บทที่ 161 ถึงตายก็จะรักษาหน้าตนเองเอาไว้ แม้ว่าจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมก็ตาม
“เสด็จอาเก้าเป็นห่วงท่านงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันมองไปที่ตงหลิงจื่อชุนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่จะรู้ซึ่งรังเกียจเท่านั้น ยังรู้สึกขยะแขยงเขาอีกด้วย
หากแต่ตงหลิงจื่อชุนหาได้รู้เรื่องด้วยไม่ เพียงพยักหน้ารับคำด้วยความใสซื่อ “เสด็จอาย่อมต้องเป็นห่วงข้าอยู่แล้ว ภายในวังหลวงนั้น มีแต่เสด็จอาที่คอยปกป้องข้า ในยามนี้เสด็จอาตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ไม่อาจทำเป็นไม่สนใจชีวิตของเสด็จอาได้ จึงได้แต่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด”
พูดกันตามตรง ตงหลิงจื่อชุนพลันรู้สึกอับอายยิ่งนัก พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยความท้อแท้ ” ข้าเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ ข้าอยากจะไปช่วยเสด็จอาเก้า สุดท้าย กลับพาองครักษ์ทั้งหมดออกไปตกตายเสียได้”
“ไม่จริงเพคะ องค์ชายมิเป็นอันใดก็ดีแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวปลอบใจแบบขอไปที
แม้ว่าองค์ชายชุนหยูผู้นี้จะทำอะไรไร้ความคิดไปบ้าง แต่ว่า เขากลับมีความจริงใจต่อเสด็จอาเก้ายิ่งนัก แม้ว่าตนเองจะเป็นคนของราชวงศ์ แต่ก็หาได้มีท่าทีจองหองเช่นตงหลิงจื่อลั่วไม่
เมื่อตงหลิงจื่อชุนถูกเฟิ่งชิงเฉินปลอบใจเช่นนั้น แม้ว่าจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ความเขินอายกลับมีมากกว่า เขาจึงมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
องครักษ์ทั้งสองนายที่อยู่ข้างกายได้เห็นเช่นนั้น พลันรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
บุคคลที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ทั้งวางท่าองอาจหยิ่งยโสเช่นองค์ชายชุนหยู มีมุมเช่นนี้ด้วยหรือ องครักษ์ทั้งสองนายได้แต่เหม่อลอยด้วยความตกตะลึงไปในทันที
เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจในปฏิกริยาของบุรุษทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าไม่ สายตากลับจดจ้องไปยังบาดแผลตรงแขนของตงหลิงจื่อชุนเท่านั้น บาดแผลเช่นนี้ หากไม่ลงมือจัดการเลยละก็ เกรงว่าจักต้องได้ตัดทิ้งเป็นแน่
แต่ทว่า หากนางลงมือจัดการแล้วละก็ ย่อมต้องสิ้นเปลืองเวลาไปเปล่าประโยชน์ ในยามนี้เสด็จอาเก้าจักเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้ได้ นางรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก นางไม่อยากจะจัดการบาดแผลให้กับองค์ชายชุนหยูจริง ๆ
ทว่า
หากกลับไปแล้ว ฝ่าบาทล่วงรู้ว่านางมาพบกับองค์ชายชุนหยู แต่กลับไปรักษาบาดแผลให้กับเขา จึงทำให้แขนซ้ายขององค์ชายซุนหยูมิอาจใช้การได้อีกต่อไป อีกทั้งฝ่าบาทยังเอ็นดูองค์ชายผู้นี้มากนัก เกรงว่าพระองค์จักต้องลงโทษนางเป็นแน่
ลงโทษนางเป็นเรื่องเล็ก ทว่า เฟิ่งชิงเฉินกลัวว่า ฝ่าบาทจักใช้เรื่องนี้ เพื่อระบายความโกรธกับเสด็จอาเก้าเสียมากกว่า
ชั่งเหอะ มิจำเป็นต้องทำเพื่อผู้ใด ก็ทำเพื่อเสด็จอาเก้าเสียแล้วกัน อย่างไรก็จักได้จัดการกับบาดแผลให้องค์ชายชุนหยูไปด้วย
“องค์ชายชุนหยู ท่านช่วยนั่งลงหน่อยเถิด ข้าจักพันแผลให้กับท่าน” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจแล้วนั้น ก็มิคิดอันใดอีก พลางหยิบกระเป๋าเป้ด้านหลังออกมา
ตงหลิงจื่อชุนเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก “ได้ได้”
เมื่อก้าวเข้าไปด้านหน้านั้น ตงหลิงจื่อชุนพลันปกปิดความปลื้มใจที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ไม่มิด “เฟิ่ง แม่นางเฟิ่ง เจ้า เจ้ามิต้องเรียกข้าว่าองค์ชายหรอก ข้ามีนามว่าตงหลิงจื่อชุน เจ้าเรียกข้าว่าจื่อชุนก็พอแล้ว ข้าขอเรียกเจ้าว่าชิงเฉินได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นตงหลิงจื่อชุนมีท่าทีเขินอายเช่นนี้ องครักษ์ทั้งสองนายพลันรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาในทันที
“พิธีการอย่างไรก็ต้องมีเพคะ ชิงเฉินมิกล้าเอ่ยนามของพระองค์ตรง ๆ เช่นนั้นหรอกเพคะ องค์ชายนั่งลงเถิด แสงจันทร์จักได้ช่วยส่องให้ชิงเฉินพันแผลให้พระองค์ได้ง่าย” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปฏิเสธขึ้นมาอย่างไร้เยื่อไย ทั้งยังสร้างงกำแพงกั้นขึ้นมาในทันที
“โอ้” ตงหลิงจื่อชุนรู้สึกผิดหวังไปเล็กน้อย หากแต่ก็รับปาก พร้อมกับนั่งลงแต่โดยดี แม้แต่ยามที่ก้มหน้า ก็อดมิได้ที่จะลอบแอบมองเฟิ่งชิงเฉิน
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกได้ แต่ก็มิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
นางเพียงต้องการรีบ ๆ ทำแผลให้องค์ชายชุนหยูเสร็จโดยไว มิให้ฝ่าบาทมาเอาเรื่องนางกับเสด็จอาเก้าได้ก็พอแล้ว อย่างไรนางก็มิคิดจะเกี่ยวดองกับองค์ชายพวกนี้อยู่แล้ว
ราชวงศ์ตงหลิงนั้น สิ่งที่นางจดจำได้เพียงอย่างเดียว มีเพียงแค่เสด็จอาเก้าเท่านั้น
มิรู้ว่าเสด็จอาเก้าในยามนี้เป็นเช่นไรบ้างแล้ว
เมื่อมองเข้าไปในป่าไม้อันมืดมิด เฟิ่งชิงเฉินก็พลันรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
ในป่าลึกเช่นนี้ มีอันตรายรอบด้าน หากไปพบเจอกับพวกนักฆ่าเล่า
เมื่อคิดว่าเสด็จอาเก้ากำลังเผชิญหน้ากับอันตรายนั้น หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาในทันที อดมิได้ที่จะสวมปีกบินไปจากที่ตรงนี้
ทว่า ไม่ได้!
เมื่อถอนหายใจยาว ๆ ออกมาแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งตัดใจหยิบฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ออกมา พร้อมกับน้ำเกลือล้างแผลและคีมห้ามเลือด ไหมกับเข็มเย็บแผล ผ้าพันแผลและก็ยารักษา
“ชิงเฉินสิ่งของพวกนี้คืออันใดกัน?” ตงหลิงจื่อชุนเริ่มคุ้นชินในการเรียกชื่อของนางในทันที
“อุปกรณ์ที่ใช่พันแผลของพระองค์เพคะ”
“เหตุใดเจ้าถึงพกของพวกนี้ออกมาได้เล่า? ชิงเฉิน หรือว่า เจ้าจะรู้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บ จึงได้ตั้งใจพกของพวกนี้มางั้นหรือ?” ตงหลิงจื่อชุนผู้นี้ ไม่เพียงแต่ซื่อบื้อ ทั้งยังหลงตัวเองยิ่งนัก
“องค์ชาย ชิงเฉินเป็นหมอเพคะ สิ่งของพวกนี้ ล้วนแต่เป็นของที่หม่อมฉันต้องพกพาอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพลันสวมถุงมือ แล้วจึงหยิบกรรไกรของหมอขึ้นมา พลางนำมันไปตัดอาภรณ์ขององค์ชายในทันที
แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมิดไปหน่อย อีกทั้งเมื่อมาอยู่ในป่ามืดเช่นนี้ ยิ่งไม่มีแสงส่องถึง เฟิ่งชิงเฉินจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปใกล้ตงหลิงจื่อชุน ใบหน้าขององค์ชายพลันเห่อร้อนขึ้นมาในทันใด
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตัดแขนเสื้อขององค์ชายออกแล้วนั้น ก็พลันหันกลับมาพูดกับองครักษ์ที่เหลือทั้งสองนายว่า “รบกวนพี่ชายทั้งสองช่วยจุดไฟหน่อยได้หรือไม่ ข้ามองบาดแผลองค์ชายมิค่อยชัด”
องครักษ์ทั้งสองย่อมไม่อาจขัดขืนในคำสั่งได้ จึงรีบร้อนพากันแยกย้ายแแกไปหาเชื้อเพลิงมาจุดไฟในทันที
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินหยิบไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ออกมาแล้วนั้น ก็พลันจับข้อมือข้างซ้ายของตงหลิงจื่อชุนออกมา
“ซี๊ด ” ตงหลิงจื่อชุนพลันอ้าปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“องค์ชายเพคะ ยามที่ทำความสะอาดบาดแผลนั้น จักรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ท่านอดทนหน่อยนะเพคะ อย่าได้คิดขยับกายเป็นอันขาด” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาด้วยท่าทีเข็มงวด
“วางใจได้ ข้าจักไม่ขยับไปไหนแน่นอน” ตงหลิงจื่อชุนที่เย่อหยิ่ง ในยามนี้กลับเชื่องราวกับลูกหมาตัวน้อย ๆ เสียแล้ว พลางพยักหน้าเชื่อฟังเฟิ่งชิงเฉินโดยไว
“หากท่านเจ็บละก็ ช่วยบอกกับข้าด้วย” เฟิ่งชิงเฉินจึงก้มหน้าลงพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม
หากเป็นไข้ขึ้นมา ย่อมต้องลำบากนางแน่
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกวาดสายตามอง ก็พลันพบว่าองครักษ์กำลังหาฟืนมาจุดไฟให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่ไกลๆ นางพลันลังเลไปครู่หนึ่ง พร้อมกับวางขวดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ลงเช่นเดิม จากนั้นก็พลันฉีดยาลดไข้กับองค์ชายแทน พร้อมกับยาแก้อักแสบด้วย
อุณหภูมิที่ข้อมือขององค์ชายลดลงอย่างรวดเร็ว ตงหลิงจื่อชุนรู้สึกผิดหวังไปเล็กน้อย แต่ทว่า เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินกอบกุมมือข้างขวาของเขาอยู่นั้น ก็พลันมีความสุขขึ้นมาในทันที แม้แต่ในยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังฉีดยาให้เขาอยู่นั้น เขาก็มิทันได้สังเกตุเห็น เขาเพียงแต่มองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาหยาดเยิ้มเท่านั้น
ตงหลิงจื่อชุนเองก็มิค่อยเข้าใจนัก เขาเพียงรู้สึกแต่ว่า ยามที่เขาเข้าใกล้เฟิ่งชิงเฉิน เขารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินมองมาที่เขา เขาก็รู้สึกดีใจ
องครักษ์ทั้งสองนายกลับด้วยความเร็วไว ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็พลันจุดไฟได้สำเร็จ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เริ่มล้างแผลให้กับตงหลิงจื่อชุนในทันที
เมื่อไม่มียาชานั้น ตงหลิงจื่อชุนจึงได้แต่ต้องอดทนกัดฟันด้วยความเจ็บปวด แต่ในเมื่อเขารับปากเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้แล้ว จึงได้แต่ต้องอดทนกัดฟันต่อไป เพื่อมิให้ตนเองขยับตัวไปมา
เมื่อเห็นตงหลิงจื่อชุนมีท่าทางเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็พลันนึกไปถึงหลานจิ่วชิง
เป็นสถานการณ์ที่มิได้มียาชาเช่นเดียวกัน แม้แต่ยามที่ทำความสะอาดบาดแผล เย็บแผล หลานจิ่วชิงมีความอดทนมากกว่าองค์ชายผู้นี้เป็นร้อยเท่า ทั้งหลานจิ่วชิงเองก็ยังทำเหมือนเฟิ่งชิงเฉินเป็นอากาศธาตุ ราวกับว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหาใช่เขาไม่
แต่คนตรงหน้าเล่า?
รูปร่างที่ดูคล้ายจะเป็นพลทหาร แต่ทว่า กับไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดได้เลยสักนิด องค์ชายผู้นี้ ดูอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กนิสัยเสียผู้หนึ่ง
เฟิ่งชิงเฉินเองก็คร้านที่จะพูดกับเขาเช่นกัน ขอเพียงแค่องค์ชายไม่ขยับตัวไปไหนก็พอ
เมื่อมีแสงไฟเพียงพอแล้วนั้น หลังจากล้างแผลจนเสร็จ เฟิ่งชิงเฉินก็ร้อยไหมกับเข็มเย็บแผลในทันที
“ชิง ชิงเฉิน เจ้าจักทำอันใด?” ยามที่ตงหลิงจื่อชุนพูดอยู่นั้น ปากของเขาพลันสั่นไปมา เสมือนกับว่า เห็นเค้ารางของความเจ็บปวดที่อยู่ตรงหน้าในทันที เขาหาได้เคยพบกับความเจ็บปวดเช่นนี้ไม่
“เย็บแผลเพคะ บาดแผลของพระองค์ใหญ่เกินไป ต้องได้รับการเย็บแผล” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับด้วยท่าทีสบาย ๆ
การเย็บแผลมิได้เป็นงานที่ละเอียดอ่อนมากนัก แม้แต่ในการแพทย์ปัจจุบันก็ทำได้เช่นกัน
“เย็บ เสมือนกับเย็บผ้างั้นหรือ?” ตงหลิงจื่อชุนในยามนี้เจ็บปวดเสียจนแทบพูดไม่รู้เรื่องแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะพูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินอีก ถึงได้กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้
“อื้ม” เฟิ่งชิงเฉินตอบรับ พลางหันไปกล่าวกวับองครักษ์ทั้งสองนายว่า “ข้าจักต้องเย็บแผลให้กับองค์ชาย พวกท่านทั้งสอง ช่วยไปจับองค์ชายให้อยู่นิ่ง ๆ หน่อยเถิด”
“ข้า ข้าไม่ ข้าจักไม่ขยับ” ตงหลิงจื่อชุนกัดฟันตอบ
บุรุษเช่นเขา กลัวการดูถูกมากที่สุด
ถึงตายก็จะรักษาหน้าตาตนเองเอาไว้ แม้ว่าจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมก็ตาม