บทที่ 191 จากลา ข้าเพียงดูโดยไม่กล่าวอันใด
แม้ว่าจะจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้แล้ว แต่อาหารเย็นมื้อนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงกินอย่างไม่รู้รส โจวสิงเล่าเรื่องตลกให้นางฟังหลายเรื่อง เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เพียงแต่ฝืนยิ้ม มันกลับดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้เสียอีก
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว โจวสิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเงียบลงและเป็นกังวลอย่างเงียบๆ หวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะปล่อยวางเรื่องนี้ได้โดยเร็วที่สุด
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไม่ได้กินอาหารเย็นดีๆ ก็คือคู่พ่อลูกชายของซุนเจิ้งเต้าและซุนซือสิง
ภายใต้คำสั่งของตงหลิงจิ่ว ในที่สุดซุนเจิ้งเต้าก็ทำให้เรื่องการชันสูตรศพสงบลงได้ พ่อลูกทั้งสองกลับมาที่จวน ทั้งเหนื่อยและหิว แต่เมื่อพวกเขานั่งลงที่โต๊ะและเห็นลำไส้ที่มีไขมันมันเยิ้ม ทั้งสองก็คิดถึงสิ่งที่ได้พบเมื่อตอนกลางวัน ลำไส้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุจจาระ…
แหว่ะ…
ราวกับนัดกันไว้ ทั้งสองอาเจียนอย่างรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงอาหารเย็น แม้แต่หลับก็หลับไม่สบาย จุดนี้เหมือนกับเฟิ่งชิงเฉินไม่มีผิดเพี้ยน
วันรุ่งขึ้น ซุนซือสิงมารายงานที่จวนเฟิ่งพร้อมรอยคล้ำใต้ตาและพบว่าอาจารย์ของเขาก็มีสภาพจิตใจไม่ดีนักเช่นเดียวกับเขา
ซุนซือสิงนึกไปว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงเขาจึงรีบบอกนางว่าเรื่องเมื่อวานตงหลิงจิ่วได้ออกหน้าจัดการให้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ต้องกังวล
เมื่อได้ยินคำสามคำว่า “ตงหลิงจิ่ว” เฟิ่งชิงเฉินก็แทบจะหัวชน เมื่อได้สติก็พยักหน้าให้ซุนซือสิงแสดงว่านางเข้าใจแล้ว
จากนั้นก็โยนกระต่ายสองสามตัวให้ซุนซือสิงและปล่อยให้เขาจับกระต่ายและฝึกทำแผล
คนทั้งร่างล่องลอยราวกับวิญญาณเร่ร่อนมาเป็นเวลาสองวันแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงกระปรี้กระเปร่าและหมกมุ่นเรื่องที่จะสร้างจวนเฟิ่งใหม่ ในเวลานี้เองข่าวใหญ่ก็ทำให้เฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้น
ทันทีที่คดีกบฏของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจบลง อวี่เหวินหยวนฮั่วก็ขอไปประจำการที่ชายแดนซีหลิง องค์จักรพรรดิพระราชทานอนุญาตแล้วและออกราชโองการให้เขาออกเดินทางทันที หากไม่มีคำสั่งห้ามเข้าเมืองหลวงมาเด็ดขาด
หากไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองหลวงโดยไม่มีคำสั่งก็เป็นไปได้ที่อวี่เหวินหยวนฮั่วจะไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงอีกเลยตลอดชีวิตก็เป็นได้
หากเป็นช่างก่อนหน้านี้ก็ยังพอเข้าใจ แต่ตอนนี้อวี่เหวินหยวนฮั่วเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เมื่ออวี่เหวินหยวนฮั่วมาถึงจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินก็เอ่ยถาม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงได้ทำให้ตงหลิงจิ่วมาสั่งนางด้วยตนเอง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงต้องบีบให้อวี่เหวินหยวนฮั่วออกจากเมืองหลวงไปอยู่ที่ชายแดนตลอดไป
“เฟิ่งชิงเฉิน อย่าถามเรื่องนี้เลย มันเป็นความตั้งใจของข้าที่จะอยู่ประจำการในซีหลิง ข้าต้องออกจากเมืองหลวงไป ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะผ่านไปได้ ข้าอยู่ที่นี่มีแต่คอยเตือนคนบางคนอยู่เสมอว่าเคยเกิดอะไรขึ้น”
อวี่เหวินหยวนฮั่วกล่าวขณะที่เดินเข้าไป
เขานำเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับคดีกบฏของเสนาบดีจูเก็บงำไว้ ไม่ว่าจักรพรรดิจะตรวจสอบอย่างไรก็จะพบเพียงหลักฐานกบฏที่ผ่านมือของเขาเท่านั้น
หลักฐานเหล่านั้นแสดงถึงความล้มเหลวของจักรพรรดิ จักรพรรดิจะไม่มีวันยอมให้ใครก็ตามที่รู้เรื่องราวภายในมีชีวิตอยู่ ตงหลิงจิ่วและเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อ่าน แต่หากจักรพรรดิรู้ว่าทั้งสองได้สัมผัสกับหลักฐานเหล่านี้ จักรพรรดิคงไม่เว้นชีวิตเอาไว้แน่
เขามีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ฝ่าบาทคงจะเกรงเขาบ้างเล็กน้อย แต่เฟิ่งชิงเฉินและตงหลิงจิ่วเล่า?
ฐานะของตงหลิงจิ่วบอกว่าความเจ้าแผนการไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติด จักรพรรดิคงทำอะไรเขาไม่ได้สักพัก
แต่เฟิ่งชิงเฉินต่างออกไป ตราบใดที่จักรพรรดิต้องการ การประเฟิ่งชิงเฉินใช้เพียงคำพูดเดียวเท่านั้น…
เขาต้องจากไป มีแต่ต้องออกจากเมืองหลวงไปเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องตงหลิงจิ่วและเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ได้
นอกจากนี้ นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ในเมืองหลวงนี้ก็ไม่มีอะไรให้เขาอาลัยอาวรณ์อีก ก่อนไปจากเมืองหลวงเขาก็เพียงมาบอกลาเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น
สองวันต่อมา เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า เฟิ่งชิงเฉินส่งอวี่เหวินหยวนฮั่วจากไป และผู้ที่รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวงต่อก็คือ…
ซู่ชินอ๋องชื่อจื่อ ตี๋ตงหมิง!
ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อและที่สำคัญกว่านั้น พวกเขาไม่เข้าใจ จักรพรรดิให้ซู่ชินอ๋องซื่อจื่อดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวงได้อย่างไร
ต้องดีรู้ว่าซู่ชินอ๋องเป็นขุนนางที่บริสุทธิ์ แต่เขาภักดีต่อราชวงศ์ตงหลิงเท่านั้นและไม่ได้จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงจะถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ได้อย่างไร
ในตอนแรกที่อวี่เหวินหยวนฮั่วได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ เป็นเพราะจักรพรรดิรู้ดีว่าจะเป็นการปลอดภัยที่สุดที่จะให้อวี่เหวินหยวนฮั่วอยู่ภายใต้สายตาของเขาเอง
แต่คนที่รู้เรื่องล้วนเข้าใจว่าฝ่าบาทเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เรื่องของจูเซียงทำให้เขาระแวงคนรอบตัว ในเวลานี้เขาใช้โอกาสโบยขันทีที่อยู่รอบตัวเขาหรือแม้กระทั่งประหาร นางสนมคนโปรดก็ได้รับคำสั่งประหารโดยจักรพรรดิเช่นกัน
การมีจิตคิดระแวงดูเหมือนจะเป็นนิสัยที่จักรพรรดิทุกคนมี แต่ช่วงนี้กลับค่อนข้างเกินไปหน่อยเท่านั้น ยามนี้ไม่มีใครกล้าทำอะไรต่อเบื้องพระพักตร์ องค์รัชทายาทเห็นว่าตงหลิงจื่อลั่วบาดเจ็บไม่อาจ ช่าง “ป่วย” ได้ถูกเวลานัก
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินข่าวก็เพียงพูดว่าบางครั้งการป่วยก็เป็นเหตุผลที่ดี แต่นางคงใช้มันมาเป็นข้ออ้างไม่ออกจากจวนไม่ได้เสียแล้ว…
การจากไปของอวี่เหวินหยวนฮั่วส่งผลกระทบจากใครมากที่สุด? ตงหลิงจิ่ว? ไม่สิ เฟิ่งชิงเฉินต่างหาก
เฟิ่งชิงเฉิน ยามที่นางไม่มีที่พึ่งในเมืองหลวง ไม่มีคนในตระกูลหรือบิดามารดาปกป้องนาง ไม่มีพี่น้องคอยสนับสนุนนาง คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ทรยศ แต่ไม่เพียงแค่นั้น นางยังทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองใจอีกด้วย
ไม่ต้องพูดถึงคนในวัง เพียงแค่จวนของเจิ้นกั๋วกง ด้วยเรื่องขององค์หญิงอู่อันและซุนยี่จิ่น เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ผูกความแค้นกับพวกเขาไว้แล้ว
ก่อนหน้านี้อวี่เหวินหยวนฮั่วปกป้องนางอย่างดี เจิ้นกั๋วกงเห็นหน้าของเขาจึงไม่ได้ทำอะไรนาง แต่ยามนี้อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่อยู่เสียแล้ว
คนจากจวนเจิ้นกั๋วกงรอดูสักพักแล้วก็มั่นใจว่านอกจากอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้วไม่มีใครในเมืองหลวงที่จะปกป้องนางอีก ดังนั้นจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าตี๋ชุยหมิงพบเฟิ่งชิงเฉินบนท้องถนน เขาก็กล่าวว่า “สตรีก็ควรจะทำตัวเป็นสตรี ไฉนเลยจะออกมาเดินตะลอนอยู่นอกบ้านทั้งวัน”
อวี่เหวินหยวนฮั่วน้อยใจแทนหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงที่เป็นดังเทพเซียนชอบเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้กลับไม่ใส่ใจ มีตาหามีแววไม่แท้ๆ ตี๋ตงหมิงรู้สึกน้อยใจแทนหวังจิ่นหลิงจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่ในสายตาของบางคน กลับเห็นว่านี่เป็นความรังเกียจของจวนซู่ชินอ๋องที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉิน ประกอบกับความจริงที่ว่าตงหลิงจิ่วมาที่จวนเฟิ่งเพื่อดุด่านาง ก็ยิ่งทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเพราะอวี่เหวินหยวนฮั่วออกจากเมืองหลวงไป สถานะของเฟิ่งชิงเฉินในเมืองหลวงไม่ต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครอีกที่จะเห็นเฟิ่งชิงเฉินโดนปรักปรำแล้วจะเอาตนเองเข้าไปหาองครักษ์เสื้อโลหิต
มีวิชาแพทย์แล้วอย่างไร ตระกูลที่มีอำนาจเหล่านี้จะเห็นเรื่องนี้ในสายตาได้อย่างไร พวกเขาไม่ได้ไม่มีเงินจ่ายค่าหมอ นอกจากนั้นไม่ใช่ว่าทุกตระกูลจะเหมือนกับตระกูลหวังที่มีหวังจิ่นหลิงที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย
ดังนั้นสถานะของเฟิ่งชิงเฉินในเมืองหลวงจึงกลับไปเหมือนเดิมที่ถูกกีดกันและรังแก เพียงแต่ในช่วงเวลานี้ เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่หมกตัวอยู่ในจวนสอนเรื่องการผ่าตัดให้แก่ซุนซือสิงทุกวันนางจึงไม่รู้ก็เท่านั้น
แต่ข้ารับใช้ในจวนเฟิ่งนับว่าโชคร้ายยิ่งนัก เมื่อพวกเขาออกไปและพบกับตระกูลใหญ่อื่นๆ การดุด่าพวกเขาเล็กน้อยนับว่ายังดีและยิ่งเป็นเรื่องปกติที่จะถูกทุบตี
เฟิ่งชิงเฉินอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นเวลานาน เมื่อออกไปเดินเล่นก็เห็นโจวสิงอยู่ไกลๆ ในขณะที่กำลังจะออกมาก็ได้ยินว่า…