ในราตรีอันมืดมิด เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าพวกเขากำลังไปที่ใด รู้แต่เพียงว่าพวกเขายังคงเดินทางต่อไปข้างหน้า เดินทางต่อไป…
หนึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็หยุดลงที่เชิงเขา
“ไปเถอะ ตามข้าขึ้นไปบนภูเขา”
“ขึ้นเขาหรือ? ตอนนี้?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังความมืดมิดและสงสัยว่านางได้ยินผิดไปหรือไม่
การเดินทางยามราตรี การขึ้นเขาเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่งเพราะหากมองไม่ชัดจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
แต่เฟิ่งชิงเฉินลืมไปว่าความแตกต่างระหว่างยุคปัจจุบันกับสมัยโบราณก็คือในยุคปัจจุบันนั้นไม่มียอดฝีมือบู๊ตึ๊ง…
หลานจิ่วชิงไม่สนใจนาง เขาโอบเฟิ่งชิงเฉินวิ่งขึ้นเขา ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องแล้วหรือไม่ เขานำตัวถ่วงมาด้วยหรือเปล่า
หลานจิ่วชิงยิ้มขื่น…
คิดไม่ถึงว่าคนเช่นเขาจะมีวันที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ด้วย
เท้าของทั้งสองแทบไม่แตะพื้นเลยและเดินตรงไปยังยอดเขา บนนั้นมีกระท่อมมุงจากเล็กๆ จุดคบเพลิงสว่างไสว ด้านนอกมีชายฉกรรจ์แปดคนเฝ้าอยู่ ส่วนด้านในไม่ชัดเจนนัก
“ข้าจะจัดการกับแปดคนนี้ เจ้าต้องไปสังหารคนสิบคนที่อยู่ข้างใน”
เฟิ่งชิงเฉินใจเย็นลงแล้ว เมื่อนางได้ยินคำพูดของ หลานจิ่วชิง นางก็พยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึก “ไปกันเถอะ!”
ความเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้คนสงสัยว่านางเป็นสตรีแน่หรือเปล่า
“เจ้าแน่ใจแค่ไหน?” หลานจิ่วชิงเชื่อในตัวเฟิ่งชิงเฉิน แต่คนที่อยู่ด้านในคือพี่น้องที่เขาคบมาด้วยชีวิต เขาสามารถเสี่ยงชีวิตของตัวเองได้ แต่เขาไม่สามารถเอาชีวิตของพี่น้องมาเสี่ยงได้
“ถ้าเจ้าคุมกันข้าและไม่ให้พวกเขาเข้าถึงตัวข้าได้ ข้าก็มีความมั่นใจกว่าเจ็ดส่วน” นี่คือจุดอ่อนของนาง หากถูกคนประชิดตัวได้นางย่อมไม่มีพลังที่จะตอบโต้อย่างแน่นอน
“ตกลง เฟิ่งชิงเฉิน ข้าเชื่อเจ้า”
หลานจิ่วชิงลุกขึ้นจากในมุมมืดและกำชับนางอีกครั้ง “เจ้าระวังตัวและคอยหาโอกาสให้ดี”
“ไม่มีปัญหา”
ไม่ว่าวิทยายุทธ์จะเลิศล้ำแล้วอย่างไร นางถือปืนหลบอยู่ในเงามืด โอกาสในการชนะนั้นสูงอย่างแน่นอน
“ใคร?” เหล่าผู้คุ้มกันก็ไม่ใช่มือใหม่เช่นกัน ทันทีที่หลานจิ่วชิงและเฟิ่งชิงเฉินลงมือ อีกฝ่ายก็รู้ตัวทันที มีสองคนรีบเข้าไปรายงานด้านใน อีกสองคนเดินไปหยิบไฟฉายที่ประตู ส่วนอีกสี่คนจ้องไปที่หลานจิ่วชิงโดยไม่ขยับเขยื้อน
“คนที่จะคร่าชีวิตเจ้า” หลานจิ่วชิงยกดาบขึ้นก้าวไปข้างหน้า เฟิ่งชิงเฉินมองไม่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร นางเห็นเพียงเลือดสาดต่อหน้าต่อตานางเท่านั้น
ชีวิตช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน
นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการช่วยชีวิตคน แต่ตอนนี้เล่า?
เพียงแค่ยกมือขึ้นเบาๆ ก็จบชีวิตคนลงได้
แน่นอน นางไม่ได้คิดว่าการฆ่าคนไม่มีอะไรผิด เป็นดังเช่นสงคราม ไม่มีถูก ไม่มีผิด ตำแหน่งของนางตัดสินแล้วว่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเป็นศัตรู การสังหารฝ่ายตรงข้าม บางครั้งก็เป็นการช่วยชีวิตผู้คน
นางไม่ใช่เทพเซียน นางไม่มีจิตใจโอบอ้อมอารีกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนั้น สิ่งที่นางต้องการก็คือทำให้คนที่อยู่เคียงข้างนางอยู่รอดต่อไป
ผู้คุ้มกันหกคนล้มลงกับพื้นทันที หลานจิ่วชิงบุกเข้าไปในกระท่อม
“หลานจิ่วชิง ในที่สุดเจ้าก็มา” เสียงชราแฝงความเยียบเย็นดังขึ้น
“เย่เฉิง พวกเจ้าช่างบังอาจนัก บอกเย่เย่ว่าข้าหลานจิ่วชิงจะชำระหนี้แค้นพร้อมดอกเบี้ย” เสียงของหลานจิ่วชิงแฝงแววพยายามสะกดโทสะไว้
ไม่นานหลังจากหลานจิ่วชิงเข้าไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เดินไปที่ประตูและแอบมองเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ …
ที่รักของข้า
วิธีการทรมานผู้คนแบบโบราณนี้ไม่ได้โรคจิตแบบธรรมดาเลยจริงๆ
กลางกระท่อมมีจานหมุนรูปวงกลม ชายคนหนึ่งเปลือยเปล่าถูกมัดไว้อยู่ด้านบนเป็นรูปตัวอักษร “大” มีมีดเล่มเล็กๆ ปักอยู่ที่มือและลำตัวและจานนั้นก็ยังคงหมุนอยู่…
ฝึกกายกรรมหรือไง
นี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การทรมานเท่านั้น แต่ยังทำให้อับอายอีกด้วย
อย่างไรก็ไม่มีใครยอมรับว่าพวกเขากำลังเดินไปรอบๆ ต่อหน้ากลุ่มคนโดยเฉพาะเพียงแค่ดูหลานจิ่วชิงก็รู้แล้วว่าเพื่อนของเขาไม่ธรรมดาเลย
เหอะๆ โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอ นางเคยเห็นร่างกายเปลือยเปล่าแบบนี้มามากจึงไม่น่าแปลกใจที่นางจะไม่มีความรู้สึกเลย
ในการผ่าตัดใหญ่ ใครบ้างเล่าที่จะไม่ถอดจนสะอาดมาให้หมอเชือด แล้วยังมีการผ่าศพอีก ยังจะให้ศพใส่เสื้อผ้าอีกเหรอ?
เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจชายเปลือยหรืออะไรทั้งสิ้น นางสนใจเพียงคนสองคนที่อยู่ตรงข้ามหลานจิ่วชิง ในนั้นมีคนสิบคนที่นางต้องจัดการ
แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางฆ่าใครสักคน แต่ทุกครั้งนางล้วนถูกบีบบังคับ นี่เป็นครั้งแรกที่นางฆ่าคนด้วยตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินคิดอย่างเงียบๆ ว่าจะทำอย่างไรดี นางอยากจะรีบพุ่งเข้าไปเลยและระดมยิง จัดการศัตรู แต่นางรู้ว่า…
มันเป็นเพียงละครโทรทัศน์เท่านั้น อีกทั้งในมือของพวกเขายังไม่มีอาวุธร้ายแรง อย่างน้อยหากจะระดมยิงก็ต้องใช้ปืนกล
ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้คิดจะบุกเข้าไปเลยและซ่อนตัวอยู่ที่ทางเข้าประตูพลางเล็งไปในห้อง
ต้องบอกก่อนว่าสวรรค์เข้าข้างนาง ผู้คนข้างในยืนเรียงเป็นแถวจับจ้องไปที่หลานจิ่วชิง บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายหนักอึ้งและดูเหมือนจะเกิดการตะลุมบอนครั้งใหญ่
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินย่อมไม่พลาดโอกาสอันดีงามเช่นนี้ หลังจากเล็งมาหลายรอบแล้ว นางก็มั่นใจว่าหากนางยิงต่อเนื่อง นางจะยิงโดนห้าคน แต่นางก็ต้องเดินจากประตูด้านนี้ไปอีกด้านด้วย…
ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับนั้นเป็นเป้านิ่ง หากนางไม่อาจยิ่งเป้านิ่งให้โดนได้ นางก็ไม่ควรอยู่ในวงการนี้อีกต่อไป
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเตรียมตัว หลานจิ่วชิงก็คำนวณอยู่ในใจว่าจะลงมือเมื่อใด
ครั้งแรกที่ทั้งสองร่วมมือกัน ไม่มีความสอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย หลานจิ่วชิงเคยชินกับการลงมือคนเดียว
“แกร๊ก…” เฟิ่งชิงเฉินดึงสลักปืน
หลานจิ่วชิงแอบพูดว่าแย่แล้ว
เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ประสบความสำเร็จพอๆ กับความล้มเหลว ยังไม่ทันเริ่มก็เปิดเผยตำแหน่งของตนเองเสียแล้ว
“เสียงอะไร?” แน่นอนว่ารัศมีการสังหารของคนสิบคนยิ่งมากขึ้นไปอีก พวกเขายกดาบขึ้นพร้อมที่จะโจมตีก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบ
แต่ทว่า…
สายไปแล้ว
ปืนของเฟิ่งชิงเฉินพุ่งออกมาจากความมืด
“ปัง…” เหนี่ยวไก
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานจิ่วชิง เจ้าวิ่งขึ้นไปจุดประทัดหรือ เจ้ากำลังพยายามจะขู่ใคร” คนจากเย่เฉิงพูดอย่างเย่อหยิ่ง แต่วินาทีถัดมา…
เพียงแค่รู้สึกปวดระหว่างขมับ
พร่วด……
ดอกไม้สีเลือดเบ่งบานจากหว่างคิ้วของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับวัว จากนั้นก็ทรุดตัวลงพร้อมกับเสียงดังตุ้บ
สวย!
หลานจิ่วชิงแอบชื่นชมอยู่ในใจและในขณะเดียวกันก็เริ่มลงมือด้วยเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” คนของเย่เฉิงตื่นตระหนกและเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินออกมาจากด้านหลังของประตู ถือปืนไว้ในมือทั้งสองข้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรัศมีอาฆาต
เฟิ่งชิงเฉินเมินเฉยต่อพวกเขา เหนี่ยวไกปืนและรีบวิ่งไปที่อีกด้านหนึ่ง
ความเหน็บหนาวราวกับหลุมดำกลืนชีวิตคนสิบคนของเย่เฉิง ปืนชี้ไปที่ใด คนผู้นั้นก็ล้มลง
“ปัง…”
“ปัง…”
ห้านัดติดพุ่งทะลวงเข้าหว่างคิ้ว
ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นที่นางเล่น CS ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดในการฆ่าคนด้วยปืนก็คือการฆ่าพวกเขาด้วยการยิงนัดเดียว ประหยัดแรงและเวลา ไม่ต้องห่วงว่าคนคนนั้นจะลุกขึ้นมาสู้กลับได้
ยอดฝีมือแห่งเย่เฉิงทั้งห้าล้มลงกับพื้นทันที ทำให้พวกเขาตื่นตระหนก แต่พวกเขาก็ได้สติอย่างรวดเร็วและเข้าโจมตีหลานจิ่วชิงพร้อมกัน
การต่อสู้ถูกทำให้ได้เปรียบโดยเฟิ่งชิงเฉิน
จัดการศัตรูห้าคนในพริบตาเดียวทำให้เรื่องง่ายขึ้นสำหรับหลานจิ่วชิง แต่กลับเป็นเรื่องยากแล้วสำหรับเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อครูเป็นเป้านิ่งยืนให้ยิงอยู่ตรงนั้น เมื่อตอนนี้เคลื่อนไหวแล้ว นางจึงไม่กล้ายิงปืนออกไปตามอำเภอใจ ยิ่งกว่านั้นนางซ่อนอยู่หลังประตูทำให้ยิ่งเห็นสถานการณ์ข้างในไม่ชัดนัก
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันและตัดสินใจพุ่งเข้าไป ตอนนี้นางกับหลานจิ่วชิงลงเรือละเดียวกันแล้ว นางทำได้เพียงพยายามสุดชีวิตเพื่อหลานจิ่วชิงเท่านั้น…