บทที่ 166 เย่เย่ ความลับของตงหลิงจิ่ว
หากตัดผลประโยชน์ของตระกูลซูออกแล้ว ซูหว่านก็มีความรู้สึกให้ตงหลิงจิ่ว หากทว่าแม้บุปผาลอยลิ่วจะมีใจ แต่สายน้ำกลับไร้เยื่อใย อีกทั้งไม่ได้มีเพียงซูหว่านบุปผาดอกนี้เพียงดอกเดียวเสียด้วย
ซูหว่านก้าวเท้าอย่างนุ่มนวลสง่างามไม่ช้าไม่เร็วเหมือนยามที่นางมา กลิ่นหอมฟุ้งนั้นก็ค่อยๆ หายไปด้วย
หลังจากที่ซูหว่านจากไปแล้ว ตงหลิงจิ่วและเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีทางอยู่ต่ออีก
ตงหลิงจิ่วไม่ใช่คนโง่เขลา ซูหว่านนัดมาที่นี่ไม่ใช่เพียงเพราะนางต้องการจะมอบของบางสิ่งให้แก่เขา จะต้องมีอย่างอื่นด้วยแน่ มิสู้รีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า
“จัดการให้ดี” ตงหลิงจิ่วชี้ไปที่ศพบนพื้นและสั่งการ
“หา?” เฟิ่งชิงเฉินประหลาดใจ นางสงสัยว่านางได้ยินผิดไปหรือไม่
“เผาพวกนี้ให้หมด” ตงหลิงจิ่วย้ำอีกครั้ง
เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่ตงหลิงจิ่วด้วยท่าทางตกตะลึง เขาใช้นางเป็นลูกน้องเลยเช่นนั้นหรือ? นางสงสัยว่านางตามใจบุรุษผู้นี้มากเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้เขาคิดว่าจะเรียกนางมาเมื่อใดก็ได้และเล่นกับนางได้ตามอำเภอใจ
แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าใครรักก่อนจะเป็นผู้พ่ายแพ้ แต่พื้นฐานก็คือนางเต็มใจ นางเต็มใจจะทำงานให้ชายผู้นี้ แม้ว่านางจะสูญเสียศักดิ์ศรี นางก็มีความสุข
แต่สิ่งที่นางไม่ต้องการ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การพยักหน้าเบาๆ นางก็จะไม่ทำ เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดขัดจังหวะเข้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า… เสด็จอาเก้าไม่รู้จักทะนุถนอมหยกงามเอาเสียเลย แม่นางมิสู้ไปกับข้าจะดีกว่า ข้าเย่เย่จะตกอับแค่ไหนก็ไม่มีทางปล่อยให้มือของสาวน้อยต้องเปื้อนเลือดจัดการกับของสกปรกพวกนี้”
เย่เย่ เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองเย่เฉิง ลูกพี่ลูกน้องของซูหว่าน เขาเดินเข้ามาภายใต้แสงจันทร์และมองตงหลิงจิ่วอย่างจิกกัด
“เย่เย่ เป็นเจ้าจริงๆ” ตงหลิงจิ่วเข้ามาบังหน้าเฟิ่งชิงเฉินอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านไม่ได้เดาไว้อยู่แล้วหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะข้า ซูหว่านเชิญท่านมาที่นี่ทำไมและหมาป่าฝูงนี้ปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร เสด็จอาเก้าที่เฉลียวฉลาดและวิทยายุทธ์เลิศล้ำคงไม่มีทางคิดไม่ถึงแน่”
เมื่อเย่เย่เข้ามาใกล้ มวลอากาศรอบก็เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมหอมฟุ้งอีกครั้ง กลิ่นหอมบนร่างกายของเขาแรงกว่าซูหว่านเสียอีก
“ฮัดชิ่ว” กลิ่นหอมฉุนจมูก เฟิ่งชิงเฉินทนไม่ไหวและในขณะเดียวกันก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
เย่เย่ดูเป็นชายชาตรี ไม่เหมือนชายกระตุ้งกระติ้งเสียหน่อย
“ทำไม กลิ่นนี้ไม่หอมเหรอ?” เย่เย่มองตงหลิงจิ่วอย่างยั่วยุ “เสด็จอาเก้า ข้าเตรียมเครื่องหอมนี้ไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ”
ตงหลิงจิ่วกลั้นหายใจโดยไม่พูดอะไรเลยและดึงดาบอ่อนยาวออกจากเอวของเขา
ปรากฏว่าเข็มขัดอันประณีตรอบเอวของตงหลิงจิ่ว ที่แท้เป็นอาวุธของเขานี่เอง
เสียงฟิ้วดังขึ้น เขาใช้กำลังภายในทำให้ดาบอ่อนตั้งตรงและชี้ปลายดาบตรงมาที่เย่เย่ “เย่เย่ จะสู่ก็สู้ ถ้าไม่สู้ก็ไสหัวไป”
“แน่นอนว่าถึงเวลาสู้ข้าย่อมสู้ ข้าใช้อุบายมากมายในการล่อเจ้าที่นี่แล้วไม่สู้กับเจ้าได้อย่างไร จึ๊ๆๆ … หากให้คนอื่นรู้ว่าอาวุธที่เสด็จอาเก้าชอบใช้คือดาบอ่อน ท่านว่าจะเกิดอะไรขึ้นน้า” ดาบออกจากฝัก แต่ดาบของเย่เย่กลับชี้ไปที่ศพที่อยู่ข้างหลังเขา
ที่ตงหลิงจิ่วล่อคนเข้าไปจัดการในป่าไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
“คนตายจะไม่เปิดเผยความลับ” ตงหลิงจิ่วยกดาบขึ้นและก้าวไปข้างหน้า เย่เย่ใช้ดาบรับไว้ได้
เมื่อ…ดาบอ่อนชนกับดาบดังในมือของเย่เย่ก็เกิดประกายไฟ ทั้งสองก็เข้าไปใกล้และแยกจากกันอย่างรวดเร็ว
“ตงหลิงจิ่ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับหว่านหว่าน” เย่เย่พูดอย่างเย่อหยิ่ง
“ซูหว่าน? ที่แท้นายน้อยเย่เย่ได้ใช้ความพยายามมากมายเช่นนี้ก็เพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวงั้นหรือ” ตงหลิงจิ่วกล่าวอย่างดูถูก ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขายิ่งชิงชังซูหว่านมากยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นไปตามคาด สาวงามมักจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก
“อะไรคือเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว นางคือหว่านหว่าน ตงหลิงจิ่ว หว่านหว่านเป็นของข้า” เย่เย่ตาแดงก่ำ เขาปะทะกับตงหลิงจิ่ว แต่กลับไม่ได้เปรียบเลย
มีข่าวลือที่เป็นจริงว่าตงหลิงจิ่วแพ้น้ำหอม วันนี้เขาและซูหว่านต่างก็ใช้น้ำหอมกลิ่นแรง เหตุใดเขาจึงไม่เป็นอะไรเลย
“ตระกูลซูจะไม่ให้บุตรสาวคนโตแต่งงานสู่เย่เฉิง เย่เย่ เจ้าตัดใจเสียเถอะ” ตงหลิงจิ่วไม่ได้คิดจะฆ่าเย่เย่ เพราะอย่างไรหากเขาตายอยู่ที่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่
เพราะเจ้าเมืองเย่เฉิงมีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ถึงข้าจะแต่งงานไม่ได้ ข้าก็จะไม่ปล่อยให้นางแต่งงานกับเจ้า” เขาอยากให้ซูหว่านไม่ต้องแต่งงานหรือแต่งงานกับคนที่นางไม่รัก
ตงหลิงจิ่วสูดหายใจเข้าอย่างไม่สบอารมณ์
สตรีผู้นี้ แม้จะส่งมาอุ่นเตียงเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงาน เย่เย่คงจะมีเพียงน้ำอยู่ในสมองกระมัง
ตงหลิงจิ่วขี้เกียจเกินกว่าจะพูดมากกับเย่เย่อีก ดังนั้นเขาจึงเร่งบุก เฟิ่งชิงเฉินลังเลว่าควรจะเข้าไปช่วยหรือไม่ แต่คิดไปคิดมาแล้วก็ช่างเถอะ เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เย่ นางก็รู้ว่าตงหลิงจิ่วยังจะต้องกำจัดศพเหล่านั้นเพื่อทำลายความลับของกระบี่อ่อน
กองซากศพบนพื้นมีบาดแผลเรียวบาง ใครก็ตามที่มีตาก็คงดูออกว่าคนเหล่านี้ตายด้วยน้ำมือของผู้ใด เขาไม่ต้องการให้คนในราชวงศ์ตงหลิงทราบเรื่องอาวุธของเขาก็สามารถเข้าใจได้
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ตงหลิงจิ่วจะน่าเบื่อเกินไปหน่อยแล้ว เขาอธิบายอะไรให้เข้าใจหน่อยไม่ได้หรือ พูดเพียงครึ่งๆ กลางๆ แล้วนางจะเข้าใจได้อย่างไร
การทำลายบาดแผลนั้นง่ายมาก เฟิ่งชิงเฉินฉวยโอกาสยามที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดนำกรดซัลฟิวริกเข้มข้นออกมาทาตรงบาดแผลของศพ
กลิ่นเหม็นโชยมาในอากาศ ทำให้ตงหลิงจิ่วและเย่เย่รู้สึกคลื่นเหียนอยู่เป็นระยะ
“ตงหลิงจิ่ว ผู้หญิงของเจ้าช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก” เมื่อเผชิญหน้ากับตงหลิงจิ่วที่บุกรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เย่เย่ไม่สามารถต้านทานได้อีก ไม่ง่ายเลยที่จะรู้ว่าตงหลิงจิ่วได้รับผลกระทบจากกลิ่นน้ำหอม กลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนนี้ก็เข้ามาแทรกและทำลายแผนการของเขา
แต่ตงหลิงจิ่วมีหรือจะให้โอกาสเขา กระบี่อ่อนพัวพันรอบกระบี่ของเย่เย่ เมื่อตวัดขึ้น กระบี่ของเย่เย่ก็ลอยหลุดจากมือไป เย่เย่รีบถอยกลับไป ตงหลิงจิ่วไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ
ฟุ่บ…
กระบี่อ่อนแทงโดนเย่เย่ เย่เย่คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เขายิ่งเข้ามาใกล้แทนที่จะถอยกลับ
“อึก…” ดาบแทงทะลุแผ่นหลังของเย่เย่โดยตรง ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองแคบลงและกลิ่นอันน่าขยะแขยงของเย่เย่ก็กระทบจมูกของเขาเช่นกัน
“พลั่ก…” เย่เย่ใช้ฝ่ามือหนึ่งกระแทกตงหลิงจิ่วจนกระเด็น เขาลอยไปล้มลงกับพื้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม้ว่าจะบาดเจ็บ แต่ในที่สุดข้าก็รู้จุดอ่อนของเจ้า ตงหลิงจิ่ว ข้าไม่เกรงใจละ” เย่เย่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บ เขาก้าวไปข้างหน้าและโจมตีเพื่อปลิดชีวิตตงหลิงจิ่ว
เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาและเห็นฉากนี้เข้า นางจึงชักปืนออกมาโดยไม่ต้องคิด “ปัง…”
น่าเสียดายที่มันพลาดเป้า เย่เย่หลบไปได้
“นั่นอะไรน่ะ?” เย่เย่มองตรงไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ในความมืด เขายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเลย
เพียงแค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ารังเกียจ น่าชิงชังเป็นอย่างยิ่ง
“ของที่จะเอาชีวิตเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินยิงอีกนัด เย่เย่ถอยห่างออกไปอีกครั้ง แต่กลับเห็นว่าลูกกระสุนถูกยิงตรงไปที่ต้นไม้ ต้นไม้ที่หนาเท่าเอวก็มีลวดลายดอกไม้บานเกิดขึ้น อากาศมีกลิ่นดินปืนคลุ้ง
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่เย่เย่ก็มองออกถึงความอันตรายของสิ่งนี้ ถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาอาจจะสามารถชนะได้ในตอนนี้ก็ได้?
หน็อยแน่…
“ตงหลิงจิ่ว นับว่าเจ้ายังชะตาไม่ขาด” เย่เย่ไม่ยอมนักแต่เขาก็ต้องจากไป ก่อนจากไปก็ยังไม่ลืมที่จะบอกจุดประสงค์ของตนเองอีกครั้ง “ตงหลิงจิ่ว หว่านหว่านเป็นของข้า ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าจะเอากองทหารม้าเถี่ยเซินจากเย่เฉิงมาและบดขยี้เจ้าให้สิ้นซาก”
“เย่เย่ เจ้าไม่มีทางได้แต่งงานกับซูหว่านไปตลอดชีวิต เจ้ารอดูนางแต่งงานกับคนอื่นได้เลย” ตงหลิงจิ่วนอนอยู่บนพื้น มีเลือดไหลออกจากมุมปาก แต่เขากลับไม่ได้แสดงความอ่อนแอใดๆ ออกมา