฑ์นางพอดิบพอดี
ลู่เส้าหลิน รู้ดีว่าเสด็จอาเก้าต้องการจะช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉิน จึงได้ช่วยเหลือนางด้วยการสั่งให้คนปล่อยตัวเฟิ่งชิงเฉินลงมา
เฟิ่งชิงเฉินถูกมัดมือมัดขาหายใจไม่สะดวก เมื่อนางลงมาจากแท่นลงทัณฑ์แขนขาก็อ่อนแรงจนล้มลงสู่พื้น โชคดีเหลือเกินที่ขันทีซึ่งอยู่ข้างหลังเสด็จอาเก้าค่อนข้างว่องไวและรีบเข้าไปรับนางเอาไว้ “แม่นางเฟิ่งระวังด้วย”
เฟิ่งชิงเฉินหันไปขอบคุณขันที จากนั้นก้าวมาด้านหน้าคุกเข่าคารวะตงหลิงจิ่ว “ชิงเฉินคารวะเสด็จอาเก้า ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี”
การที่คุกเข่าลงครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าอย่างจริงใจ โดยไม่ได้ฝืนแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะเสด็จอาเก้า ในวันนี้นางคงจะสิ้นใจไปแล้ว
ตงหลิงจิ่วโบกมือขึ้นโดยไม่ได้เหลือบมองเฟิ่งชิงเฉินแม้แต่น้อย
แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เสด็จอาเก้าเป็นคนเช่นไรกัน จะเห็นคนธรรมดาเช่นนางในสายตาได้อย่างไร
การที่เสด็จอาก้าวเดินทางมาในคุกองครักษ์เสื้อโลหิตด้วยพระองค์เองเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็นับว่าบุญแล้ว
เหงื่อที่หน้าผากของลู่เส้าหลินลดลงเล็กน้อย ก่อนจะกำชับให้องครักษ์เสื้อโลหิตไปนำผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งขึ้นมา
เสียงโซ่ตรวนดังขึ้น เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้ามองแล้วพบว่าคนผู้นั้นอายุสามสิบต้นๆ เห็นจะได้ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลืองซีด ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด มือและเท้าถูกใส่โซ่เหล็กเอาไว้ เมื่อครั้นย่างกายเดินไม่ต่างอันใดกับชายชราอายุเจ็ดแปดสิบปีที่เชื่องช้า
เห็นได้ชัดว่าการที่เขาอยู่ในคุกองครักษ์เสื้อโลหิตนี้ ไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างดีสักเท่าไร
ที่ว่ากันว่าหน้าตาบ่งบอกจิตใจ ประโยคนี้ดูเหมือนจะมีเหตุผล คนนี้หน้าตาเหมือนกับคนร้ายยิ่งนัก
เมื่อเดินทางเข้ามาถึงในห้องลงทัณฑ์ คนผู้นั้นร่างกายสะดุ้งโหยงราวกับตกอกตกใจอย่างหนัก หลังจากที่โซ่ตรวนถูกแกะออกแล้ว เขาก็รีบคุกเข่าลงทันที
แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า คารวะผู้สูงส่งทุกท่าน
เมื่อเขาคุกเข่าลงไปเช่นนั้น บริเวณเข่าก็นองเลือด
เฟิ่งชิงเฉินที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกยินดียิ่งนักที่ตนไม่ได้ถูกลงโทษเช่นนั้น การลงโทษขององครักษ์เสื้อโลหิตไม่ใช่ว่าผู้ใดก็ตามจะสามารถอดทนได้
เมื่อครู่ที่ถูกเหล็กแทงเข้าไปในหลัง นางก็รู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนเสียจนขนลุกขนพองไปทั้งตัว
เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่ศาล ไม่มีไม้ปลุกสติที่เอาไว้ทุบโต๊ะแต่อย่างใด อีกอย่างเสด็จอาเก้าประทับอยู่ที่นี่ด้วย ลู่เส้าหลินจึงไม่กล้าที่จะสืบความเท่าไรนัก
เมื่อทุกคนมาครบแล้ว ลู่เส้าหลินจึงได้เอ่ยถามขึ้นต่อหน้าตงหลิงจิ่ว
“เฉียนจิ้น เจ้าดูสิว่าข้างกายของเจ้าคือผู้ใด” เป็นเพราะมีตงหลิงจิ่วอยู่ที่นี่ด้วยลู่เส้าหลินจึงไม่กล้าจะลีลา
ผู้ที่ถูกเรียกว่าเฉียนจิ้นทำสีหน้าดุร้ายแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน คนที่ไม่รู้คงคิดว่าทั้งสองคนมีความอาฆาตแค้นต่อกันมาก่อน
“ใต้เท้า นางผู้นี้นางคือบุตรสาวของจวนเฟิ่ง นางให้ทองแก่ข้าน้อยจำนวนหนึ่งพันตำลึง และสั่งให้ข้าน้อยซ่อนตัวอยู่ที่นั่นคอยดูสัญญาณมือและจัดการลงมือ ใต้เท้า ข้าน้อยถูกใส่ร้าย หากข้าน้อยรู้ว่านางจะฆ่าองค์หญิงอันผิง อย่าว่าแต่ทองจำนวนหนึ่งพันตำลึงเลย ต่อให้หนึ่งหมื่นตำลึงข้าน้อยก็ไม่กล้า”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ใช้ศีรษะกระแทกไปที่พื้นด้วยท่าทางดูน่าสมเพช
ช่างแสดงได้ดีเหลือเกิน ทำเอาเสียเฟิ่งชิงเฉินก็เกือบจะเชื่อ
“เฟิ่งซิ่ว เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือไม่?” ลู่เส้าหลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ในใจของเขาที่จริงแล้วพอจะมองออก ต่อให้เสด็จอาปรากฏกายขึ้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงใดได้
เนื่องจากนี่คือคดีเหล็ก เป็นคดีที่ฮองเฮาวางแผนไว้ด้วยพระองค์เอง แม้ว่าแผนนี้จะค่อนข้างกระชั้นชิด แต่จะทำอย่างไรได้ นางมีอำนาจมากเหลือเกิน
พูดอย่างงั้นหรือ พูดอะไร?
ให้พูดว่านางถูกใส่ร้าย ให้พูดว่ามีคนอื่นใส่ร้ายนางอย่างงั้นหรือ? มีประโยชน์หรือไร?
เฟิ่งชิงเฉินสงสัยยิ่งนัก
การที่เสด็จอาเก้าเข้ามายุ่งเกี่ยว เพียงแค่ต้องการให้โอกาสนาง ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีความผิด
แต่นางจะเอาหลักฐานที่ใดมาชี้ว่าตนบริสุทธิ์?