บทที่ 178 เสี่ยงเพื่อเขา เขามีค่ามากพอหรือ?
ตงหลิงจิ่วยังไม่เข้าใจความคิดของตน แต่เฟิ่งชิงเฉินก้าวถอยหลังและกล่าวว่า “ขอให้เสด็จอาเก้าสุขภาพแข็งแรง” จากนั้นนางก็จากไปพร้อมซุนเจิ้งเต้า
ทันทีที่พวกเขาออกจากคุก ทั้งสองก็ถูกขันทีพาไปที่ห้องโถงข้าง เพื่อตรวจค้นแล้วจึงจากไปได้
เมื่อตอนเข้าวัง ได้ทำการตรวจสอบแล้ว แต่ไม่เคร่งเท่าไหร่นัก แต่การตรวจใสครั้งนี้เคร่งครัดอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินปล่อยให้นางกำนัลตรวจต่อไป
เมื่อเห็นท่าทีดุร้ายของนางกำนัลแล้ว นางขำอยู่ในใจ ของที่เฟิ่งชิงเฉินจะเอาออกไป ไม่มีใครตรวจเจอหรอก
เป็นไปตามคาด นางไม่พบอะไร
นางกำนัลและขันทีมองดูเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขามิได้ตั้งใจเอาผิดนาง ทั้งสองจึงออกจากพระราชวังได้อย่างปลอดภัย
ภายในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้กำลังอ่านสารกราบทูล มีขันทีรีบเดินเข้ามา ยืนข้างจักรพรรดิ และรับสารกราบทูลที่ฮ่องเต้อ่านเรียบร้อยไป จากนั้นก็เปลี่ยนสารใหม่ ขณะที่เปลี่ยนนั้น เขากล่าวว่า “ฝ่าบาท หมอหลวงซุนและเฟิ่งชิงเฉินมิได้นำกระไรออกไปจากเรือนจำพ่ะย่ะค่ะ”
“สืบต่อไป ของในตระกูลซูเป็นสิ่งของใดกันแน่” จักรพรรดิไม่เงยหน้าขึ้น และดูสารกราบทูลต่อไป “ส่งคนจับตาดูเฟิ่งชิงเฉิน ดูว่าออกจากพระราชวังแล้วนางไปพบใคร”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรีบออกไป
หลังจากที่จักรพรรดิตรวจสารกราบทูลจนครบ วางพู่กันลงและนวดที่ขมับ เอากายลงที่เก้าอี้ ท่าทีดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
“น้องเก้านะน้องเก้า เจิ้นจะคอยดูว่าเจ้าจะทนได้นานแค่ไหน”
หลังจากที่พูดจบ ดวงตาของท่านเป็นประกาย จากนั้นท่านได้ออกคำสั่งว่า “เชิญแม่ทัพหลินมาเข้าเฝ้าเจิ้น”
แม่ทัพหลิน ผู้บัญชาการองครักษ์ส่วนพระองค์ มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของพระราชวัง และแน่นอน รักษาความปลอดภัยของคุกหลวง
จักรพรรดิควบคุมตงหลิงจิ่วโดยวิธีเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เขาได้ติดต่อกับภายนอก และไม่สามารถวางแผนกระไรได้
ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าไป เพราะเขาต้องการทดสอบตงหลิงจิ่ว ว่าเขาได้ของอะไรจากตระกูลซูมา มีค่าถึงขั้นที่ให้เขาไปแย่งมันมาโดยไม่คำนึงถึงอันตราย
แต่สุดท้าย เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่สำคัญเท่าที่เขาคิดเอาไว้
หากเป็นกรณีนี้ เช่นนั้นก็เฝ้ารออย่างระมัดระวัง เพราะน้องเก้าแพ้กลิ่นหอมฉุน เขาจะคิดหาวิธีออกไปอย่างแน่นอน และเขาจะรอดูว่าตงหลิงจิ่วจะหนีออกไปอย่างไร
…….
เฟิ่งชิงเฉินออกจากพระราชวังและตรงกลับไปที่จวนซุนพร้อมกับซุนเจิ้งเต้า เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนซุน นางพบว่ารถม้าของตระกูลหวังรออยู่ที่นั่น
“คุณหนูเฟิ่งขอรับ คุณชายใหญ่ขอพบ” สารถีของตระกูลหวังเห็นเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัว ก็เข้าไปกล่าว
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าหวังจิ่นหลิงหาตนต้องมีเรื่องกระไรอย่างแน่นอน นางจึงกล่าวต่อซุนเจิ้งเต้า
“ไปเถิด วันพรุ่งข้าจะให้ลูกชายข้าไปกราบขอเจ้าเป็นอาจารย์ที่จวนเฟิ่งเอง” ใบหน้าที่เคร่งขรึมของซุนเจิ้งเต้าเผยรอยยิ้มออกมา
เฟิ่งชิงเฉินรู้ตนไม่สามารถปฏิเสธซุนซือสิงได้ ยังไงก็ตาม นางต้องการผู้ช่วยด้านการผ่าตัด ฉะนั้นนางจึงพยักหน้าทันที แต่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ” นำศพของนักโทษประหารมาด้วยสองศพ ข้ายังต้องทดสอบคุณชายอีกสักหน่อย”
เฟิ่งชิงเฉินกำลังแก้แค้นที่ซุนเจิ้งเต้าทดสอบนางในก่อนหน้านี้
“จะเอาศพไปทำการใด?” ซุนเจิ้งเต้ามองจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาตำหนิ หญิงคนนี้ช่างไม่รู้ดีชั่วเสียจริง ลูกศิษย์ดีๆ อย่างลูกชายของเขา หายากยิ่งกว่ากระไร
“เพราะจำเป็นต้องใช้ หากหมอหลวงสนใจ วันพรุ่งนี้มาด้วยกันได้” เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นลึกลับรอยยิ้มในดวงตาของนางมีเลศนัย
อาจเป็นเพราะนางรู้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่เป็นกระไร ดังนั้นนางจึงอารมณ์ดีมาก แต่ไม่ว่าอารมณ์ดีแค่ไหน แต่เรื่องที่ให้ซุนซือสิงทำการผ่าศพนั้น ยังคงต้องทำต่อ
ในวันแรกนางจะต้องแสดงฝีมือเพื่อข่มซุนซือสิงเอาไว้ มิเช่นนั้นต่อไปซุนซือสิงจะไม่เชื่อฟังนาง เช่นนั้นคงเศร้าอย่างมาก ซุนซือสิงเป็นคนที่นางวางแผนจะฝึกให้เป็นผู้ช่วยยอดฝีมือของตน
หลังจากที่พูดจบ นางก็เพิกเฉยต่อซุนเจิ้งเต้า นางหันหลังและเดินไปที่รถม้าของตระกูลหวัง
เฟิ่งชิงเฉินเดิมคิดว่า หวังจิ่นหลิงกำลังรอตนอยู่ที่จวนหรือที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่คาดคิด……
“คุณชายใหญ่?”
ใบหน้าหล่อเหลา สง่างามและอ่อนโยน แต่หลังจากไม่ได้พบกันหนึ่งวัน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าหวังจิ่นหลิงดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างมากและเป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น
หวังจิ่นหลิงปิดหนังสือในมือ เงยหน้าขึ้น ยิ้มก่อนจะเอ่ยคำใด ๆ เขาโบกมือให้เฟิ่งชิงเฉินนั่งลง รินน้ำชาให้เฟิ่งชิงเฉิน แล้วกล่าวว่า” เสด็จอาเก้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปสืบมา แต่หวังจิ่นหลิงเข้าใจ เฟิ่งจิงเฉินต้องไปหาตงหลิงจิ่วมาอย่างแน่นอน
ตอนอยู่ในสวนป๋ายฉ่าว เขาก็สังเกตแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินมีบางอย่างต่อเสด็จอาเก้า เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แต่เขามิได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา
ตนมิใช่ผู้ที่เหมาะสมที่สุดกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีครอบครัวที่ดี และเสด็จอาเก้า ไม่เหมาะสมกับเฟิ่งชิงเฉิน……..
“ไม่ค่อยดีนัก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวล” เฟิ่งชิงเฉินจิบชาและริมฝีปากเปียก
การพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องการห่างเหินจากหวังจิ่นหลิง เพียงแต่หวังจิ่นหลิงเดาสิ่งที่อยู่ในใจของนางออกแล้ว นางไม่อยากแสดงออกว่าตนนั้นทำทุกอย่างได้เพื่อเสด็จอาเก้า
เพราะหากเป็นเช่นนั้น นางจะไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน
“ข้าเชื่อในตัวเสด็จอาเก้า เขาอยู่ที่นั่นได้ไม่นานหรอก” หวังจิ่นหลิงเชื่อมั่นในตัวเสด็จอาเก้ามาตลอด แต่เพราว่าเขาเชื่อมั่นมากเขาจึงเข้าใจว่าเสด็จอาเก้านั้นใจกว้างเพื่อทั่วหล้า ฉะนั้นการที่จะเป็นหญิงในใจของเขา มันลำบากมากนัก
“ถูกต้องอย่างมาก สถานที่แบบนั้นไม่เหมาะกับเสด็จอาเก้า” คนอย่างเสด็จอาเก้าควรจะอยู่ในที่สูงส่ง สบายหมดห่วง มีเพียงสิ่งที่เท่านั้นที่จะสมกับฐานะของเขา
หวังจิ่นหลิงส่ายหัวและหัวเราะเบาๆ ชิงเฉินลำเอียงเกินไปมาก มีใครในโลกนี้ที่เหมาะสมที่จะอยู่ในคุกหรือ? อย่างไรก็ตามหวังจิ่นหลิงมิได้ครุ่นคิดในเรื่องนี้ เขาเปลี่ยนเรื่องคุย เขาถามโดยตรงว่า ” ชิงเฉินคิดว่าสามารถสร้างเรื่องในเหตุการณ์หมาป่ากระโจนที่สวนป๋ายฉ่าวได้หรือไม่?”
หวังจิ่นหลิงถามอย่างตรงไปตรงมา และเขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถเข้าใจได้
สิ่งที่จักรพรรดิและตระกูลเซี่ยต้องการนั้นไม่ใช่ความจริง พวกเขาก็สามารถสร้างเรื่องด้วยเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน
นี่คืออำนาจของเมือง การต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิกับเสด็จอาเก้า การต่อสู้ระหว่างตระกูลเซี่ยและตระกูลหวัง พวกเขาไม่สนใจว่าความจริงคืออะไร ตราบใดที่ใครได้เปรียบกว่าใคร ใครที่เอามันออกมาเปิดเผย นั่นแหละคือความจริง
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นและพบดวงตาที่เฉียบคมของหวังจิ่นหลิง นางถามอย่างสับสน “จิ่นหลิง เจ้าต้องการทำอะไร? และเหตุใดเจ้าจึงคิดจะช่วยเสด็จอาเก้า?”
ในเวลานี้หวังจิ่นหลิงควรจะไม่สนใจ และอยู่คนเดียวอย่างสูงส่งมิใช่หรือ?
“ข้าไม่ต้องการทำอะไร และข้ามิได้ช่วยเสด็จอาเก้า ข้าทำเพื่อตระกูลหวัง หากว่าเสด็จอาเก้าล้มลงเพราะการนี้ ศัตรูที่แข็งแกร่งของจักรพรรดิจะหายไป เช่นนั้นเขาจะมีเวลามากกว่าเดิม ในการลงมือกับตระกูลผู้ดีอย่างพวกเรา และตระกูลหวังจะต้องแบกรับความรุนแรงนี้
ในตงหลิงนี้ใครกันที่กลัวอำนาจของตระกูลผู้ดีๆอย่างพวกเรามากที่สุด? จักรพรรดิยังไงล่ะ อำนาจของเหล่าตระกูลผู้ดีส่งผลต่อใครมากที่สุด? ก็ยังคงเป็นจักรพรรดิเช่นเดิม
หากมิใช่เพราะว่าตระกูลผู้ดีอย่างเราหยั่งรากลึก และจักรพรรดิต้องพึ่งพาในการทำงาน ตามหลักการกระทำของจักรพรรดิแล้ว ท่านคงลงมือกับเราไปนานแล้ว
มีการต่อสู้กันระหว่างตระกูลผู้ดีและอำนาจจักรพรรดิอยู่แล้ว นี่คือสงครามที่ปราศจากควันดินปืน แต่ตระกูลเซี่ยดันคิดที่จะประจบพึ่งพาจักรพรรดิ อืม… กลายเป็นหมากของจักรพรรดิ เช่นนั้นตระกูลผู้ดียังเป็นตระกูลผู้ดีชั้นผู้ดีอยู่หรือ อีกอย่างเป็นจักรพรรดิกล้าที่จะใช้คนของตระกูลผู้ดีหรือ? เขาไม่กล้าใช้คนของเรา เพราะเขากลัวว่าเราจะมีอำนาจเหนือกว่า มีอำนาจเสียจนเป็นผลกระทบต่ออำนาจของเขา
เซี่ยกุ้ยเฟยเข้าพระราชวังมาหลายปี เหตุใดนางจึงมิได้ตั้งครรภ์เสียที? เป็นเพราะปัญหาร่างกายจริงหรือ? ชิงเฉิน เจ้าห้ามยุ่งรื่องของตระกูลเซี่ยเด็ดขาด ในวังหลังนั้นมีเรื่องมากมาย ตราบใดที่เซี่ยกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ ไม่ว่านางตั้งครรภ์เป็นบุตรชายหรือหญิง สุดท้ายคลอดออกมาแล้วต้องเป็นชายอย่างแน่นอน และตระกูลเซี่ยจะร่วมมือกับเหล่าตระกูลผู้ดีอื่นๆ เพื่อดันให้เด็กคนนี้ขึ้นครองบัลลังก์ ”