บทที่ 092 วิธีการ
“อื้อๆๆ…” เฉียนจิ้นถูกคนกดไว้ เขาร้องครางราวกับสัตว์ที่ถูกจับ เขามองไปทางองค์หญิงอันผิงด้วยดวงตาเศร้าสร้อยและอ้อนวอนอย่างเงียบเชียบ
เขาเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใด
ดังนั้น…
ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับชีวิตหรือความเป็นตายของเขาหรอก
ในสายตาของชนชั้นสูงเหล่านี้ เบี้ยก็ใช้เป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น
เสียงเหล็กร้อนดังฉ่า เสียงหัวใจของเฟิ่งชิงเฉินก็ผิดจังหวะตาม นางหายใจเข้าลึกและจ้องโดยไม่กะพริบตา…
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหากวันนี้ตงหลิงจิ่วไม่มา ผู้ที่ถูกเฆี่ยนตีและตัดลิ้นย่อมเป็นนาง
“ฉ่า…” เจ้าหน้าที่ใช้แรงยกเหล็กขึ้นมา
เลือดพุ่งออกมาจากปากของเฉียนจิ้น แม้ว่าเขาจะถูกมัดไว้ แต่เขาก็ยังบิดร่างกายไปมาด้วยความเจ็บปวด ไม้หลักสั่นไหวไปมาพร้อมเสียงร้องอู้อี้…
แหวะ… เฟิ่งชิงเฉินรีบเอื้อมมือออกไปปิดปากของนาง
นางรู้สึกว่านางนับว่ามีความกล้าหาญมากแล้ว คนตายหรือคนเป็นนางล้วนไม่กลัว แต่…
ภาพการทรมานช่างโหดร้ายเหลือเกิน นางรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
ในทางกลับกัน ทางด้านตงหลิงจิ่วและองค์หญิงอันผิงนั้น คนแรกไม่ใส่ใจเลยสักนิด ส่วนฝ่ายหลังก็มีเพียงแต่ความโกรธ
เฟิ่งชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกและบอกตัวเองว่าถ้าเห็นอีกสักสองสามครั้งก็คงชิน แม้ว่าความเคยชินนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักก็ตาม
เฮ้อ… เฟิ่งชิงเฉินปรับอารมณ์ของตนเอง เมื่อนางมองไปที่เฉียนจิ้น ใบหน้าของนางก็สงบราบเรียบ
ในเวลานี้เององครักษ์เสื้อโลหิตก็พยายามห้ามเลือดให้แก่เฉียนจิ้น ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงพบว่าการตัดก็คือการตัดแยกปลายลิ้นเป็นสองกลีบเหมือนตัวงู
และเธอพลาดประกายชื่นชมในดวงตาอันสงบของตงหลิงจิ่ว
ลิ้นถูกตัดโดยไม่ได้ถูกดึงออก เฉียนจิ้นยังคงสามารถพูดได้ แต่ทุกครั้งที่เขาพูดเขาจะรู้สึกเจ็บปวดไปจนถึงขั้วหัวใจ
ลู่เส้าหลินถามเขาอีกครั้งว่าใครสั่งให้เขาลอบสังหารเฟิ่งชิงเฉิน
เฉียนจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยชื่อเฟิ่งชิงเฉินออกมา ความขุ่นเคืองในสายตาของเขาเพียงพอที่จะฆ่าเฟิ่งชิงเฉินให้ตายไปหลายพันครั้ง
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มเย็นและไม่พูดอะไรเพราะที่นี่ไม่มีที่สำหรับให้นางพูด
ตงหลิงจิ่วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าลู่ ข้าได้ยินมาว่าเพชฌฆาตของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตเชี่ยวชาญในการแล่เนื้อเถือหนัง เมื่อแล่เนื้อของนักโทษออกหมดแล้วก็ยังให้นักโทษมีชีวิตอยู่ได้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้ากำลังเตรียมจะให้ใช้การทรมานโดยการแล่เนื้อกับเฉียนจิ้นอยู่พอดีเลย เพชฌฆาตจะมาถึงในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เส้าหลินเข้าใจในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้ตงหลิงจิ่วพูดมาก…
“ความคิดนี้ของใต้เท้าลู่ไม่เลวเลย” ตงหลิงจิ่วพยักหน้าด้วยท่าทางชื่นชม
ที่ว่าหน้าเนื้อใจเสือและไร้ยางอายเป็นเช่นไรนั้น ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้ากำลังเตรียมจะให้ใช้การทรมานโดยการแล่เนื้อกับเฉียนจิ้นอยู่พอดีเลย เพชฌฆาตจะมาถึงในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เส้าหลินเข้าใจในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้ตงหลิงจิ่วพูดมาก…
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกชื่นชมเป็นหมื่นเท่า
วิธีการของตงหลิงจิ่วนั้นช่าง…
“เสด็จอาเก้า…” องค์หญิงอันผิงเปิดปากกล่าวอ้ำอึ้งด้วยท่าทางไม่พอใจ
เสด็จอาเก้าไม่ไว้หน้าเสด็จแม่ของนางเลย เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินคือคนที่เสด็จแม่ต้องการกำจัด แต่เขาก็ยังปกป้องนาง แบบนี้ช่าง… ช่างน่าโมโหเสียจริง
ตงหลิงจิ่วเหลือบมององค์หญิงอันผิงเล็กน้อยและเอ่ยว่า “อะไรหรือ? อันผิงกลัวงั้นหรือ? อย่ากลัวไปเลย มีอาเก้าอยู่ทั้งคน”
“อัน อันผิง…” องค์หญิงอันผิงพูดไม่ออก
นางกลัวอะไรกันเล่า เพียงแต่นางใช้เหตุผลนี้มาอ้างเพื่อที่จะอยู่ต่อ
ตงหลิงจิ่วกะพริบตาเบาๆ แล้วพูดเรื่องอื่นแทน “อันผิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้านำโสมร้อยปีและหมอหลวงมาด้วยใช่หรือไม่?”
“กราบทูลเสด็จอา ใช่ ใช่แล้วเพคะ” องค์หญิงอันผิงมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก เสด็จอาเก้ากำลังมุ่งเป้ามาที่นางแล้ว
“อันผิงฉลาดจริงๆ ในเมื่อนำหมอหลวงและโสมร้อยปีมาด้วย หากอีกเดี๋ยวยามที่เฉียนจิ้นตายแล้วไม่มีพยานคงจะต้องไม่ดีแน่” ตงหลิงจิ่วโบกมือเป็นสัญญาณให้ขันทีข้างกายเขาไปจัดการด้วยตนเอง
นี่… เป็นการทำให้องค์หญิงอันผิงไม่สามารถปฏิเสธได้อีก
ผ้าเช็ดหน้าในมือขององค์หญิงอันผิงถูกบิดเป็นเกลียว
เพี๊ยะ… เล็บหักอีกแล้ว
“อย่ากลัวไปเลยอันผิง ที่นี่มีอาเก้าอยู่ด้วย ถ้าอันผิงกลัวเลือด ข้าจะขอให้พวกเขาเตรียมเหล็กร้อน พอหั่นชิ้นเนื้อ แล้วก็นาบด้วยเหล็กเพื่อที่จะไม่มีเลือด” ตงหลิงจิ่วพูดถึงวิธีการที่โหดร้ายยิ่งกว่าการแล่เนื้อเถือหนังด้วยสีหน้าสงบ
การแล่เนื้อเถือหนังและการนาบเหล็กร้อนจะทำให้นักโทษต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสองเท่า
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว” ลู่เส้าหลินรีบประจบ
หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความชื่นชม
แน่นอนว่าคนชั่วก็ต้องถูกคนชั่วจัดการ การใช้ความรุนแรงควบคุมความรุนแรงเป็นวิถีของอ๋อง
แน่นอนว่ามีเพียงแต่ตงหลิงจิ่วเท่านั้นที่สามารถพูดเรื่องนี้ออกมาได้ หากเปลี่ยนให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนพูดก็คงไม่มีใครสนใจ
ในไม่ช้าเพชฌฆาตและเหล็กนาบก็พร้อม หมอหลวงก็เข้ามาด้วย ทั้งสองก็คุกเข่าลงต่อหน้าตงหลิงจิ่วด้วยสีหน้าระแวดระวัง
ตงหลิงจิ่วพูดอย่างสงบ “อืม อย่าให้ตายก็พอ นักโทษผู้นี้เป็นถึงคนร้ายหลักในการลอบสังหารองค์หญิง หากเขาตายไป ข้าเอาเรื่องพวกเจ้าแน่”
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงและเพชฌฆาตพยักหน้าซ้ำๆ
เฉียนจิ้นตกใจกลัว เขาส่ายหัวอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของคนร้ายถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่น่าสมเพชมานานแล้ว เขาอดทนต่อความเจ็บปวดอันบีบคั้นหัวใจและพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ข้าสารภาพ ข้าสารภาพแล้ว เป็นองค์…”
อันผิงมีสีหน้าร้อนรน นางกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อดุด่า แต่ตงหลิงจิ่วเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง
เพี๊ยะ… ฝากาน้ำชาลอยไปกระแทกปากเฉียนจิ้น
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาใกล้ นางก็ได้ยินเสียงฟันของเฉียนจิ้นถูกหักร่วงและฝากาน้ำชานั้นก็ติดอยู่ในปากของเฉียนจิ้นโดยไม่ขยับหรือถอยกลับ
“ทรมานก่อนเถอะ ตอนนี้ข้าไม่อยากฟัง” ตงหลิงจิ่วกล่าว
องค์หญิงอันผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในตอนนี้นางไม่มีความคิดที่จะลงโทษเฟิ่งชิงเฉินอีกต่อไปและคิดเพียงว่าจะเอาตัวรอดออกไปอย่างไร
หากเฉียนจิ้นหลุดปากพูดถึงนางและเสด็จแม่ออกมา ด้วยนิสัยของตงหลิงจิ่วแล้ว เรื่องนี้อาจจะจบไม่ดีแน่
เฟิ่งชิงเฉินยังคงนิ่งเงียบ เพียงบังคับตัวเองให้มองดูการทรมานต่อไป
เช่นเดียวกับเฉียนจิ้น ชะตากรรมของนางอยู่ในมือของผู้อื่น
เพชฌฆาตวางมีดหนึ่งแถวไว้บนโต๊ะอย่างชำนาญ มีทั้งใหญ่และเล็ก ยาวและสั้น บางและกว้าง
เมื่อมองไปที่มีดเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินชื่นชมพวกเขาเป็นอย่างมาก การแล่เนื้อเถือหนังนั้นต้องใช้ฝีมือพิเศษเป็นอย่างมาก หากคนผู้นี้อยู่ในยุคปัจจุบัน เขาต้องเป็นศัลยแพทย์มือดีอย่างแน่นอน
เฟิ่งชิงเฉินเป็นศัลยแพทย์ นางรู้ถึงตำแหน่งกายวิภาคของร่างกายมนุษย์และเส้นเลือดทุกเส้น แต่นางไม่มีความมั่นใจนั้นเลยว่าจะสามารถแล่เนื้อออกจากร่างกายมนุษย์โดยยังเหลือลมหายใจเอาไว้
การแล่เนื้อคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
เพชฌฆาตเริ่มต้นด้วยแขนของเฉียนจิ้น เมื่อลงมีดหนึ่งเนื้อชิ้นบางๆ โปร่งใสก็ถูกตัดออกจากมือของเฉียนจิ้น
เฟิ่งชิงเฉินพยายามหายใจเข้าและหายใจออก
นางจะอาเจียนออกมาไม่ได้และยิ่งเป็นลมไม่ได้ด้วย
นางเป็นหมอและนางสามารถผ่าศพได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องขมวดคิ้ว เรื่องตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
อย่ากลัว อย่ากลัว เฟิ่งชิงเฉิน บนแท่นทรมานนั้นเป็นคนตาย
แต่… คนตายจะเจ็บปวดจนบิดเบี้ยวหรือไม่? คนตายจะร้องโหยหวนไม่หยุดงั้นหรือ?
และอีกอย่างก็คงไม่โหดเหี้ยมเช่นนั้นกับคนตายหรอกกระมัง?
ในใจของเฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะมีมโนธรรมคอยชี้นิ้วกล่าวหานางว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นหมอ เจ้าจะเพียงแค่ดูเรื่องเห็นผู้คนเป็นผักปลาต่อหน้าโดยไม่ขัดขวางงั้นหรือ?”
“เฟิ่งชิงเฉิน พวกเขากำลังดูถูกสิทธิมนุษยชน เจ้าไม่สามารถนั่งดูเฉยๆ ได้ การทรมานเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ผิดวิสัยมนุษย์มาก”
แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของนาง เป็นเหตุผลที่ดูแคลนอย่างยิ่ง “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าอยู่ในยุคไหน ในยุคนี้เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎของยุคนี้ อย่าพยายามท้าทายอำนาจของราชสำนัก เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าตกต่ำถึงจุดนี้ได้อย่างไร?”
“เฟิ่งชิงเฉิน คนผู้นั้นใส่ร้ายเจ้า ถ้าเขาไม่ถูกลงโทษ เจ้าจะต้องถูกลงโทษแทนเขา เจ้ายิ่งใหญ่ถึงขนาดสามารถเสียสละตัวเองเพื่อช่วยศัตรูได้เลยหรือ?”
ไม่ นางไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
เฟิ่งชิงเฉินกำหมัดแน่นและบอกตัวเองว่าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ อย่าโทษตัวเองไปเลย ไม่ต้องทุกข์ใจ ยามที่นางกำลังต่อสู้ในจิตใจอย่างหนักนั้น ตงหลิงจิ่วก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง…