หมอหลวงพลันก้าวเข้าไปด้านหน้าด้วยความระมัดระวัง พลางค่อย ๆ แก้ผ้าพันแผลของซีหลิงเทียนเหล่ยออกมา หลังจากทายาใส่เข้าไปในบาดแผลของเส้นเอ็นแล้ว หลังจากนั้น ก็พลันพูดความคิดเห็นของตนออกมา แล้วจึงประชุมหาแนวทางวิธีการรักษาที่ไวที่สุด
ซุนเจิ้งเต้ารู้ดี หากว่าตนเองเสนอหน้าเข้าไปในยามนี้ ต้องซวยแน่ ๆ ยามที่กำลังครุ่นคิดว่าส่งหมอหลวงคนใดมา เพื่อผลประโยชน์ของพวกหมอหลวงเอง จึงได้กล่าวว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่พวกกระหม่อมหารือกันออกมาได้ ฝ่าบาทลองทอดพระเนตรดูหน่อยเถิดพะยะค่ะ”
“วางเอาไว้” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันจับจ้องไปยังผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดของตน จากนั้นสีหน้าก็พลันมืดคล้ำลงเรื่อย ๆ
“ฝ่าบาทวางใจได้พะยะค่ะ ท่านหมอเฟิ่งได้ต่อเส้นเอ็ดและเส้นเลือดให้ท่านแล้ว ขาของฝ่าบาทจักต้องฟื้นคืนเช่นเดิมได้แน่พะยะค่ะ” หากเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่ นางย่อมต้องมองหมอหลวงด้วยสายตาดูถูกเป็นแน่
ฟื้นคืนเป็นดังเดิมงั้นหรือ ฝันกลางวันมากไปแล้ว บาดแผลสาหัสถึงเพียงนี้ จักให้มาฟื้นคืนเป็นเช่นเดิม ย่อมเป็นไปไม่ได้ หลังจากนี้ เขาย่อมไม่อาจวิ่งหรือกระโดดได้อีก เพียงแค่สามารถเดินเหินได้เหมือนคนปกติดเท่านั้น
“อื้ม” ซีหลิงเทียนเหล่ยส่งเสียงตอบรับที่ไม่คล้ายตอบรับออกมา
หมอหลวงบางคนหาได้ทระนงตนไม่ เพียงต้องการประจบสอพลอต่อหน้าซีหลิงเทียนเหล่ยเท่านั้น หากว่าองค์รัชทายาทท่านนี้ สามารถไปเอ่ยต่อหน้าองค์จักรพรรดิหรือขุนนางท่านอื่นได้ ว่าฝีมือการแพทย์ของพวกเขาดีเยี่ยมนั้น ย่อมส่งผลดีต่อเขา หมอหลวงพวกนั้นเลยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ฝ่าบาทพะยะค่ะ บาดแผลที่มือของพระองค์ ให้กระหม่อมทำแผลให้เถอะพะยะค่ะ”
“ไสหัวไป บาดแผลของเจิ้น หาได้เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้าไม่” ยามที่ซีหลิงเทียนเหล่ยกำลังหาที่ระบายอารมณ์โมโหนั้น พวกหมอหลวงพวกนี้ถือเป็นที่รองรับระบายอารมณ์ชั้นดี
เมื่อเห็นซีหลิงเทียนเหล่ยโมโหเช่นนั้น พวกหมอต่างพากันหน้าทอดสี เมื่อซุนเจิ้งเต้าเห็นเช่นนั้น ก็พลันรีบร้อนขอตัวลา
“ไปเถอะ ” เนื่องจากว่าอยู่ในตงหลิง ซีหลิงเทียนเหล่ยจึงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกหมอหลวงมากนัก
“เสด็จพี่ บาดแผลของท่าน” ซีหลิงเหยาหวาพลันเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับก้าวไปด้านหน้า
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันกรอกตาไปมา แววตาพลางฉายแววเย็นชาออกมาเล็กน้อย “เหยาหวา เจ้าหาเวลาไปเข้าเฝ้าฮองเฮาและองค์หญิงอันผิง พร้อมเล่าเรื่องที่ เฟิ่งชิงเฉินเสียมารยามกับเปิ่นกงในวันนี้เสีย”
เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจักทำให้เจ้าไม่มีที่ยืนในตงหลิงเสีย เมื่อถึงยามนั้น นอกจากข้าแล้ว เจ้าย่อมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“เพคะ เสด็จพี่” ซีหลิงเหยาหวาหาได้รู้เกี่ยวกับแผนการที่แท้จริงของซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ขอเพียงแค่หาเรื่องให้เฟิ่งชิงเฉินได้ นางก็พอใจแล้ว
บาดแผลบนฝ่ามือของซีหลิงเทียนเหล่ยที่ไม่ได้รับการทำแผลนั้น ขอเพียงนับวันรอแผลเกิดอาการอักแสบขึ้นมา พร้อมทั้งทั่วตัวมีไข้สูง จนกระทั่งเกือบที่จะเสียขาของตนเองไป อย่างไรย่อมสามารถดึงเฟิ่งชิงเฉินออกมาได้
หากเฟิ่งชิงเฉินได้ถามถึงเหตุผล ย่อมรู้สึกได้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยเป็นคนโง่งเง่าอย่างแน่นอน
ข้าไม่ยอมทำแผลให้ แล้วอย่างไร พวกเจ้าเป็นตัวอันใดกันถึงกล้ามาเรียกร้องจากข้าได้
การเกลียดใครสักคน ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล!
เฟิ่งชิงเฉินเกลียดซีหลิงเทียนเหล่ย เกลียดเขามาก!
ตงหลิงจิ่วเองก็ทำตามสัญญา พลางพาเฟิ่งชิงเฉินมาส่งถึงจวนเฟิ่ง นางหาได้พูดอันใดต่อไม่ เมื่อมาถึงหน้าประตูจวน นางก็พลันหันกายจากไปในทันที หากเป็นเฟิ่งชิงเฉินคนก่อน คงจะแอบคาดหวังในตัวเสด็จอาเก้ากระมัง แต่ในยามนี้?
นางพลันรู้สึกว่าตนเองคงเสียสติไปจริง ๆ ในยามนี้ นางจึงได้รู้จักสถานการณ์ของตนเองเสียที นั่นคือสตรีเช่นนาง ในโลกนี้คงไม่อาจได้รับความรักแล้วจริง ๆ ไม่อาจได้รับความโชคดีแล้ว อีกทั้ง คงไม่มีบุรุษคนใด ยินยอมที่จะเลือกนางเป็นฮูหยินในอนาคตเป็นแน่
เหตุการณ์ที่หน้าประตูเมืองนั้น ทำลายความสุขของนางที่ควรจะได้รับ นอกเสียจากว่าตนเองจะไปเป็นสนม มิเช่นนั้น อย่าได้หวังเลยว่าในชีวิตนี้นางจะสามารถแต่งออกไปได้อีก โดยเฉพาะบุรุษที่มีตำแหน่งสูงส่งเช่นเสด็จอาเก้า
ในเมื่อไม่มีวาสนาต่อกัน เหตุใดต้องดึงดันด้วย หากนางมิอาจตัดขาดความสัมพันธ์นี้ได้ ย่อมต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาแน่นอน!
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกลับมาถึงจวนเฟิ่งแล้วนั้น แต่เดิมนางอยากจะเข้าไปอุดอู้อยู่บนเตียงนอน ทว่า นางกลับถูกซุนซือสิงที่รออยู่ลากออกมา จากนั้นก็บอกให้เข้าไปชำระล้างร่างกายและรอรับสำรับเช้า เฟิ่งชิงเฉินจึงได้รีบกินข้าวและรีบกลับไปนอน เมื่อนางตื่นมาอีกทีจักได้ไปเยี่ยมเยียนซุนฮูหยิน
ซุนฮูหยินยังคงอยู่ที่จวนเฟิ่ง นางไม่อาจขาดการให้น้ำเกลือไปได้ อีกทั้ง ช่วงนี้นางยังทานได้จำพวกอาหารเหลวเท่านั้น และยังต้องเฝ้าดูอาการด้วยความระมัดระวัง เมื่อจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันจะกลับไปนอนที่ห้องเช่นเดิม จู่ ๆ ยามหน้าประตูพลันส่งข่าวมาบอกว่า เซี่ยฮูหยินเดินทางมาหา พร้อมทั้งยังนำสาวใช้และองค์รักษ์ตามมาด้วย เสมือนกับว่า นางจักมาอาศัยอยู่ในจวนเฟิ่งเป็นเวลานาน
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า เซี่ยฮูหยินคิดเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน จึงตัดสินใจได้เสียที ในเมื่อคนไข้มารอถึงหน้าประตูเช่นนี้ นางที่เป็นหมอจักไปเอ่ยปากปฏิเสธได้อย่างไร
“เฮ้อ หมอมิใช่อาชีพที่หาเวลาพักผ่อนได้จริง ๆ โดยเฉพาะนางที่เป็นแพทย์ฉุกเฉินและรับหน้าที่แพทย์ทั่วไปด้วยเช่นนี้ ” เฟิ่งชิงเฉินพลันบิดเอวไปมา พร้อมทั้งเตรียมตัวออกไปต้อนรับ
“ท่านหมอเฟิ่ง ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ถึงได้มารบกวนท่านยามเช้าเช่นนี้ ข้าเพียงแต่ร้อนใจนัก” เซี่ยฮูหยินรู้สึกเขินอายเล็กน้อยน
างทำลายความเชื่อใจต่อเฟิ่งชิงเฉินเสียหลายครั้งหลายครา ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ย แต่นั่นเป็นเพราะนางไม่เชื่อใจในตนเองและไม่รักษาสัญญาของตนเองอีกด้วย
สุภาพบุรุษมักให้ความสำคัญต่อคำมั่นสัญญา แม้ว่านางจักไม่ใช่คนในตระกูลสูงศักดิ์ แต่นางก็ให้ความเชื่อใจต่อคำมั่นสัญญาเสมอ
“มิเป็นอันใด ฮูหยินรองสะดวกเมื่อใดก็ย่อมได้ ในเมื่อฮูหยินรองมาเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ฮูหยินรองได้ทำการตัดสินใจแล้ว ในเมื่เป็นเช่นนี้ ข้าจักทำการตรวจสภาพร่างกายของฮูหยินรองอีกครั้ง หากมิเป็นอันใดขึ้นมา ช่วงบ่ายข้าก็สามารถทำการผ่าตัดให้ได้เลย” ฮูหยินรองผู้นี้ เฟิ่งชิงเฉินรำคาญนางเต็มทนแล้ว
หากมิใช่ว่า เฟิ่งชิงเฉินเห็นนางเป็นเพียงคนไข้คนนึง หากนางมองฮูหยินรองเป็นคนในตระกูลเซี่ยนั้น เฟิ่งชิงเฉินย่อมไม่สนใจนาง
นางให้ความเคารพต่อคนไข้เสมอ แต่ทว่า คนไข้เองก็ต้องให้ความเคารพนางเช่นกัน แม้ว่าในโลกยุคโบราณแห่งนี้ หมอหาได้เป็นอาชีพที่สูงส่งมากนัก แต่ทว่า ผู้คนก็ไม่อาจดูเบาอาชีพนี้ได้เช่นกัน
ฮูหยินรองเองก็เข้าใจดี สีหน้าที่เจื่อนเจือน หากแต่ภายในใจรู้สึกอับอายยิ่งนัก อีกทั้ง ในโลกยุคนี้ หาใช่ว่าสตรีทุกคนจะเหมือนกับเฟิ่งชิงเฉินไปเสียหมด ที่จักสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง
สตรีนางหนึ่ง ยามที่ต้องแต่งออกไปนั้น ย่อมต้องพึ่งพาบ้านบุรุษเสียส่วนใหญ่ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักมิอาจได้รับความสุขที่สตรีทั่วไปควรได้ แต่นางก็ได้รับอิสระที่สตรีส่วนใหญ่มิอาจมีได้เช่นกัน
หลังจากที่ตรวจร่างกายให้เซี่ยฮูหยินแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้บอกกับเซี่ยฮูหยินว่า ช่วงบ่ายสามารถเริ่มทำการผ่าตัดได้เลย แล้วนางจึงขอตัวไปนอนในทันที วันนี้ทั้งวัน นางไม่เห็นเงาของโจวสิงเลยแม้แต่น้อย
หากนางไม่คิดกังวลย่อมต้องเป็นเรื่องโกหก ทว่า เป็นกังวลแล้วอย่างไรเล่า เรื่องของโจวสิงนางไม่อาจควบคุมได้ ทางที่ดีคือนางทำเป็นว่าไม่เคยเจอคนผู้นี้จักดีกว่า
“อาจารย์ การผ่าตัดในยามบ่ายนี้ ข้าขอเข้าไปช่วยได้หรือไม่?” ซุนซือสิงมารออยู่หน้าประตูจวนเฟิ่งแต่เช้าแล้ว เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นมา เขาก็ก้าวเข้ามาหา เพื่อแสดงจุดประสงค์ของตนเองในทันที
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะเอยว่าได้ยิ่งนัก แต่ทว่า
การผ่าตัดของเซี่ยฮูหยินนั้น แม้ว่าซุนซือสิงจักเป็นสตรี เกรงว่าจะไม่อาจเข้าร่วมการผ่าตัดได้ หากว่าซุนซือสิงเข้าร่วมนั้น เกรงว่าชื่อเสียงของเซี่ยฮูหยินคงไม่อาจกู้กลับคืนมาได้เป็นแน่
“บุรุษและสตรีย่อมต้องรักษาระยะห่าง” เฟิ่งชิงเฉินมีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้น
“อาจารย์ ท่านเป็นคนบอกเองว่า ในสายตาของหมอ ห้ามแบ่งแยกสตรีและบุรุษ” ซุนซือสิงว้าวุ่นใจยิ่งนัก ปีนี้ หาได้มีคนกล้าให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาด้วยการผ่าตัดมากไม่ ในคราก่อนเป็นมารดาของเขา เขายังสามารถเข้าไปได้เลย เมื่อเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่น เขากลับไม่สามารถเข้าไปได้เสียอย่างนั้น
“แต่ทว่า ในสายตาของคนไข้นั้น บุรุษและสตรีย่อมต้องรักษาระยะห่างอย่างไรเล่า เจ้าอย่าได้ทำหน้ามู่ทู่เช่นนั้น อาการป่วยของซู่ชินอ๋องนั้น หากอาจารย์ต้องเดินทางไปตรวจดูเมื่อใด อาจารย์จักให้เจ้าได้ดูเต็มตาเชียว” เฟิ่งชิงเฉินพลันตบบ่าของซุนซือสิงและเอ่ยปลอบใจขึ้นมา
เฮ้อ นางคงจะเป็นหมอที่แย่ที่สุดในใต้หล้ากระมัง เมื่อมีคนมาขอร้องให้นางไปรักษาให้ถึงจวน
แต่นางกลับทำให้พี่น้องซีหลิงขุ่นเคืองใจเอาเสียได้ หากในยามนี้ นางจะไปยืมมือผู้ใดสักคน นางย่อมต้องหาที่พิงเช่นเสด็จอาเก้าเอาไว้ก่อน