นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 195 ตรวจรักษา เปิดโปงความรัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 195 ตรวจรักษา เปิดโปงความรัก

ตระกูลของชนชั้นสูงเป็นญาติกันไปหมด ธิดาในตระกูลล้วนถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม เมื่อเติบโตขึ้นก็มอบสินเดิมแต่งงานออกไปเกี่ยวดองสองตระกูล

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเจิ้นกั๋วกงไม่มีข้อได้เปรียบนี้ สองสามปีนี้คงยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อผ่านไปสักหลายสิบปี ความอ่อนแอของจวนเจิ้นกั๋วกงก็จะปรากฏขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคนในจวนเจิ้นกั๋วกงจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าในจวนห้ามปรามไว้ เจิ้นกั๋วกงคงจะส่งคนไปสังหารเฟิ่งชิงเฉินและสับนางเป็นชิ้นๆ เสียตั้งนานแล้ว

แต่ถึงแม้จะมีฮูหยินชราช่วยปรามไว้ ข้ารับใช้ก็ยังทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าฆ่าเฟิ่งชิงเฉิน เพียงแต่ต้องการบีบให้เฟิ่งชิงเฉินมาขอโทษเท่านั้น

น่าเสียดายที่อุบายคิดได้ดีแต่ยังทำไม่สำเร็จ

ไม้แข็งไม่สำเร็จ จวนเจิ้นกั๋วกงก็คิดจะใช้ไม้อ่อน เฟิ่งชิงเฉินหาที่พึ่งได้ไม่เลว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่พึ่งของนางช่วยนางออกหน้าได้ เรื่องของเหล่าสตรีในเรือนชั้นใน มีบางเรื่องที่แม้ว่าจะสูงศักดิ์เช่นตงหลิงจิ่วก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้

ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากฐานะของตงหลิงจิ่วสูงศักดิ์เกินไป เรื่องเล็กๆ บางอย่างเขาจึงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากเขายื่นมือเข้ามายุ่ง เขาก็จะสูญเสียศักดิ์ศรีและความน่าเคารพของราชวงศ์ ความเย่อหยิ่งและศักดิ์ศรีของราชวงศ์ไม่ได้ใช้เพื่อมาดูแลเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ …

ฮัดชิ่ว ฮัดชิ่ว…

เฟิ่งชิงเฉินที่อยู่บนหลังม้าขยี้จมูกตลอดเวลาพลางครุ่นคิดในใจว่าใครกำลังด่าหรือวางแผนร้ายกับนางอยู่กันนะ…

“เจ้านี้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก” ตี๋ตงหมิงพึมพำอย่างโกรธเคือง แต่กลับดึงเสื้อคลุมของเขาขึ้นมาห่อตัวเฟิ่งชิงเฉินไว้

“ขอบคุณ” แม้ว่าตี๋ตงหมิงผู้นี้จะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็เป็นคนที่แยกแยะชัดเจนและไม่เอาอารมณ์มาลงกับหญิงสาวตัวน้อย

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเพียงแค่นางมีความสัมพันธ์อันดีกับตี๋ตงหมิง ด้วยคุณธรรมของเขาแล้วหากนางตกทุกข์ได้ยาก เขาย่อมช่วยนางแน่

“ถ้าจะขอบคุณข้าก็จงทำด้วยการกระทำ อีกเดี๋ยวผู้ป่วยที่เจ้าจะได้พบก็คือจิ้นหยางโหวฮูหยินซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้าต้องแสดงความสามารถออกมาให้ดี หากนางหายดีแล้วละก็เจ้าย่อมได้ประโยชน์แน่” ตี๋ตงหมิงดูกระตือรือร้น ถ้าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้มาก่อนว่าเขากำลังจะไปพบผู้ป่วย นางคงคิดว่าเขากำลังจะไปหาคนรักของเขาเป็นแน่

“ท่านชายวางใจเถิด ชิงเฉินจะทำให้ดีที่สุด” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกแปลกประหลาด ตี๋ตงหมิงคงจะไม่ได้เชิญนางไปรักษาธรรมดาๆ เพียงนั้น ถ้าเขาใส่ใจคนป่วยจริงๆ เขาคงมาหานางตั้งนานแล้ว

“อืม ดีมาก อีกเดี๋ยวเมื่อไปถึงเรือนชั้นในของจิ้นหยางโหวและหญิงสาวที่ชื่อเจียงอวี้ซิ่ว เจ้าช่วยข้าดูนางหน่อย” ตี๋ตงหมิงกล่าวอย่างเขินๆ นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ

“ดูนางหน่อย? ดูอะไรหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มกว้าง

นางว่าแล้วเชียวว่าตี๋ตงหมิงลากนางมาที่นี่ ที่แท้ก็เป็นเพราะที่จวนจิ้นหยางโหวมีนางในใจนี่เอง

ตี๋ตงหมิงกระดากอายแต่ก็แสร้งทำเป็นจริงจัง “เจ้าเป็นผู้หญิง จะถามมากมายไปทำไมกัน ให้เจ้าดูก็ดูไปเถอะ”

เจียงอวี้ซิ่วเป็นชายาที่ตระกูลกำลังจะเตรียมให้เขา ภูมิหลังตระกูลของนางไม่ได้โดดเด่นถึงเพียงนั้น แต่ตระกูลซู่ชินอ๋องไม่เคยแต่งงานกับหญิงที่มีภูมิหลังทางครอบครัวที่โดดเด่น เพื่อไม่ให้ถูกจักรพรรดิสงสัย

“เจ้าค่ะ ชิงเฉินจะจัดการดูให้ท่านชายอย่างดี”

ฮ่าฮ่าฮ่า… ที่แม้ตี๋ตงหมิงผู้นี้ไร้เดียงสายิ่งนัก ในยุคโบราณไม่ใช่ว่าเด็กชายพอถึงวัยสิบสี่สิบห้าก็จะเริ่มหาสาวใช้อุ่นเตียงงั้นหรือ ไม่ใช่ว่าการแต่งงานคือชีวิตของบิดามารดาหรอกหรือ ท่านชายตี๋ช่างน่าขบขันยิ่งนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาต้องตาหวังจิ่นหลิง ที่แท้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้นี่เอง

เสียงหัวเราะของเฟิ่งชิงเฉินสดใสและมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนสตรีทั่วไป แต่มันกลับทำให้ตี๋ตงหมิงยิ่งรู้สึกจริงใจ แม้จะรู้สึกอาย เขาก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรนาง

เมื่อมาถึงหน้าจวนจิ้นหยางโหวแล้ว ตี๋ตงหมิงก็ดึงบังเหียนและดึงเฟิ่งชิงเฉินลงจากม้าโดยตรง

“ที่นี่แหละ ตามข้าเข้ามา”

เขาดึงนางวิ่งเข้าไปข้างในโดยไม่ให้นางได้มีโอกาสหายใจเลย ดูรีบร้อนเป็นอย่างยิ่ง เฟิ่งชิงเฉินอดทนกับมันโดยคิดว่าเรื่องช่วยคนสำคัญพอๆ กับดับไฟ

ไม่มีการแจ้งเตือนก่อน เมื่อจิ้นหยางโหวได้ยินว่าตี๋ตงหมิงมาเยือน เขาจึงรีบมาต้อนรับ เฟิ่งชิงเฉินใช้โอกาสนี้เพื่อจัดระเบียบร่างกายของนางเล็กน้อย

นางนั่งม้ามาตลอดทาง แม้ว่าจะมีคนคอยคุ้มกันไว้ แต่เมื่อลมพัด ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงเสียจนน่ากลัว

เมื่อจิ้นหยางโหวเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็ตกใจเล็กน้อย เหตุใดจิ้นหยางโหวจึงได้หนุ่มถึงเพียงนี้?

เขาแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าสด ดูสง่างามหล่อเหลาราวหยกขาว หน้าตาดีและมีท่าทางเหมือนบัณฑิต แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตี๋ตงหมิงที่รูปร่างสูงใหญ่และหยาบกระด้าง สิ่งเดียวที่ทำให้คนไม่ชอบนักก็คือดวงตาเหม่อลอยหลุกหลิกดูไม่เอาไหน

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกงั้นๆ กับคนผู้นี้ เมื่อตี๋ตงหมิงแนะนำนาง นางก็ก้าวไปข้างหน้าและย่อกายคำนับ

“เฟิ่งชิงเฉิน? ท่านชาย ท่านให้หญิงเช่นนี้เข้ามาในจวนของเรานั้นหมายความว่าอย่างไร?” ดวงตาของจิ้นหยางโหวฉายแววรังเกียจ

เขาเป็นทั้งบัณฑิตและผู้ดี ดังนั้นเขาจึงดูถูกผู้หญิงเช่นเฟิ่งชิงเฉินที่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนไปทั่ว

เผชิญหน้ากับตี๋ตงหมิง เขาเจียมเนื้อเจียมตัวและเป็นมิตร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉิน เขากลับหยิ่งยโสราวกับจะไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ นี่คือความรู้สึกที่เหนือกว่า เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี แน่นอนว่านางไม่จำเป็นต้องตอบ เพียงย่อกายและถอยกลับไปที่ด้านหลังของตี๋ตงหมิง

“ผู้หญิงแบบใดหรือ? จิ้นหยางโหวท่านโปรดระวังคำพูดด้วย เฟิ่งชิงเฉินเป็นหมอที่ข้าเชิญมา จิ้นหยางโหวฮูหยินสุขภาพไม่ดีนัก ข้าเป็นพี่ชายเชิญหมอมา มีอะไรไม่ถูกต้องงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้ที่ตี๋ตงหมิงเชิญมา หากไม่ไว้หน้าเฟิ่งชิงเฉิน ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติตี๋ตงหมิงไปด้วย

จิ้นหยางโหวจะไม่ชอบเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่เป็นไร แต่เขาไม่ควรแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ นี่ไม่ใช่การตบหน้าเขา ต้องรู้ว่าถึงแม้ตี๋ตงหมิงจะเป็นเพียงซื่อจื่อ แต่เขากลับสูงศักดิ์กว่าจิ้นหยางโหวมากนัก

จิ้นหยางโหวมีสีหน้ากระดาก เขารู้ว่าตี๋ตงหมิงเป็นคนหยาบกระด้างจึงไม่พูดถึงเรื่องเฟิ่งชิงเฉินอีก เพียงแต่กล่าวว่า “ท่านชาย ฮูหยินของข้าไม่ได้ป่วย นางเพียงร่างกายอ่อนต้องการการพักผ่อนเท่านั้น ข้าว่าไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านหมอเฟิ่งหรอก”

“หมอเฟิ่งมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ แม้กระทั่งโรคที่บิดาข้าเป็นมาหลายปีก็ยังสามารถรักษาหาย ให้หมอเฟิ่งตรวจดูเสียหน่อย หากป่วยก็จะได้รักษา แม้ไม่ป่วยก็จะได้บำรุงร่างกาย” ตี๋ตงหมิงยังเดิมทีนับว่าเกรงใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว

อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พวกปัญญาชนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นมีปัญญา

“ฮูหยินของข้าไม่ป่วย ไม่จำเป็นต้องหาหมอ” จิ้นหยางโหวไม่เห็นด้วย

เมื่อมาถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจแล้ว นางแน่ใจว่าแม้จิ้นหยางโหวฮูหยินจะป่วย โรคนั้นต้องเกี่ยวข้องกับจิ้นหยางโหวแน่ ดูแล้วตี๋ตงหมิงจะลากนางเข้ามาในวังวนแก่งแย่งชิงดีโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

คราวนี้ล่ะได้เรื่อง ไม่ว่าจะรักษาหรือไม่รักษา นางล้วนทำให้จิ้นหยางโหวขุ่นเคืองใจ

ให้ตายเถอะ…

เฟิ่งชิงเฉินพูดไม่ออก นางเงยหน้ามองเพดาน อาศัยช่วงเวลาที่ทั้งสองกำลังเถียงกันเปิดใช้งานกล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ

ผู้หนึ่งคือจิ้นหยางโหว อีกผู้หนึ่งคือซู่ชินอ๋องซื่อจื่อ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตี๋ตงหมิงจะเป็นผู้ชนะ และสิ่งที่นางต้องทำก็คือเข้าข้างตี๋ตงหมิง

แน่นอนว่าผลลัพธ์สุดท้ายตี๋ตงหมิงเป็นผู้ชนะ จิ้นหยางโหวแม้ไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีทางหักหน้าซู่ชินอ๋องซื่อจื่อ

เรือนชั้นในเป็นที่ที่สตรีในจวนพักอาศัย ตี๋ตงหมิงและจิ้นหยางโหวล้วนไม่ได้เข้าไปด้วย เฟิ่งชิงเฉินเดินทะลุระเบียงไปจนถึงเรือนด้านหลังภายใต้การนำทางของสาวใช้

“ท่านหมอเฟิ่ง โปรดรอประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”

ไม่นานก็มีเกี้ยวอันหนึ่งมารับ เฟิ่งชิงเฉินก้าวขึ้นเกี้ยวไปโดยไม่เกรงใจ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท